ID
stringlengths
9
13
Domain
stringclasses
4 values
Instruction
stringlengths
9
894
Input
stringlengths
19
65.5k
Output
stringlengths
36
31.6k
Tags
stringlengths
10
772
Task_type
stringclasses
7 values
License
stringclasses
2 values
Finance_1163
Finance
เขียนย่อหน้าสุดท้ายของบล็อกโพสต์เกี่ยวกับ ข้อควรระวังในการลงทุนกองทุนกลุ่มการเงินและธนาคาร
null
หลังจากที่ได้ไปทำความรู้จักกับกองทุนกลุ่มการเงินและธนาคารกันแล้ว คุณผู้อ่านก็พอจะเข้าใจเกี่ยวกับข้อมูลเพื่อประกอบในการตัดสินใจลงทุนแล้วนะคะ ก่อนจากกันวันนี้ เราก็มีข้อควรระวังที่ต้องรู้หากคุณอยากลงทุนในกองทุนกลุ่มการเงินและธนาคารมาฝากกันค่ะ เนื่องจากทุกกองทุนนั้นมีการกระจุกตัวระดับอุตสาหกรรม หรือมีความเสี่ยงระดับ 7 พูดง่ายๆ คือ ทุกกองทุนมีความเสี่ยงที่สูงมาก ดังนั้นหากใครอยากลงทุนก็ควรศึกษา ทำความเข้าใจเกี่ยวกับข้อมูลกองทุน เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุนกันด้วยนะคะ เพราะว่ามันมีผลมากๆ กับผลการดำเนินงานของกองทุนที่คุณลงทุนอยู่ค่ะ และที่สำคัญ คุณควรติดตามข่าวสารเกี่ยวกับการขึ้นดอกเบี้ยและผลประกอบการของธนาคารในแต่ละไตรมาสด้วยนะคะ เพราะว่ามันมีผลกับกองทุนของคุณจริงๆ ค่ะ บทเรียนจากย่อหน้านี้ เนื่องจากกองทุนกลุ่มการเงินและธนาคารทุกกองทุน เป็นกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงระดับ 7 เป็นกองทุนที่มีการกระจุกตัวระดับอุตสาหกรรม มีความเสี่ยงสูง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต นอกจากนี้ยังต้องติดตามข่าวการขึ้นดอกเบี้ยอย่างใกล้ชิด ในช่วงก่อนที่จะประกาศขึ้นดอกเบี้ย นักลงทุนอาจให้ความสนใจลงทุนมากกว่า แต่เมื่อมีการขึ้นดอกเบี้ยแล้ว กองทุนกลุ่มนี้อาจแผ่วลงได้บ้าง และต้องติดตามข่าวผลประกอบการณ์ของธนาคารในแต่ละไตรมาส หากผลออกมาไม่ดี หุ้นกลุ่มนี้ก็อาจถูกเทขายอย่างหนักได้ (แต่บางทีผลประกอบการณ์ออกมาดีมาก ก็อาจถูกเทขายได้ เพราะมีการเก็งกำไรไปก่อนหน้านี้แล้วว่าผลจะออกมาดี หรือที่เรียกว่า Sell on fact)
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1164
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ มุมมองของปรากฏการณ์ตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐพุ่งสูงขึ้นจากนโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณของธนาคารกลางสหรัฐฯ
null
สำหรับมุมมองของปรากฏการณ์ที่ตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐพุ่งสูงขึ้น จากนโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด ขอแบ่งออกเป็น 4 มุมมองได้แก่ เม็ดเงินที่ช่วยเหลือโควิดได้รับอนุมัติอย่างรวดเร็ว ส่งตรงประชาชนทั่วไป และมีการพิมพ์เงินจากเฟดอีกด้วย การกู้เงินมาจากแพ็คเกจเงินช่วยเหลือในวิกฤตซับไพร์มปี 2008 ต่อมาห่วงโซ่อุปทานของการผลิตอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี มีความเชื่อมโยงระหว่างประเทศในโลกอย่างซับซ้อน เมื่อการผลิตสะดุดลง ห่วงโซ่อุปทานก็สะดุดตามมาทั้งระบบ ส่งผลต่อเนื่องกันเป็นลูกโซ่ ในส่วนของหนี้ภาครัฐบาลของสหรัฐอเมริกานั้น สูงกว่าช่วงวิกฤตซับไพร์มมาก และสุดท้ายภาพรวมในช่วงโควิด ประชาชนชาวสหรัฐสูญเสียเงินลงทุนจากตราสารซับไพร์ม ที่ส่งผลต่อเนื่องต่อตราสารการลงทุนของธนาคารต่าง ๆ ทำให้ในปี 2022 เศรษฐกิจสหรัฐได้รับการกระทบกระเทือน จากอุปทานที่กระแทอย่างรุนแรง ซึ่งต้องทำงานภายใต้ระดับอุปทานที่หายไปบางส่วน บทเรียนจากย่อหน้านี้ มุมมองของปรากฏการณ์ที่ตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐพุ่งสูงขึ้น จากนโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด หนึ่ง เม็ดเงินที่ช่วยเหลือโควิดรอบนี้ อนุมัติอย่างรวดเร็วและยิงตรงไปสู่ ประชาชนทั่วไป รวมถึงอยู่ในรูปแบบของการพิมพ์เงินจากเฟด ในขณะที่แพ็คเกจเงินช่วยเหลือในวิกฤตซับไพร์มปี 2008 มาจากในรูปของการกู้ และค่อย ๆ แจกจ่ายไปถึงมือประชาชน หากพิจารณาในมิติองค์ประกอบของปริมาณเงิน ปี 2008 ส่วนใหญ่จะมาจากการทำ QE ที่เปลี่ยนรูปแบบจากพันธบัตรรัฐบาลมาเป็น เงินสำรองในงบดุลของสถาบันการเงิน โดยที่ M2 ซึ่งหมายถึงเงินสด นอกสถาบันการเงินและบัญชีเงินฝากทุกรูปแบบ ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากเท่าไหร่นัก แม้หนี้ภาครัฐและฐานเงินซึ่งประกอบด้วยเงินในระบบและเงินสำรอง จะสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่วนในปี 2022 จะพบว่า ทั้งหนี้ภาครัฐ ฐานเงินและปริมาณ M2 สูงขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมกันทั้งหมด ซึ่งในทางปฏิบัติ การเพิ่มขึ้นของปริมาณเงิน M2 มีผลต่อระดับราคาของสินค้าและบริการมากกว่าปริมาณฐานเงิน ซึ่งเกิดจากการยิงตรงของเม็ดเงินสู่ประชาชนอย่างรวดเร็วของทางการสหรัฐนั่นเอง สอง ห่วงโซ่อุปทาน หรือ supply Chain ของการผลิตอุปกรณ์เกี่ยวกับเทคโนโลยี ในปัจจุบัน จะพบว่ามีความเชื่อมโยงระหว่างประเทศในโลก อย่างซับซ้อนและแนบแน่นกว่ามากกว่าเมื่อปี 2008 ดังนั้น เมื่อเกิดการสะดุด ของการผลิตหรือการขนส่งในขั้นตอนใด จะทำให้ห่วงโซ่อุปทานเกิดสะดุด ขึ้นมาทั้งระบบ และส่งผลต่อเนื่องเป็นลูกโซ่เป็นระยะยาวนานกว่า ในอดีตเป็นอย่างมาก สาม หนี้ภาครัฐบาลของประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐ สูงกว่าในช่วงซับไพร์มมาก อัตราส่วนระหว่าง มูลค่าหนี้ภาครัฐต่อจีดีพี ของสหรัฐในปัจจุบันสูงเป็นเกือบ 2 เท่าของ อัตราส่วนเมื่อปี 2008 ซึ่งการเพิ่มขึ้นของหนี้ภาครัฐดังกล่าว บางส่วนอยู่ในรูปแบบของเงินให้เปล่าต่อประชาชน ซึ่งในช่วงที่โควิดซาลงดังเช่นช่วงปลายปี 2021 ประชาชนสหรัฐได้นำเงินดังกล่าว มาจับจ่ายใช้สอยในบางส่วนหลังเปิดเมือง ซึ่งก่อให้เกิดเงินเฟ้อ ทว่าในช่วงวิกฤตซับไพร์ม ไม่มีการให้เงินต่อประชาชนแบบให้เปล่า ด้วยปริมาณมากขนาดที่เห็นในส่วนนี้ สี่ สำหรับช่วงวิกฤตโควิด ในภาพรวมแล้ว ประชาชนเหมือนติดอยู่ในบ้าน ท่ามกลางพายุหิมะ ไม่สามารถออกมาใช้ชีวิตและประกอบอาชีพ ในแบบภาวะปกติ ส่วนวิกฤตซับไพร์ม ประชาชนชาวสหรัฐสูญเสียเงินลงทุน จากตราสารซับไพร์ม ที่ส่งผลแบบโดมิโนต่อตราสารการลงทุนของ แบงก์ต่าง ๆ ในสหรัฐ เนื่องจากเกิดวิกฤตแบงก์ในสหรัฐ โดยรวมแล้วในปี 2008 เสมือนว่าเป็นภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างรุนแรง โดยในปี 2022 เศรษฐกิจสหรัฐเป็นส่วนผสมของการถูกกระทบกระเทือน จากแรงกระแทกด้านอุปทาน ซึ่งถือว่าเศรษฐกิจต้องทำงานภายใต้ระดับอุปทาน ที่หายไปบางส่วน ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าเป็นปัญหาหลักของวิกฤตโควิดในรอบนี้
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1167
Finance
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา วันที่ 5 – 11 มี.ค. 2565 มีกองทุนไหนทำผลตอบแทนได้โดดเด่น และเป็นกองทุนยอดนิยมบ้าง?
null
กองทุนที่ทำผลตอบแทนได้โดดเด่น 1.UOBSC – กองทุนเปิด ยูโอบี สมาร์ท คอมโมดิตี้ ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +16.16% ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +38.26% 2.PRINCIPAL GCF – กองทุนเปิดพรินซิเพิล โกลบอล คอมมอดิตี้ ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +15.12% ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +29.03% 3.ASP-OIL – กองทุนเปิดแอสเซทพลัสออยล์ ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +14.03% ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +19.75% หมายเหตุ: ข้อมูลหน่วยราคากองทุน อัปเดตล่าสุด เมื่อวันที่ 11 มี.ค. 2565 ข้อมูลผลตอบแทนบางกองทุนในหน้า 10 อันดับ อาจมีการแสดงผลตอบแทนที่แตกต่างจากแต่ละหน้ากองทุน เนื่องจากการดึงข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่ต่างกัน (ซึ่งนับวันที่ในรอบสัปดาห์แตกต่างกัน) กองทุนยอดนิยม 1.ONE-UGG-RA : กองทุนเปิด วรรณ อัลติเมท โกลบอล โกรว์ธ หน่วยลงทุนชนิดไม่จ่ายเงินปันผล สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: -10.98% ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD) –30.68% 2.TMBGQG : กองทุนเปิดทหารไทย Global Quality Growth ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: -3.52% ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD) -14.98% 3.PRINCIPAL VNEQ-A : กองทุนเปิดพรินซิเพิล เวียดนาม อิควิตี้ ชนิดสะสมมูลค่า ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: -0.96% ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD) -4.50%
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1168
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับสินทรัพย์ดาวรุ่งปี 2021
null
มาพูดถึงเกี่ยวกับสินทรัพย์ดาวรุ่งที่มาแรงมากในปี 2021 กันดีกว่า อันแรกก็ต้องเป็น Bitcoin แน่นอน เพราะกล้าพูดได้เลยว่าปี 2021 Bitcoin ชนะเลิศในการเป็นสินทรัพย์การลงทุนที่สร้างผลตอบแทนดีที่สุด แม้ว่าในระหว่างปีจะเจอความผันผวนก็ตาม ส่วนสินทรัพย์อื่น ๆ ที่มาแรงในปีนี้ก็จะมีทั้ง หุ้นกลุ่มพลังงาน หุ้นอสังหาริมทรัพย์ หุ้นการเงิน และหุ้นเทคโนโลยี สำหรับสินทรัพย์ดาวรุ่งปี 2021 ที่กล่าวมานั้น ล้วนแล้วแต่เป็นสินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนได้ดี และเกี่ยวข้องกับการเปิดเมืองหลังจากวิกฤตโรคระบาดค่อย ๆ ทุเลาลงทั้งนั้นเลยค่ะ บทเรียนจากย่อหน้านี้ สินทรัพย์ดาวรุ่งปี 2021 - สำหรับสินทรัพย์การลงทุนที่สร้างผลตอบแทนชนะเลิศในปีที่ผ่านมา แน่นอนว่าก็คงหนีไม่พ้น Bitcoin ซึ่งถึงแม้จะเจอความผันผวนอย่างหนักอยู่หลายช่วงในระหว่างปี แต่เมื่อสรุปคะแนนแล้วก็พบว่า Bitcoin ยังคงสร้างผลตอบแทนแบบ YTD ได้สูงถึง 65% เลยทีเดียว - ตามมาด้วยหุ้นกลุ่มพลังงาน อสังหาฯ การเงิน และเทคโนโลยี ตามลำดับ - สังเกตได้ว่าสินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนได้ดีในปี 2021 จะเป็นสินทรัพย์กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการเปิดเมืองแทบทั้งนั้นเลย ซึ่งสอดคล้องกันกับที่ช่วงปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจในหลาย ๆ ประเทศเริ่มฟื้นตัว มีการท่องเที่ยวระหว่างประเทศและการบริโภคเพิ่มขึ้น รวมถึงการได้รับการสนับสนุนจากนโยบายทางการเงินการคลัง และการฉีดวัคซีนก็ครอบคลุมประชากรเป็นวงกว้างมากขึ้น
1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1169
Finance
ประเทศที่เงินเฟ้อไม่สูง สามารถดำเนินนโยบายผ่อนคลายได้ดี โตมีเสถียรภาพ มีประเทศใดบ้าง
null
ประเทศที่เงินเฟ้อไม่สูง สามารถดำเนินนโยบายผ่อนคลายได้ดี และเติบโตได้อย่างมีเสถียรภาพ ได้แก่ 1. ประเทศจีน : มีความน่าสนใจตรงที่อัตราเงินเฟ้อที่อยู่ระดับต่ำ จึงเปิดช่องให้ธนาคารกลางจีนสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการปรับลดอัตราดอกเบี้ย หรือการปรับลด RRR ตามที่ได้เห็นธนาคารกลางจีนเริ่มทำในช่วงต้นปี 2565 ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนที่คาดว่า เศรษฐกิจจีนปีนี้จะขยายตัวได้ในระดับ 4.8% 2. ประเทศเวียดนาม : มีการคาดการณ์ว่าในปี 2565 เศรษฐกิจจะเติบโตได้ถึง 6.6% และเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อน้อย โดยมีอัตราเงินเฟ้อในเดือนมกราคม 2565 อยู่ที่ 1.94% ขณะที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายถูกปรับลดลงจากระดับ 6% ในปี 2563 มาสู่ 4% ในปี 2565 คิดเป็นการปรับลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจถึง 3 ครั้งด้วยกัน
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_117
Finance
การลงทุนแบบ Core and Satellite ของทาง K Wealth ได้มีจัดทำตามผลตอบแทนและความเสี่ยงที่ลูกค้ารับได้ โดยแบ่งเป็นอะไรบ้าง
null
การลงทุนแบบ Core and Satellite ของทาง K Wealth ได้มีจัดทำตามผลตอบแทนและความเสี่ยงที่ลูกค้ารับได้ โดยแบ่งเป็นดังนี้ 1. Conservative Model หรือ การจัดพอร์ตการลงทุนแบบความเสี่ยงต่ำ • เหมาะกับผู้ที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ • มีการลงทุนในตราสารหนี้ประมาน 85-90 % ตราสารทุนและสินทรัพย์ทางเลือกประมาน 10-15% • ผลตอบแทนต่ำสุด 2. Moderate Model หรือ การจัดพอร์ตการลงทุนแบบความเสี่ยงปานกลาง • เหมาะกับผู้ที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง • มีการลงทุนในตราสารหนี้ประมาน 50-60 % ตราสารทุนและสินทรัพย์ทางเลือกประมาน 40-50% • ผลตอบแทนปานกลาง 3. Aggressive Model หรือ การจัดพอร์ตการลงทุนแบบความเสี่ยงปานกลาง • เหมาะกับผู้ที่รับความเสี่ยงได้สูง • มีการลงทุนในตราสารหนี้ประมาน 0-10 % ตราสารทุนและสินทรัพย์ทางเลือกประมาน 90-100% • ผลตอบแทนสุงสุด จะเห็นว่า นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนแบบ Core and Satellite ตามเป้าหมายการลงทุนของตัวเองได้ โดยทาง K Wealth จะมีการอัพเดตพอร์ตการลงทุนแนะนำให้กับลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ สำหรับนักลงทุนที่ไม่สนใจการลงทุนรูปแบบนี้ ก็สามารถใช้ตัวพอร์ตการลงทุนแนะนำของ K Wealth เพื่อดูมุมมองการลงทุนหรือเลือกกองทุนตามสไตล์การลงทุนของตัวเองได้
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1170
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ เรื่องที่ควรและไม่ควรทำในเชิงกลยุทธ์ เกี่ยวกับโอกาสในการเกิดสงครามโลกกับตลาดการเงิน
null
เพราะไม่รู้ว่าสงครามครั้งนี้ที่เกิดขึ้นระหว่างรัสเซียกับยูเครน จะส่งผลไปสู่การเกิดสงครามโลกกับตลาดการเงินหรือไม่ โอกาสในการเกิดมีทั้งผลดีและผลไม่ดีตามมาทั้งนั้น ดังนั้น ตลาดการเงินในช่วงระหว่างสงครามครั้งนี้ จะต้องมีกลยุทธ์ที่ควรทำและไม่ควรทำ เริ่มที่การที่เราไม่ควรลดการลงทุนทั้งหมด เพราะนี่จะเป็นเหตุผลที่ทำให้ตัวคุณเองพลาดโอกาสที่จะทำให้ตลาดการเงินกลับตัวได้ ต่อมาคุณเองก็ควรมองหาจุดเปลี่ยนที่จะทำให้สงครามครั้งนี้สิ้นสุดลง และไม่ควรเก็งกำไรกับสินทรัพย์วัฏจักรมากเกินไป แต่ในทางกลับกัน คุณควรแบ่งเงินก้อนที่ใหญ่ที่สุดมาลงทุนกับกลุ่มธุรกิจที่คาดว่าจะได้รับแรงหนุนระยะยาวจากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างหลังสงครามครั้งนี้ได้ บทเรียนจากย่อหน้านี้ เรื่องที่ควรและไม่ควรทำในเชิงกลยุทธ์ เกี่ยวกับโอกาสในการเกิดสงครามโลกกับตลาดการเงิน (1) ไม่ควรลดการลงทุนลงทั้งหมด เพราะนั่นอาจทำให้พลาดโอกาสที่ตลาดจะกลับตัวทันที ควรเปลี่ยนเฉพาะการลงทุนที่คาดว่าจะได้รับผลเชิงลบโดยตรงออก และแทนที่ด้วยสินทรัพย์ที่พื้นฐานไม่ถูกกระทบจากสงครามมาก (2) ควรมองหาจุดเปลี่ยนที่จะทำให้สงครามยุติลงได้ และคิดไว้ก่อนว่าสินทรัพย์ไหนมีโอกาสกลับตัวในเหตุการณ์เหล่านั้น ไม่ควรเสียเวลาไปกับการพยายามทำความเข้าใจเหตุผลที่ทั้งสองฝ่ายอ้างขึ้นเพื่อทำสงคราม (3) ไม่ควรเก็งกำไรกับสินทรัพย์วัฏจักรมากเกินไป แต่ควรแบ่งเงินส่วนใหญ่ลงทุนกับกลุ่มธุรกิจที่คาดว่าจะได้รับแรงหนุนระยะยาวจากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างหลังสงครามครั้งนี้ ทุกคนอาจมีอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่าง มีความคิดเห็นที่แตกต่าง แต่ความแตกต่างไม่ว่าจะเรื่องไหน ก็ควรจบด้วยการทำความเข้าใจ ไม่ใช่ความรุนแรง
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1173
Finance
จงบอกประเภทของภาษี ที่ผ่อนปรนการเก็บภาษีภายใต้กฎหมายปัจจุบัน ตามวันที่ 8 มี.ค. 2565 ที่ ครม. มีมติเห็นชอบร่างกฎหมาย 2 ฉบับที่กรมสรรพากรได้เสนอไว้
null
วันที่ 8 มี.ค. 2565 ครม. มีมติเห็นชอบร่างกฎหมาย 2 ฉบับที่กรมสรรพากรได้เสนอไว้ โดยจะผ่อนปรนการเก็บภาษีภายใต้กฎหมายปัจจุบัน ดังนี้ 1. ภาษีเงินได้: การคำนวณภาษีเงินได้พึงประเมินหรือกำไรจากสินทรัพย์ดิจิทัลนั้น สามารถนำผลขาดทุนมาหักกลบกับกำไรได้ในปีภาษีเดียวกัน ซึ่งจะสามารถเข้าเงื่อนไขนี้เฉพาะ Exchange ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. เท่านั้น 2. ภาษีหัก ณ ที่จ่าย: กรณีธุรกรรมที่กระทำผ่าน Exchange ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. จะไม่สามารถระบุตัวตนผู้รับเงิน และไม่ทราบจำนวนเงินได้ที่ต้องหัก ณ ที่จ่าย ทำให้ไม่ครบองค์ประกอบการหักภาษี ณ ที่จ่าย จึงไม่จำเป็นต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้แต่อย่างใด 3. ภาษีมูลค่าเพิ่ม: ยกเว้น VAT สำหรับธุรกรรมที่กระทำผ่าน Exchange ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. และสินทรัพย์ดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (Retail CBDC) ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2565 ถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2566 สรุปง่ายๆ คือ สำหรับธุรกรรมที่ทำผ่าน Exchange ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. นั้น กรมสรรพากรจะยังไม่เก็บภาษีหัก ณ ที่จ่าย และภาษีมูลค่าเพิ่ม รวมถึงนักลงทุนสามารถนำผลขาดทุนมาหักลบกับกำไรในปีภาษีเดียวกันได้
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1174
Finance
10 กองทุนต่างประเทศที่น่าสนใจ 1 บาทก็ลงทุนได้ ในปี 2022 มีกองทุนอะไรบ้าง?
10 กองทุนต่างประเทศที่น่าสนใจ 1 บาทก็ลงทุนได้ ในปี 2022 ได้แก่ 1. ONE-UGG-RA ลงทุนผ่านกองทุนหลัก Baillie Gifford Long Term Global Growth Fund ลงทุนระยะยาวในหุ้นเติบโตทั่วโลก ความน่าสนใจ: กองทุนปรัชญาการลงทุนระยะยาวที่ทุกคนรู้จักกันดี เริ่มเป็นเจ้าของได้ในราคา 1 บาท ระดับความเสี่ยง 6 2. TMB-ES-GCG ลงทุนผ่านกองทุนหลัก AMUNDI FUNDS POLEN CAPITAL GLOBAL GROWTH ลงทุนในหุ้น Large Cap Growth ทั่วโลก ความน่าสนใจ: เป็นกองทุน Global Equity ที่ผลงานดีมาก แต่ไม่ค่อยมีคนพูดถึง เน้นหุ้นใหญ่ ผลงานดีต่อเนื่อง การันตีระดับ 5 ดาว Morning Star ระดับความเสี่ยง 6 3. UOBSGA ลงทุนผ่านกองทุนหลัก BGF Global Allocation Fund Asset Allocation หลากหลายตราสารหนี้ หุ้น ตราสารทางเลือก ลดความผันผวน ผลตอบแทนสม่ำเสมอ ความน่าสนใจ: กองทุน Global Asset Allocation มีผลงานการีนตีย้อนหลังดีมาก ๆ เหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบความผันผวนมาก พร้อมเรทติ้งกองทุน 4 ดาว Morning Star ระดับความเสี่ยง 5 4. TMBEAE ลงทุนผ่านกองทุนหลัก Baillie Gifford Worldwide Emerging Leading Companies เน้นลงทุนในหุ้นเติบโตของฝั่งตลาดเกิดใหม่ เช่น จีน อินเดีย รัสเซีย ละตินอเมริกา สไตล์การบริหาร: เลือกหุ้นแบบ Bottom Up พอร์ตการลงทุน: หุ้นกระจุกตัว 35-60 ตัว ระดับความเสี่ยง 6 5. WE-EVOSEMI เป็น Fund of Funds ลงทุนใน ETF “PSI” และ “SMH” รวมหุ้นอุตสาหกรรม Semiconductor ซึ่งเป็นชิ้นส่วนสำคัญในอุปกรณ์ IT และ EV เน้น USA และภูมิภาคอื่น ๆ ของโลก เช่น ยุโรป ไต้หวัน เกาหลีใต้ เป็นต้น ความน่าสนใจ: Semiconductor คือ commodity ในโลกของ Technology ไปแล้ว ชิปกำลังขาดแคลนและอุตสาหกรรมนี้จะอยู่ไปอีกนาน ระดับความเสี่ยง 7 6. WE-TENERGY ลงทุนผ่านกองทุนหลัก BNP Paribas Funds Energy Transition เป็นพอร์ตกองทุนหุ้นพลังงานสะอาด กลุ่มต้นน้ำ เช่น แผงโวล่าร์ พลังงานลม Smart Building ลงทุนในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วเป็นหลัก บริหารโดย BNP Paribas ผู้เชี่ยวชาญด้าน Green Investing ระดับความเสี่ยง 6 7. TMBINDAE ลงทุนผ่านกองทุนหลัก Goldman Sachs India Equity Portfolio กองทุนหุ้นอินเดียผลงาน 5-star MorningStar กองนี้มีสไตล์การลงทุนเชิงรุก เน้นลงทุนในหุ้นอินเดียขนาดกลาง-เล็กกว่า Index และมีหุ้นธนาคารเพียง 20% ต่างจากกองอื่น ๆ ในตลาดค่อนข้างมาก ระดับความเสี่ยง 6 8. UOBSGC ลงทุนผ่านกองทุนหลัก United Greater China Fund Class A SGD Acc (หุ้นจึน A, H, ADR และ Taiwan) กองทุนหุ้นจีนผลงานดีกองนี้นอกจากมีส่วนของหุ้นไต้หวันแล้ว ยังมีหุ้นกลุ่ม A-Share ที่มีความผันผวนน้อยกว่า all-china ปกติ จึงเป็นกองที่น่าสนใจ เมื่อ Universe มีครอบคลุมกว่ากอง All-China ปกติ ระดับความเสี่ยง 6 9. SCBEUEQ ลงทุนผ่านกองทุนหลัก iShares STOXX Europe 600 ETF หุ้นยุโรป รวมประเทศ UK STOXX600 ประกอบด้วยกลุ่มการเงิน สินค้าอุตสาหกรรม สุขภาพ และสินค้าจำเป็น รวมกันประมาณ 50% เป็นส่วนที่เน้น value คือ ขับเคลื่อนด้วยปัจจัยพื้นฐาน คือการบริโภค และมีความมั่งคง เมื่อพิจารณาสินค้าฟุ่มเฟอยและไอที รวมกันแค่ 20% ระดับความเสี่ยง 6 10. UVO เป็น Fund of Funds ลงทุนในกองทุนหุ้นเวียดนาม บริหารงานโดยผู้จัดการกองทุนชาวเวียดนาม ลงทุนในหุ้นเวียดนาม Big Cap ความน่าสนใจ: สะสมหน่วยลงทุนของกองทุนเวียดนามได้ผ่านกองทุน 1 บาท ก็คว้าโอกาสการเติบโตของเวียดนามได้แล้ว ระดับความเสี่ยง 6
10 กองทุนต่างประเทศที่น่าสนใจ 1 บาทก็ลงทุนได้ ในปี 2022 ได้แก่ 1. ONE-UGG-RA ลงทุนผ่านกองทุนหลัก Baillie Gifford Long Term Global Growth Fund ลงทุนระยะยาวในหุ้นเติบโตทั่วโลก ความน่าสนใจ: กองทุนปรัชญาการลงทุนระยะยาวที่ทุกคนรู้จักกันดี เริ่มเป็นเจ้าของได้ในราคา 1 บาท ระดับความเสี่ยง 6 2. TMB-ES-GCG ลงทุนผ่านกองทุนหลัก AMUNDI FUNDS POLEN CAPITAL GLOBAL GROWTH ลงทุนในหุ้น Large Cap Growth ทั่วโลก ความน่าสนใจ: เป็นกองทุน Global Equity ที่ผลงานดีมาก แต่ไม่ค่อยมีคนพูดถึง เน้นหุ้นใหญ่ ผลงานดีต่อเนื่อง การันตีระดับ 5 ดาว Morning Star ระดับความเสี่ยง 6 3. UOBSGA ลงทุนผ่านกองทุนหลัก BGF Global Allocation Fund Asset Allocation หลากหลายตราสารหนี้ หุ้น ตราสารทางเลือก ลดความผันผวน ผลตอบแทนสม่ำเสมอ ความน่าสนใจ: กองทุน Global Asset Allocation มีผลงานการีนตีย้อนหลังดีมาก ๆ เหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบความผันผวนมาก พร้อมเรทติ้งกองทุน 4 ดาว Morning Star ระดับความเสี่ยง 5 4. TMBEAE ลงทุนผ่านกองทุนหลัก Baillie Gifford Worldwide Emerging Leading Companies เน้นลงทุนในหุ้นเติบโตของฝั่งตลาดเกิดใหม่ เช่น จีน อินเดีย รัสเซีย ละตินอเมริกา สไตล์การบริหาร: เลือกหุ้นแบบ Bottom Up พอร์ตการลงทุน: หุ้นกระจุกตัว 35-60 ตัว ระดับความเสี่ยง 6 5. WE-EVOSEMI เป็น Fund of Funds ลงทุนใน ETF “PSI” และ “SMH” รวมหุ้นอุตสาหกรรม Semiconductor ซึ่งเป็นชิ้นส่วนสำคัญในอุปกรณ์ IT และ EV เน้น USA และภูมิภาคอื่น ๆ ของโลก เช่น ยุโรป ไต้หวัน เกาหลีใต้ เป็นต้น ความน่าสนใจ: Semiconductor คือ commodity ในโลกของ Technology ไปแล้ว ชิปกำลังขาดแคลนและอุตสาหกรรมนี้จะอยู่ไปอีกนาน ระดับความเสี่ยง 7 6. WE-TENERGY ลงทุนผ่านกองทุนหลัก BNP Paribas Funds Energy Transition เป็นพอร์ตกองทุนหุ้นพลังงานสะอาด กลุ่มต้นน้ำ เช่น แผงโวล่าร์ พลังงานลม Smart Building ลงทุนในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วเป็นหลัก บริหารโดย BNP Paribas ผู้เชี่ยวชาญด้าน Green Investing ระดับความเสี่ยง 6 7. TMBINDAE ลงทุนผ่านกองทุนหลัก Goldman Sachs India Equity Portfolio กองทุนหุ้นอินเดียผลงาน 5-star MorningStar กองนี้มีสไตล์การลงทุนเชิงรุก เน้นลงทุนในหุ้นอินเดียขนาดกลาง-เล็กกว่า Index และมีหุ้นธนาคารเพียง 20% ต่างจากกองอื่น ๆ ในตลาดค่อนข้างมาก ระดับความเสี่ยง 6 8. UOBSGC ลงทุนผ่านกองทุนหลัก United Greater China Fund Class A SGD Acc (หุ้นจึน A, H, ADR และ Taiwan) กองทุนหุ้นจีนผลงานดีกองนี้นอกจากมีส่วนของหุ้นไต้หวันแล้ว ยังมีหุ้นกลุ่ม A-Share ที่มีความผันผวนน้อยกว่า all-china ปกติ จึงเป็นกองที่น่าสนใจ เมื่อ Universe มีครอบคลุมกว่ากอง All-China ปกติ ระดับความเสี่ยง 6 9. SCBEUEQ ลงทุนผ่านกองทุนหลัก iShares STOXX Europe 600 ETF หุ้นยุโรป รวมประเทศ UK STOXX600 ประกอบด้วยกลุ่มการเงิน สินค้าอุตสาหกรรม สุขภาพ และสินค้าจำเป็น รวมกันประมาณ 50% เป็นส่วนที่เน้น value คือ ขับเคลื่อนด้วยปัจจัยพื้นฐาน คือการบริโภค และมีความมั่งคง เมื่อพิจารณาสินค้าฟุ่มเฟอยและไอที รวมกันแค่ 20% ระดับความเสี่ยง 6 10. UVO เป็น Fund of Funds ลงทุนในกองทุนหุ้นเวียดนาม บริหารงานโดยผู้จัดการกองทุนชาวเวียดนาม ลงทุนในหุ้นเวียดนาม Big Cap ความน่าสนใจ: สะสมหน่วยลงทุนของกองทุนเวียดนามได้ผ่านกองทุน 1 บาท ก็คว้าโอกาสการเติบโตของเวียดนามได้แล้ว ระดับความเสี่ยง 6
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1175
Finance
ทำไมถึงต้องเลือกการลงทุนในนวัตกรรม
null
เพราะนวัตกรรมคือ จุดเปลี่ยนสำคัญที่จะกำหนดโอกาสการเติบโตของธีมการลงทุนในอนาคต เริ่มตั้งแต่โลกมีการประดิษฐ์คิดค้นนวัตกรรมขึ้น ย้อนไปถึงยุคพลังงานน้ำ หรือในช่วงปี 1785 และได้มีการพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่องมาจนถึงยุคปัจจุบัน สังเกตว่า คลื่นลูกที่ 1 หรือ 1st wave ไปจนถึงคลื่นลูกที่ 6 หรือ 6th wave อันเป็นยุคปัจจุบัน ระยะเวลาของการพัฒนานวัตกรรมนั้น ใช้เวลาน้อยลงเรื่อย ๆ จากการใช้ระยะเวลามากถึง 50 – 60 ปี ในการพัฒนานวัตกรรมแต่ละช่วงยุคสมัย ได้มีการย่นระยะเวลาน้อยลงเรื่อย ๆ ในฐานะผู้ลงทุนแล้ว เป็นความท้าทายอย่างหนึ่งสำหรับผู้ลงทุนในการค้นหาประเภทธุรกิจซึ่งจะเป็นผู้ชนะในอนาคต และควรเลือกลงทุนในหุ้นหรือในธุรกิจประเภทใดที่สามารถตอบโจทย์กับความเปลี่ยนแปลงของโลกที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว นอกจากระยะเวลาการพัฒนานวัตกรรมที่ใช้เวลาน้อยลงแล้ว อัตราการนำนวัตกรรมนั้น ๆ ไปใช้นั้น ก็มีจำนวนสูงขึ้นด้วย สังเกตได้จากการนำนวัตกรรมไปใช้ในช่วงปี 2010 จะเห็นได้ว่า สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นั่นแสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าจะมีนวัตกรรมใหม่ ๆ ประเภทใดเกิดขึ้น อัตราการนำไปใช้นั้น ก็จะสูงขึ้นเช่นกัน ปัจจุบัน โลกกำลังอยู่ในคลื่นลูกที่ 6 หรือ 6th Wave ซึ่งอยู่ในช่วงปี 2020 เป็นต้นไป โดยจะมีนวัตกรรมเกี่ยวกับเทคโนโลยีอัตโนมัติ วิชาการหุ่นยนต์ การแปลงข้อมูลสู่ดิจิทัล และการพัฒนาอย่างยั่งยืน ได้มีการมองหานวัตกรรมที่แตกต่าง โดยการเฟ้นหาบริษัทที่กำลังจะเติบโตและเป็นผู้ชนะในอนาคต
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1177
Finance
Bitcoin คืออะไร
null
บิตคอยน์ (Bitcoin) หรือ BTC คือ สกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) สกุลแรกของโลกที่ถูกสร้างขึ้นบน “บล็อกเชน” (Blockchain) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ใช้สำหรับตรวจสอบธุรกรรมใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับบิตคอยน์ หัวใจของบิตคอยน์คือ “การกระจายศูนย์” (Decentralized) ที่ปราศจากการควบคุมจากตัวกลางหรือการกำกับดูแลของรัฐบาลและธนาคารใด ๆ ธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับบิตคอยน์แต่ละรายการถูกบันทึกไว้ในบัญชีแยกประเภทแบบกระจายศูนย์ ทำให้ธุรกรรมใด ๆ ยากที่จะย้อนกลับ ดัดแปลง หรือทำลายทิ้ง ปัจจุบันบิตคอยน์มีมูลค่าและส่วนแบ่งตลาดสูงที่สุดในตลาดคริปโตฯ ด้วยปริมาณการซื้อขายอย่างมหาศาลในแต่ละวัน จำนวนบิตคอยน์มีอยู่จำกัดที่ประมาณ 21 ล้านเหรียญ ซึ่ง ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2022 บิตคอยน์ถูกขุดไปแล้วกว่า 18.97 ล้านเหรียญ หรือราว 90% ของจำนวนบิตคอยน์ทั้งหมด โดยคาดว่าบิตคอยน์จะถูกขุดหมดประมาณปี 2140 เครือข่ายบิตคอยน์ถือกำเนิดขึ้นในเดือนมกราคม ปี 2009 โดยผู้สร้างที่ใช้นามแฝงว่า “ซาโตชิ นากาโมโตะ” (Satoshi Nakamoto) ตัวตนที่แท้จริงของซาโตชิยังคงเป็นปริศนา แม้ว่าจะมีคนบางกลุ่มพยายามค้นหาตัวตนที่แท้จริงของเขาแล้วก็ตาม บางคนก็ตั้งข้อสงสัยต่าง ๆ นานาว่าเหตุผลที่ซาโตชิไม่ยอมเปิดเผยตัวตนของเขาอาจเป็นเพราะเขาต้องการรักษาหัวใจสำคัญของบิตคอยน์เอาไว้นั่นคือ “การกระจายศูนย์” ที่ทำให้บิตคอยน์ไม่ขึ้นอยู่กับตัวกลางใด ๆ เพราะหากเขาเปิดเผยตัวตนของเขาก็อาจจะทำให้สูญเสียหัวใจสำคัญสิ่งนี้ไปได้ ซึ่งมีหลายคนที่ออกมาแสดงตัวและอ้างว่าเขาเป็นซาโตชิผู้สร้างบิตคอยน์ แต่ก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้แน่ชัดว่าใครกันแน่ที่เป็นซาโตชิตัวจริงเสียงจริง
1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1178
Finance
เขียนแนวคิดเกี่ยวกับ "เผชิญหน้ากับ Crypto Winter: แนวทางในการเตรียมตัวและรับมือกับการลดลงของตลาดคริปโต" ให้หน่อย
null
"คริปโตวินเตอร์" หรือ "Crypto Winter" เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการแทรกแซงของตลาดสกุลเงินดิจิทัลหรือคริปโตที่เกิดขึ้นเมื่อมีการลดลงของราคาและกิจกรรมในตลาดนั้น ซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่งที่เกิดขึ้นได้บ่อยครั้งในโลกของคริปโตและบล็อกเชน โดยมักเกิดขึ้นหลังจากวิกฤตการเงินหรือแก๊งค์ตลาดเพียงใดที่มีผลกระทบต่อการลงทุนและความเชื่อของผู้ลงทุนในตลาดดังกล่าว การรับมือกับ Crypto Winter นั้นมีหลายวิธีและกลยุทธ์ที่สามารถนำมาใช้ได้ ต่อไปนี้คือบางวิธีที่สามารถพิจารณา 1. การดำเนินกิจกรรมการลงทุนที่รอบคอบ: การสร้างพอร์ตโซลิดให้มีความหลากหลายและสมดุลเพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุนในตลาดคริปโต 2. การเพิ่มความสามารถในการดำเนินการทางการเงิน: การเพิ่มความเข้มแข็งของการบริหารจัดการเงินและการวางแผนการเงินเพื่อรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดในตลาด 3. การค้นหาโอกาสใหม่ๆ: การค้นหาโอกาสในตลาดที่มีความนิยมน้อยลง เช่น การลงทุนในโครงการบล็อกเชนที่มีศักยภาพแต่ยังไม่ได้รับการรับรอง 4. การศึกษาและการเรียนรู้: การเพิ่มความรู้และความเข้าใจในการทำงานของตลาดคริปโตและบล็อกเชนเพื่อป้องกันการสูญเสียที่เป็นไปได้ในอนาคต 5. การรักษาความเยื้องแย่: การรักษาความสมดุลและความสงบในการลงทุนเพื่อป้องกันการสูญเสียที่สามารถเกิดขึ้นได้จากการเล่นเสี่ยงในตลาดที่ไม่แน่นอน 6. การรับรู้การเปลี่ยนแปลงของตลาด : การรับรู้และการปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงในตลาดคริปโตและการเปลี่ยนแปลงในการพฤติกรรมของผู้ลงทุน ** สรุป Crypto Winter คือช่วงเวลาที่มีการลดลงของราคาและกิจกรรมในตลาดสกุลเงินดิจิทัลหรือคริปโต ในการรับมือกับสถานการณ์นี้อย่างเหมาะสมควรพิจารณาการดำเนินกิจกรรมการลงทุนที่รอบคอบ การเพิ่มความสามารถในการดำเนินการทางการเงิน การค้นหาโอกาสใหม่ การศึกษาและการเรียนรู้ เพื่อป้องกันการสูญเสียและเพิ่มโอกาสในการสร้างผลกำไรในอนาคตในตลาดคริปโตและบล็อกเชน
1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1179
Finance
จงสรุปบทความเรื่อง "BNK Token กับ Fintertainment วงการไอดอลกับการเงินมาบรรจบกันแล้ว !!" ให้หน่อยค่ะ
BNK Token กับ Fintertainment วงการไอดอลกับการเงินมาบรรจบกันแล้ว !! ​ วันที่ 3 มีนาคม ที่ผ่านมาเป็นอีกวันหนึ่งที่แฟนคลับหรือโอตะต่างใส่เงิน (คุณหมีเองก็ลุยใส่ไประดับหนึ่งเลยเช่นกัน) support สนับสนุน ซื้อ CD BNK48 11 single เพื่อลุยในศึก BNK48 12th Single Senbatsu General Election เป็นปรากฏการณ์ในวงการบันเทิงที่เป็นที่พูดถึงยาวนานและยังมีประเด็นให้ได้ศึกษามากมาย จากก่อนหน้านี้มีเงินสะพัดราว 140 ล้านบาท และเคยสร้างปรากฎการณ์วงการเพลงไทยในเพลง คุกกี้เสี่ยงทาย ซึ่งในปัจจุบันมียอมเข้าชมกว่า 194 ล้านวิว สูสีกับเพลงต้นฉบับ Koisuru Fortune Cookie ของ AKB48 ที่ญี่ปุ่น ณ ปัจจุบันยอดรับชมราว 215 ล้านวิว วันที่ 3 มีนาคม ที่ผ่านมาเป็นอีกวันหนึ่งที่แฟนคลับหรือโอตะต่างใส่เงิน (คุณหมีเองก็ลุยใส่ไประดับหนึ่งเลยเช่นกัน) support สนับสนุน ซื้อ CD BNK48 11 single เพื่อลุยในศึก BNK48 12th Single Senbatsu General Election 12th Single Senbatsu General Election เป็นปรากฏการณ์ในวงการบันเทิงที่เป็นที่พูดถึงยาวนาน และยังมีประเด็นให้ได้ศึกษามากมาย จากก่อนหน้านี้มี เงินสะพัดราว 140 ล้านบาท และเคยสร้างปรากฎการณ์วงการเพลงไทยในเพลง คุกกี้เสี่ยงทาย ซึ่งในปัจจุบันมียอมเข้าชมกว่า 194 ล้านวิว สูสีกับเพลงต้นฉบับ Koisuru Fortune Cookie ของ AKB48 ที่ญี่ปุ่น ณ ปัจจุบันยอดรับชมราว 215 ล้านวิว ปรากฎการณ์นี้ส่งผลไปถึงวงไอดอลไทย ณ ปัจจุบันที่น่าติดตามไม่แพ้กันเช่น Last Idol Thailand วงน้องใหม่ที่เป็นวงน้องของ Last Idol ญี่ปุ่น โดยคุณ Akimoto Yasushi ผู้ก่อตั้งวง AKB48, 48Group, Nogizaka46, 46Group รวมถึง Last Idol ที่ญี่ปุ่นด้วย และวง Sweat16 ที่ดูแลโดย Yoshimoto Entertainment บริษัทที่ดูแลวงไอดอลชื่อดังอย่าง NMB48 อีกด้วย ปรากฎการณ์นี้ส่งผลไปถึงวงไอดอลไทย ณ ปัจจุบันที่น่าติดตามไม่แพ้กันเช่น Last Idol Thailand วงน้องใหม่ที่เป็นวงน้องของ Last Idol ญี่ปุ่น โดยคุณ Akimoto Yasushi ผู้ก่อตั้งวง AKB48, 48Group, Nogizaka46, 46Group รวมถึง Last Idol ที่ญี่ปุ่นด้วย และวง Sweat16 ที่ดูแลโดย Yoshimoto Entertainment บริษัทที่ดูแลวงไอดอลชื่อดังอย่าง NMB48 อีกด้วย ทำให้ผลประกอบการของบริษัท อินดิเพนเด้นท์ อาร์ทิสท์ เมเนจเม้นท์ จำกัด (iAM) หรือชื่อเดิม บีเอ็นเค48 ออฟฟิศ จำกัด พลิกจากขาดทุนสุทธิ 22 ล้านบาท ในปี 2560 กลับมากำไรในปี 2561 มีกำไรสุทธิกว่า 146 ล้านบาท ในปี 2562 มีกำไรสุทธิ 166 ล้านบาท แต่ในปี 2563 มีกำไรสุทธิ 36 ล้านบาท ลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ จากสถานการณ์ COVID-19 กลยุทธ์ธุรกิจที่ฝ่าวิกฤตให้ BNK48 และวงน้องอย่าง CGM48 กลับมาเติมโตได้อีกครั้งคือประเด็นที่คุณหมีจะมาพูดถึงในวันนี้ ทำให้ผลประกอบการของบริษัท อินดิเพนเด้นท์ อาร์ทิสท์ เมเนจเม้นท์ จำกัด (iAM) หรือชื่อเดิม บีเอ็นเค48 ออฟฟิศ จำกัด พลิกจากขาดทุนสุทธิ 22 ล้านบาท ในปี 2560 กลับมากำไรในปี 2561 มีกำไรสุทธิกว่า 146 ล้านบาท ในปี 2562 มีกำไรสุทธิ 166 ล้านบาท แต่ในปี 2563 มีกำไรสุทธิ 36 ล้านบาท ลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ จากสถานการณ์ COVID-19 กลยุทธ์ธุรกิจที่ฝ่าวิกฤตให้ BNK48 และวงน้องอย่าง CGM48 กลับมาเติมโตได้อีกครั้งคือประเด็นที่คุณหมีจะมาพูดถึงในวันนี้ เมื่อ BNK48 นำโดยบริษัท อินดิเพนเด้นท์ อาร์ทิสท์ เมเนจเม้นท์ จำกัด มีความร่วมมือกับ Token X บริษัทในเครือของ เอสซีบี เท็นเอกซ์ ซึ่งอยู่ภายใต้กลุ่มธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCBX ได้นำเทคโนโลยี Blockchain และ Tokenization ที่เป็นแก่นของ Cryptocurrency ที่ไม่ได้จำกัดเฉพาะในด้านการเงินการลงทุนเท่านั้น มาประยุกต์ในการใช้งานเพื่อทำกิจกรรมประจำปีของวงไอดอล 48Group ที่ระดมเงินสะพัดราว 140 ล้านบาท ที่ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ ในวงการบันเทิงบ้านเรา ทำให้ Finance + Entertainment เป็น Fintertainment ที่ยิ่งใหญ่และใกล้ตัวเรามากขึ้น BNK Token ว่ากันที่มูลค่าของ Token นี้ไม่ได้เน้นผลตอบแทนรูปแบบดอกเบี้ยโดยตรง แต่จะเป็นสิทธิประโยชน์กับผู้ถือ ซึ่งก็คือแฟนคลับหรือโอตะ แต่จะเป็นอย่างไร คุณหมีจะมาเล่ามุมมองผ่านเลนส์โอตะแฟนคลับของ BNK48 ไปติดตามกันครับ เมื่อ BNK48 นำโดย บริษัท อินดิเพนเด้นท์ อาร์ทิสท์ เมเนจเม้นท์ จำกัด มีความร่วมมือกับ Token X บริษัทในเครือของ เอสซีบี เท็นเอกซ์ ซึ่งอยู่ภายใต้กลุ่มธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCBX ได้นำ เทคโนโลยี Blockchain และ Tokenization ที่เป็นแก่นของ Cryptocurrency ที่ไม่ได้จำกัดเฉพาะในด้านการเงินการลงทุนเท่านั้น มาประยุกต์ในการใช้งานเพื่อทำกิจกรรมประจำปีของวงไอดอล 48Group ที่ระดมเงินสะพัดราว 140 ล้านบาท ที่ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ ในวงการบันเทิงบ้านเรา ทำให้ Finance + Entertainment เป็น Fintertainment ที่ยิ่งใหญ่และใกล้ตัวเรามากขึ้น BNK Token ว่ากันที่มูลค่าของ Token นี้ไม่ได้เน้นผลตอบแทนรูปแบบดอกเบี้ยโดยตรง แต่จะเป็นสิทธิประโยชน์กับผู้ถือ ซึ่งก็คือแฟนคลับหรือโอตะ แต่จะเป็นอย่างไร คุณหมีจะมาเล่ามุมมองผ่านเลนส์โอตะแฟนคลับของ BNK48 ไปติดตามกันครับ ต้องย้อนไปถึงวัฒนธรรมของ BNK48 และ 48Group เป็นศิลปินวงไอดอลที่ให้แฟนคลับได้เห็นพัฒนาการความพยายาม ความสามารถในด้านการร้องเพลง การแสดง และด้านอื่นๆ เกิดพลังในสนับสนุน เป็นกำลังใจให้ สมาชิกในวงที่ชื่นชอบ โดยปกติทางวงจะเลือกสมาชิกที่เหมาะสมในการโปรโมทเพลง แต่เมื่อถึงเวลาในแต่ละปี จะมี single ให้โอกาสแฟนคลับได้โหวตแข่งขันกันเพื่อเฟ้นหาอันดับสมาชิกที่ได้รับคะแนนสูงสุดตามลำดับ ต้องย้อนไปถึงวัฒนธรรมของ BNK48 และ 48Group เป็นศิลปินวงไอดอลที่ให้แฟนคลับได้เห็นพัฒนาการความพยายาม ความสามารถในด้านการร้องเพลง การแสดง และด้านอื่นๆ เกิดพลังในสนับสนุน เป็นกำลังใจให้ สมาชิกในวงที่ชื่นชอบ โดยปกติทางวงจะเลือกสมาชิกที่เหมาะสมในการโปรโมทเพลง แต่เมื่อถึงเวลาในแต่ละปี จะมี single ให้โอกาสแฟนคลับได้โหวตแข่งขันกันเพื่อเฟ้นหาอันดับสมาชิกที่ได้รับคะแนนสูงสุดตามลำดับ โดยทุกๆ ปี จะใช้รูปแบบของคะแนนโหวตผ่าน Code ที่ได้รับจาก CD แต่ในปีนี้ได้เปลี่ยนรูปแบบเป็น BNK Token แทน ได้รับผ่านการจอง BNK48 11th Single ผ่านการซื้อสินค้าในรูปแบบต่างๆ ดังนี้ โดยทุกๆ ปี จะใช้รูปแบบของคะแนนโหวตผ่าน Code ที่ได้รับจาก CD แต่ในปีนี้ได้เปลี่ยนรูปแบบเป็น BNK Token แทน ได้รับผ่านการจอง BNK48 11th Single ผ่านการซื้อสินค้าในรูปแบบต่างๆ ดังนี้ CD BNK48 11th Single redeem ได้ 2 Token Mini Photobook BNK48 11th Single redeem ได้ 2 Token Digital Goods Music Code BNK48 11th Single redeem ได้ 2.4 Token CD BNK48 11th Single redeem ได้ 2 Token Mini Photobook BNK48 11th Single redeem ได้ 2 Token Digital Goods Music Code BNK48 11th Single redeem ได้ 2.4 Token ก่อนหน้านี้ได้มีการแจกและทดลองให้แฟนคลับหรือโอตะรับโทเคนได้ตามจุดต่างๆ เพื่อนำไปใช้ในกิจกรรมโหวตต่างๆ ที่เกิดขึ้นผ่านระบบของ app iAm48 โดยการนับคะแนนก็จะนับตามจำนวนโทเคนที่โหวตเหมือนกิจกรรมโหวตที่ผ่านมา ซึ่งคะแนนที่ใช้ในการโหวตสามารถเริ่มโหวตได้ตั้งแต่ 0.1 โทเคน ขึ้นไปต่อการโหวตหนึ่งครั้ง ซึ่งข้อมูลการโหวตคะแนนจะถูกบันทึกลงบน blockchain ในทุกๆ transaction ที่เกิดขึ้น สามารถถูกตรวจย้อนหลังได้ทั้งหมดหลังประกาศผลแล้ว ก่อนหน้านี้ได้มีการแจกและทดลองให้แฟนคลับหรือโอตะรับโทเคนได้ตามจุดต่างๆ เพื่อนำไปใช้ในกิจกรรมโหวตต่างๆ ที่เกิดขึ้นผ่านระบบของ app iAm48 โดยการนับคะแนนก็จะนับตามจำนวนโทเคนที่โหวตเหมือนกิจกรรมโหวตที่ผ่านมา ซึ่งคะแนนที่ใช้ในการโหวตสามารถเริ่มโหวตได้ตั้งแต่ 0.1 โทเคน ขึ้นไปต่อการโหวตหนึ่งครั้ง ซึ่งข้อมูลการโหวตคะแนนจะถูกบันทึกลงบน blockchain ในทุกๆ transaction ที่เกิดขึ้น สามารถถูกตรวจย้อนหลังได้ทั้งหมดหลังประกาศผลแล้ว แน่นอนว่ามีแฟนคลับบางส่วนไม่เห็นด้วยเพราะ Blockchain ควรจะต้องตรวจสอบได้ตลอดเวลา แต่ก็เห็นด้วยในมุมที่ต้องตรวจเฉพาะหลังการเลือกตั้งแล้ว จะได้มีความลุ้นและสนุกในวัฒนธรรมการเลือกตั้ง General Election นี้ มาถึงมุมของมูลค่า Token กันบ้าง ล่าสุดราคาอยู่ 60-80 บาทต่อ 1 Token และจากการสังเกตการณ์ช่วง General Election 2 ครั้ง ที่ผ่านมามูลค่าอาจสูงขึ้นในระดับ 100-120 บาท ต่อ 1 Token เมื่อเทียบกับราคาของ General Election code ที่นำมาโหวตสนับสนุนน้องๆ ก่อนหน้านี้ แน่นอนว่ามีแฟนคลับบางส่วนไม่เห็นด้วยเพราะ Blockchain ควรจะต้องตรวจสอบได้ตลอดเวลา แต่ก็เห็นด้วยในมุมที่ต้องตรวจเฉพาะหลังการเลือกตั้งแล้ว จะได้มีความลุ้นและสนุกในวัฒนธรรมการเลือกตั้ง General Election นี้ มาถึงมุมของมูลค่า Token กันบ้าง ล่าสุดราคาอยู่ 60-80 บาทต่อ 1 Token และจากการสังเกตการณ์ช่วง General Election 2 ครั้ง ที่ผ่านมามูลค่าอาจสูงขึ้นในระดับ 100-120 บาท ต่อ 1 Token เมื่อเทียบกับราคาของ General Election code ที่นำมาโหวตสนับสนุนน้องๆ ก่อนหน้านี้ ล่าสุด BNK Token ได้ออกสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมแฟนคลับและผู้ถือเหรียญ ได้รับสิทธิประโยชน์จากการถือเหรียญ ความน่าสนใจของสิทธิประโยชน์นี้ คือ Auction Token เสมือนเหรียญลูกของ BNK Token แต่ ณ ปัจจุบัน ยังไม่มีรายละเอียดออกมาให้ทราบชัดเจนว่าสามารถนำไปใช้อย่างไรได้บ้าง แต่ที่รู้กันตอนนี้ ความเคลื่อนไหวทุกย่างก้าวของ BNK48 รวมถึงบริษัท อินดิเพนเด้นท์ อาร์ทิสท์ เมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ iAM ได้สร้างแรงกระเพื่อมวงการบันเทิง วงการไอดอลที่เกิดขึ้นมากมาย มาถึงวงการการลงทุนอย่างบริษัท PlanB และล่าสุดถึงการเงินและเทคโนโลยี Blockchain และ Tokenization รอติดตามกันต่อไปครับ ก่อนจากกันไป เหล่าแฟนคลับโอตะอยากมาเล่ามุมใดๆ ที่น่าสนใจทั้งวงการไอดอล วงการบันเทิงและเรื่องอื่นๆ มาแชร์ มาคอมเม้น inbox กันได้เลยครับ บทความถัดไป Token มาเยือนวงการฟุตบอลไทยด้วย จะเป็นอย่างไร รอติดตามกันได้เลยครับ ล่าสุด BNK Token ได้ออกสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมแฟนคลับและผู้ถือเหรียญ ได้รับสิทธิประโยชน์จากการถือเหรียญ ความน่าสนใจของสิทธิประโยชน์นี้ คือ Auction Token เสมือนเหรียญลูกของ BNK Token แต่ ณ ปัจจุบัน ยังไม่มีรายละเอียดออกมาให้ทราบชัดเจนว่าสามารถนำไปใช้อย่างไรได้บ้าง แต่ที่รู้กันตอนนี้ ความเคลื่อนไหวทุกย่างก้าวของ BNK48 รวมถึง บริษัท อินดิเพนเด้นท์ อาร์ทิสท์ เมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ iAM ได้สร้างแรงกระเพื่อมวงการบันเทิง วงการไอดอลที่เกิดขึ้นมากมาย มาถึงวงการการลงทุนอย่างบริษัท PlanB และล่าสุดถึงการเงินและเทคโนโลยี Blockchain และ Tokenization รอติดตามกันต่อไปครับ ก่อนจากกันไป เหล่าแฟนคลับโอตะอยากมาเล่ามุมใดๆ ที่น่าสนใจทั้งวงการไอดอล วงการบันเทิงและเรื่องอื่นๆ มาแชร์ มาคอมเม้น inbox กันได้เลยครับ บทความถัดไป Token มาเยือนวงการฟุตบอลไทยด้วย จะเป็นอย่างไร รอติดตามกันได้เลยครับ สามารถติดตามบทความสนุกๆ ทันเหตุการณ์ ได้ทั้งความบันเทิงและสาระสุดเร้าใจได้ที่ : สามารถติดตามบทความสนุกๆ ทันเหตุการณ์ ได้ทั้งความบันเทิงและสาระสุดเร้าใจได้ที่ :
BNK48 นำโดยบริษัท อินดิเพนเด้นท์ อาร์ทิสท์ เมเนจเม้นท์ จำกัด มีความร่วมมือกับ Token X บริษัทในเครือของ เอสซีบี เท็นเอกซ์ ซึ่งอยู่ภายใต้กลุ่มธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCBX ได้นำเทคโนโลยี Blockchain และ Tokenization ที่เป็นแก่นของ Cryptocurrency ที่ไม่ได้จำกัดเฉพาะในด้านการเงินการลงทุนเท่านั้น มาประยุกต์ในการใช้งานเพื่อทำกิจกรรมประจำปีของวงไอดอล 48Group ที่ระดมเงินสะพัดราว 140 ล้านบาท ที่ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ ในวงการบันเทิงไทย ทำให้ Finance + Entertainment เป็น Fintertainment ที่ยิ่งใหญ่และใกล้ตัวเรามากขึ้น BNK48 และ 48Group เป็นศิลปินวงไอดอลที่ให้แฟนคลับได้เห็นพัฒนาการความพยายาม ความสามารถในด้านการร้องเพลง การแสดง และด้านอื่นๆ เกิดพลังในสนับสนุน เป็นกำลังใจให้ สมาชิกในวงที่ชื่นชอบ โดยปกติทางวงจะเลือกสมาชิกที่เหมาะสมในการโปรโมทเพลง แต่เมื่อถึงเวลาในแต่ละปี จะมี single ให้โอกาสแฟนคลับได้โหวตแข่งขันกันเพื่อเฟ้นหาอันดับสมาชิกที่ได้รับคะแนนสูงสุดตามลำดับ โดยในทุกๆ ปี จะใช้รูปแบบของคะแนนโหวตผ่าน Code ที่ได้รับจาก CD แต่ในปี 2565 ได้เปลี่ยนรูปแบบเป็น BNK Token แทน ได้รับผ่านการจอง BNK48 11th Single ผ่านการซื้อสินค้าในรูปแบบต่างๆ ก่อนหน้านี้ได้มีการแจกและทดลองให้แฟนคลับหรือโอตะ รับโทเคนได้ตามจุดต่างๆ เพื่อนำไปใช้ในกิจกรรมโหวตต่างๆ ที่เกิดขึ้นผ่านระบบของ app iAm48 โดยการนับคะแนนจะนับตามจำนวนโทเคนที่โหวตเหมือนกิจกรรมโหวตทั่วไป ซึ่งคะแนนที่ใช้ในการโหวตสามารถเริ่มโหวตได้ตั้งแต่ 0.1 โทเคน ขึ้นไปต่อการโหวตหนึ่งครั้ง ซึ่งข้อมูลการโหวตคะแนนจะถูกบันทึกลงบน blockchain ในทุกๆ transaction ที่เกิดขึ้น สามารถถูกตรวจย้อนหลังได้ทั้งหมดหลังประกาศผลแล้ว BNK Token กำลังจะออกสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมแฟนคลับและผู้ถือเหรียญ ได้รับสิทธิประโยชน์จากการถือเหรียญ ความน่าสนใจของสิทธิประโยชน์นี้ คือ Auction Token เสมือนเหรียญลูกของ BNK Token
1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,5.ความรู้ทางการเงิน
Summarization
cc-by-nc-4.0
Finance_1180
Finance
ช่วยสรุป เรื่อง "GGG พอร์ต: บรรยากาศลงทุนในหุ้นเติบโตที่มีความมั่นคงและมองโลกในมุมที่ไม่เหมือนใคร" ให้หน่อยค่ะ
ในช่วงที่ผ่านมานักลงทุนหลาย ๆ ท่านคงประสบปัญหาในการเผชิญการปรับฐานอย่างหนักของกองทุนหุ้นเติบโตชื่อดังเช่น Ark หรือ Baillie Gifford ซึ่งถึงแม้จะทำผลงานได้โดดเด่นแต่ก็มีความผันผวนที่ต้องเผชิญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในวันนี้ทาง FINNOMENA ขอพาทุกคนมารู้จักกับ GGG พอร์ตการลงทุนหุ้นเติบโตเอาใจสาย Growth ที่ไม่ได้มีดีแค่บู๊หนัก แต่มีเบาะกันกระแทกและที่สำคัญ “ไม่มีการจับจังหวะตลาด” จะเป็นอย่างไรลองสำรวจไปพร้อม ๆ กันได้เลยครับ ความท้าทายที่ทุกคนต้องเผชิญผ่านการลงทุนในหุ้นเติบโต หากพูดถึงความท้าทายของการลงทุนในหุ้นเติบโต สิ่งแรกที่เราต้องพูดถึงก็คือเรื่องของ “ความผันผวนที่เราต้องเผชิญ” ทั้งในแง่ของราคาที่ตลาดให้ความคาดหวังสูงและผลการดำเนินงานของบริษัทที่ในบางจุดอาจทำไม่ได้ตามความคาดหวังของคนในตลาดจนส่งให้เกิดการปรับฐานอย่างรุนแรงถึงแม้ธุรกิจจะน่าสนใจเพียงใดก็ตาม ส่งผลให้ตอนตลาดปรับฐานกองทุนในพอร์ตเราจึงลงหนักคล้ายกันทุกกอง ส่งผลให้เกิดความผันผวนสูงในระดับสูงจนเกินจะต้านไหว แต่ยามที่ตลาดลงหนัก กลับกลายเป็นว่าเรามีกองทุน Growth จากกองทุนหรือผู้จัดการกองทุนที่มีแนวทางคล้าย ๆ กัน ซึ่งพอร์ต GGG ที่เรากำลังจะนำเสนอ จะทำหน้าที่เปรียบเสมือนสะพานเชื่อมความชื่นชอบการลงทุนในหุ้นเติบโตของคุณ เข้ากับโลกของหุ้นเติบโตที่ซับซ้อนยากจะเข้าถึง วิธีการจะเป็นอย่างไรเป็นไปได้หรือไม่? เราลองมาสำรวจข้อมูลในส่วนถัดไปกัน รู้จักคอนเซปต์หลักของพอร์ต GGG ง่าย ๆ ใน 4 ข้อ 1. พอร์ต GGG คืออะไร? พอร์ต GGG (Triple G) คือพอร์ตการลงทุนแบบหุ้นเติบโตล้วน (Growth stocks) จัดหนักจัดเต็มสำหรับนักลงทุนผู้ชื่นชอบและหลงใหลการลงทุนในหุ้นเติบโต แต่ให้ความสำคัญกับการจัดการความผันผวน ผ่านการลงทุนในกลุ่มหุ้นแกนหลัก 4 กลุ่มที่มีลักษณะการเคลื่อนไหวแตกต่างกันเพื่อลดความผันผวนดังนี้ คือ เราเลือกประเทศที่มีการเติบโตในระดับที่น่าสนใจ และมีศักยภาพในการกระจายความเสี่ยงจากการได้รับผลกระทบจากปัจจัยมหภาคต่ำอย่าง เวียดนาม 2 Quality Growth คือ ธีมการเติบโตแบบเน้นคุณภาพที่จะช่วยมาเป็นเบาะรองรับยามตลาดเกิดความผันผวนหนักยกตัวอย่างเช่น ธีมการลงทุนหุ้นเฮลธ์แคร์ 3 Technology Growth คือ ธีมการเติบโตแบบเข้มข้น เน้นการเติบโตในอนาคตที่อาจเติบโตได้สูงเป็นกองหน้าตัวรุกของพอร์ต ยกตัวอย่างเช่น ธีม Blockchain หรือหุ้นเทคโนโลยีจีน 4 Sustainable Growth คือ ธีมการลงทุนแบบยั่งยืนที่มีความน่าสนใจและเป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นชัดเจนผ่านการลดต้นทุนในด้านต่าง ๆ เช่น ธีมการลงทุนในพลังงานสะอาด รวมไปถึงแนวโน้มที่มีพัฒนาการเด่นชัดเป็นรูปธรรมและอาจเติบโตได้สูง เช่น ธีมการลงทุนในรถยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น กองทุนในกลุ่มต่าง ๆ ข้างต้นจะถูกคัดกรองความผันผวนผ่านการทำ Minimum Volatility Optimization หรือการคัดกรองความผันผวนให้ดีที่สุดทั้งในแง่ของความสัมพันธ์ระหว่างกองทุน (Correlation) เพื่อให้แน่ใจว่าหากตลาดปรับฐานจะมีกองทุนที่เคลื่อนที่ในลักษณะต่างกันช่วยรองรับรวมไปถึงความผันผวน (Volatility) และคัดเลือกเชิงคุณภาพอีกขั้นโดย FINNOMENA Investment Team เพื่อให้แน่ใจว่ากองทุนที่ได้เหมาะสมต่อสภาวะตลาดในแต่ละช่วงเวลา โดยการกระทำที่ว่าหากอธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ เราจะนำกองทุนหุ้นที่ราคาเคลื่อนไหวไม่คล้ายกันมาก แต่ยังอยู่ในธีมหุ้นเติบโตเหมือนกันมาใส่ในพอร์ตให้เหมาะสม เพื่อที่ตอนคลาดลงแรง ๆ เราจะได้ทนถือต่อไปได้ คัดกรองอีกชั้นให้เหนือกว่าโดย FINNOMENA Investment Team หลังเราได้คัดเลือกธีมการลงทุนและกองทุนที่มีความผันผวนที่เหมาะสมผ่านปัจจัยเชิงปริมาณกันไปแล้ว เราจะทำการเสริมแกร่งการลงทุนอีกขั้นผ่านการวิเคราะห์โดย FINNOMENA Investment Team ด้วยวิธีการวิเคราะห์ MEVT ซึ่งเป็นกรอบวิเคราะห์การลงทุนที่จะช่วยติดตามธีมการลงทุนที่เหมาะสมกับสภาวะตลาดในช่วงนั้น ๆ
ความท้าทายในการลงทุนในหุ้นเติบโตต้องเผชิญกับความผันผวนที่สูง เนื่องจากการลงทุนในหุ้นเติบโตมักมีการเคลื่อนไหวรวดเร็วและมีความผันผวนที่สูงกว่าหุ้นในกลุ่มอื่น ๆ ดังนั้น การสร้างพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมเพื่อรับมือกับความผันผวนนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญ GGG พอร์ตการลงทุนหุ้นเติบโตจึงถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นเบาะรองที่มีการกระจายความเสี่ยงและไม่จับจังหวะตลาดไว้ในเวลาที่ตลาดปรับฐานอย่างรุนแรง เพื่อลดความผันผวนและเพิ่มความมั่นคงในการลงทุน นำเสนอในรูปแบบของ 4 ธีมหลัก ๆ ดังนี้ นะคะ 1. Quality Growth (การเติบโตแบบคุณภาพ) เน้นการลงทุนในหุ้นที่มีคุณภาพและความน่าเชื่อถือสูง เพื่อลดความผันผวนที่เกิดจากบริษัทที่ไม่ประสบความสำเร็จตามคาดหวัง 2. Healthcare Growth (การเติบโตในกลุ่มสุขภาพ) เน้นการลงทุนในธุรกิจด้านสุขภาพที่มีโอกาสเติบโตสูง เพื่อเพิ่มความมั่นคงในการลงทุน 3. Technology Growth (การเติบโตทางเทคโนโลยี) เน้นการลงทุนในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีและมีโอกาสเติบโตสูงในอนาคต 4. Sustainable Growth (การเติบโตที่ยั่งยืน) เน้นการลงทุนในธุรกิจที่มีแนวโน้มทางสิ่งแวดล้อมและมีความยั่งยืน เพื่อลดความผันผวน พอร์ต GGG ได้ทำการคัดกรองอีกขั้นโดยใช้ Minimum Volatility Optimization เพื่อเลือกกองทุนที่มีความสัมพันธ์ระหว่างกันในพอร์ต และรวมถึงการคัดเลือกอีกขั้นโดยทีมวิเคราะห์ของ FINNOMENA โดยใช้ MEVT (Market, Economic, Valuation, Technical) Analysis ที่จะช่วยติดตามธีมการลงทุนที่เหมาะสมกับสภาวะตลาดในแต่ละช่วงเวลา สรุปคือ GGG พอร์ตการลงทุนหุ้นเติบโตได้ถูกออกแบบให้เป็นเบาะรองที่ทนทานต่อความผันผวนของตลาดและมีการคัดเลือกหุ้นที่มีคุณภาพและโอกาสเติบโตในยามตลาดทวีความไม่แน่นอน โดยมีการคัดกรองอีกขั้นโดยทีมวิเคราะห์ที่มีความเชี่ยวชาญเพื่อให้การลงทุนมีความมั่นคงและทันสมัยตลอดเวลา
2.ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.กลยุทธ์การลงทุน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1183
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ กรณีศึกษา NFT กับอนาคตของวงการเพลง ของ Warner Music Group
null
Warner Music Group ค่ายเพลงชื่อดังระดับโลก รุกกระแสที่กำลังมาแรงในขณะนี้อย่าง Non-Fungible Token หรือ NFT ประกาศสร้างโปรเจ็กต์ โดยการจับมือกับ 2 แพลตฟอร์ม คือ The Sandbox และ Splinterlands ในช่วงต้นปี 2022 โดยทาง The Sandbox แพลตฟอร์มสาย NFT และ Metaverse จะเข้ามาสร้างโลกของเสียงเพลงและเปิดประสบการณ์ใหม่บน Metaverse และทาง Splinterlands เกมคริปโตฯ รูปแบบเกมการ์ด จะร่วมกันสร้างโปรเจ็กต์เกมแนวอาร์เดคร่วมกัน บทเรียนจากย่อหน้านี้ Non-Fungible Token หรือ NFT เป็นกระแสที่มาแรงมากนับตั้งแต่ปี 2021 และได้มีการนำไปปรับใช้ในหลายอุตสาหกรรม ยกตัวอย่างเช่น วงการศิลปะ มีศิลปินและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมากมายออกมาสร้างผลงานในรูปแบบ NFT, วงการเกมที่มีการนำ NFT ไปใช้กับตัวละครหรืออุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในเกม และอีกหนึ่งวงการที่น่าจับตามอง อีกทั้งเริ่มเห็นการขยับตัวของผู้เล่นรายใหญ่ในหลายประเทศ นั่นคือ วงการเพลง Warner Music Group (WMG) ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ระดับโลกที่มีศิลปินชื่อดังในสังกัดมากมาย ตัวอย่างเช่น Bruno Mars, Charlie Puth, Ed Sheeran เป็นต้น โดยนับตั้งแต่ต้นปี 2022 มีการประกาศจับมือกับ 2 แพลตฟอร์มดังที่มีความเกี่ยวข้องกับ NFT เพื่อพัฒนาโปรเจกต์ร่วมกัน ได้แก่ The Sandbox และ Splinterlands The Sandbox เป็นแพลตฟอร์มคริปโตฯ ที่เกี่ยวข้องกับ NFT และ Metaverse มีบริษัทที่เข้ามาร่วมกับแพลตฟอร์มนี้แล้วมากมายจากหลายวงการ ซึ่งการจับมือในครั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อสร้างโลกของเสียงเพลงและเปิดประสบการณ์ให้กับผู้ใช้งานบน Metaverse นอกจากนั้น การประกาศดังกล่าวยังได้มีการระบุอีกด้วยว่า ทาง Warner Music Group (WMG) ได้มีการเข้าไปถึงครองที่ดินบน The Sandbox และจะมีการจัดบริเวณโดยรอบในอีกไม่ช้า ส่วน Splinterlands เป็นเกมคริปโตฯ ในลักษณะเกมการ์ด โดยการจับมือในครั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อสร้างและพัฒนาเกมแนวอาร์เดค (Arcade Game) ร่วมกัน
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,6.ข้อมูลการเงินรายบริษัท
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1185
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ เหตุผลที่เฟดต้องเร่งทำนโยบายการเงินให้ตึงตัวมากกว่าเดิม จากสงครามรัสเซียกับยูเครน
null
เหตุผลที่เฟดจะต้องเร่งทำนโยบายการเงินให้ตึงตัวมากกว่าเดิม จากสงครามรัสเซียกับยูเครน มีหลายประการ อย่างแรกก็คือ การที่ราคาของน้ำมันสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของเงินเฟ้อ ซึ่งจะส่งผลยาวต่อไปถึงผู้มีรายได้น้อย ระดับค่าจ้างจะถูกปรับให้สูงขึ้น ทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นกว่าเดิม ชาวอเมริกันยอมสละบางอย่างในภาคเศรษฐกิจ เพราะรัฐบาลสหรัฐสร้างความคาดหวังของอัตราจีดีพีให้ลดลง และสุดท้าย เฟดเองก็ต้องรีบขึ้นดอกเบี้ยในช่วงการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐ เพื่อชะลอการขึ้นดอกเบี้ยนั่นเอง บทเรียนจากย่อหน้านี้ เฟดอาจต้องเร่งทำนโยบายการเงินให้ตึงตัวมากขึ้นกว่าเดิม จากกรณีรัสเซียบุกยูเครน เนื่องจาก 1. ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ย่อมจะส่งผลให้ตัวเลขเงินเฟ้อเพิ่มแบบเร่งตัวขึ้นจากเดิม โดยเฟดอาจจะมองว่าหากไม่ขึ้นดอกเบี้ยแบบรวดเร็ว จะทำให้ความเชื่อมั่นต่อเฟดในมิติของการเอาจริงเอาจังกับเงินเฟ้อจากสายตาประชาชนลดลง 2. ภาวะที่ราคาน้ำมันสูงขึ้นอย่างรวดเร็วซึ่งส่งผลโดยตรงต่อผู้มีรายได้น้อยมากกว่า จะทำให้กระแสที่ระดับค่าจ้างจะถูกเร่งปรับให้สูงขึ้นถูกกระพือในสังคมชาวอเมริกัน นั่นจะทำให้อัตราเงินเฟ้อยิ่งจะขยับสูงขึ้นไปอีกแบบต่อเนื่อง ซึ่งบีบให้เฟดต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยให้มากว่าเดิม 3. รัฐบาลสหรัฐโดยโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ ได้ออกตัวกับประชาชนว่า หากจะต่อสู้กับรัสเซีย ชาวอเมริกันต้องยอมเสียสละบางอย่างในภาคเศรษฐกิจ อาทิ ราคาน้ำมันแพงขึ้นหรือเศรษฐกิจเติบโตช้าลง ซึ่งเฟดก็สามารถที่จะทำการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายให้เร็วขึ้นได้ เพราะไบเดนได้สร้างความคาดหวังของอัตราการเติบโตของจีดีพีให้ลดลง ในสายตาประชาชน 4. การเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐ ในช่วงปลายปี 2022 อาจจะทำให้เฟดต้องรีบขึ้นดอกเบี้ยในช่วงนี้ เพื่อชะลอการขึ้นดอกเบี้ยในช่วงใกล้เลือกตั้ง เหมือนอย่างที่เคยเป็นสำหรับการเลือกตั้งสหรัฐเกือบทุกครั้งในอดีต ณ เวลานี้ เหมือนว่าเฟดน่าจะเริ่มต้นด้วยการลดความร้อนแรงสำหรับการขึ้นดอกเบี้ยในเดือนมีนาคม 2022 หลังจากนั้น เฟดคงต้องชั่งน้ำหนักระหว่าง 2 ฝั่งนี้ ว่าจะตัดสินใจเลือกแนวทางใดที่เหมาะกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปีนี้ที่กำลังจะมาถึง โดยหากสถานการณ์รัสเซียบุกยูเครนยิ่งมีความรุนแรงมากขึ้นเท่าใด โอกาสที่เฟดจะตัดสินใจออกมาในฝั่งชะลอการขึ้นดอกเบี้ยให้ช้าลงก็มีมากขึ้นเท่านั้น
5.ความรู้ทางการเงิน,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1188
Finance
มุมมองต่อกองทุนในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาวโดย FINNOMENA Investment Team เป็นอย่างไรบ้าง
null
มุมมองต่อกองทุนในระยะสั้นโดย FINNOMENA Investment Team กองทุนอาจปรับตัวลงต่อ แต่การปรับตัวลดลงอาจเริ่มจำกัด จากเหตุผลหลัก ๆ ดังนี้ - กองทุนปรับตัวลงมาค่อนข้างเยอะส่งผลให้ในเชิงมูลค่า (Valuation) เริ่มถูก ขณะที่กิจการหลาย ๆ กิจการในกองทุนยังดำเนินต่อได้และมียอดขายเติบโต - สถานการณ์ในปัจจุบันได้สะท้อนความไม่แน่นอนเรื่องดอกเบี้ยไปมากแล้ว ซึ่งหาก Fed เฉลยเรื่อง QT+ ดอกเบี้ยเมื่อไหร่ สถานการณ์น่าจะไปในทิศทางที่ดีขึ้น จนอาจส่งผลให้แรงเทขายชะลอลง และอาจส่งผลให้ตลาดกลับมาพิจารณาอีกครั้ง - กองทุนลงทุนในหุ้นหลากหลายภูมิภาคทั่วโลก ผสมผสานทั้งจีน สหรัฐฯ และยุโรป โดยจีนเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัว อีกทั้งยังมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสนับสนุนและกองทุนรัฐบาลจีนมาช่วยเข้าซื้อหุ้น ในขณะที่มาตรการควบคุมต่าง ๆ เริ่มชะลอลงซึ่งอาจช่วยสนับสนุนหุ้นจีนในเชิงภาพกว้าง มุมมองต่อกองทุนในระยะกลางโดย FINNOMENA Investment Team อาจต้องจับตามองประเด็นการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ว่ามีการปรับขึ้นดอกเบี้ยหลายจำนวนครั้งหรือไม่ รวมถึงการดำเนินนโยบายการเงินแบบหดตัว (QT) ว่ามีปริมาณเท่าไหร่ นอกจากนั้นยังต้องจับตามองการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนว่าจะมีความต่อเนื่องหรือไม่ และจะชะลอมาตรการควบคุมบริษัทต่าง ๆ เมื่อใด มุมมองต่อกองทุนในระยะยาวโดย FINNOMENA Investment Team กองทุนมีโอกาสเติบโตสูง จากการเลือกหุ้นแบบ Bottom Up คุณภาพดี มีขอบเขตการลงทุนกว้างไม่จำกัดแค่หุ้นเทคโนโลยีคว้าโอกาสเติบโตได้อย่างทั่วถึง อีกทั้งกองทุนยังกระจายการลงทุนทั่วโลก ช่วยลดความเสี่ยงของการลงทุนแบบกระจุกตัวในประเทศใดประเทศหนึ่ง แนะนำให้ซื้อและถือ (Buy & Hold) ซึ่งจะช่วยลดความผิดพลาดจากการจับจังหวะได้
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1189
Finance
ช่วยสรุปเรื่อง "กองทุน KFGPE-UI คืออะไร?" ให้หน่อยค่ะ
กองทุน KFGPE-UI คืออะไร? กองทุน KFGPE-UI คือกองทุนของค่าย บลจ. กรุงศรี ที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนชาวไทยได้ลงทุนในบริษัทที่ยังไม่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และมีโอกาสเติบโตสูง บริหารโดยบลจ. ระดับโลกอย่าง Schroder อยู่ในวงการมานับร้อยปี โดยกองทุน KFGPE-UI จะเข้าลงทุนในกองทุนต่างประเทศชื่อ Schroder GAIA II Global Private Equity Fund, Class C Accumulation USD (กองทุนหลัก) ในสัดส่วนไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV และกองทุนมีความเสี่ยงอยู่ที่ระดับ 8+
กองทุน KFGPE-UI เป็นกองทุนที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนไทยได้ลงทุนในบริษัทที่ยังไม่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยจะเข้าลงทุนในกองทุนต่างประเทศ Schroder GAIA II Global Private Equity Fund และ Class C Accumulation USD
2.ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,6.การบริหารสินทรัพย์
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1191
Finance
ช่วยสรุปบทความ เกษียณโสดอย่างเฉิดฉาย! เลือก “บ้านพักคนชรา” แบบไหนดี?
สายประหยัด สายแรก ‘สายประหยัด’ ค่าใช้จ่ายต่อปีอยู่ที่ประมาณหลักหมื่นต้น ๆ (ไม่รวมค่าแรกเข้า) และค่าใช้จ่ายรวม 20 ปี ประมาณ 600,000 บาท ถึง 1 ล้านบาท บ้านบางแค ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุบ้านบางแค หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ ‘บ้านบางแค’ เป็นสถานสงเคราะห์ผู้สูงอายุแห่งแรกของประเทศไทยที่ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2496 ปัจจุบันนับเป็นเวลาเกือบ 70 ปีแล้วที่บ้านบางแคได้ก่อตั้งมา บ้านบางแค มีบริการด้านที่จำเป็นสำหรับผู้สูงอายุที่เข้ามาพักอาศัย ได้แก่ ด้านการรักษาพยาบาล มีเจ้าหน้าที่พยาบาลอยู่เวรดูแลตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมให้ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพอนามัย และฟื้นฟูผู้สูงอายุ ด้านอาชีวบำบัด มีผู้เชี่ยวชาญฝึกสอนงานประดิษฐ์ให้ผู้สูงอายุสำหรับทำเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อจัดจำหน่ายสร้างรายได้ ด้านสังคมสงเคราะห์ จัดเจ้าหน้าที่ให้คำปรึกษา ดำเนินการด้านกฎหมาย และด้านจิตวิทยาเพื่อฟื้นฟูสภาพจิตใจผู้สูงอายุ ผู้สูงอายุที่จะเข้าพักในบ้านบางแคได้จะต้องเป็นผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป มีสัญชาติไทย โดยมีความสมัครใจ หรือประสบปัญหา เช่น ขาดผู้อุปการะเลี้ยงดู ไม่สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองได้ ไม่มีที่อยู่อาศัย ฐานะยากจน ทั้งนี้ต้องไม่เป็นโรคติดต่อร้ายแรง ไม่เป็นผู้พิการทุพพลภาพ หรือจิตฟั่นเฟือน และต้องไม่เป็นผู้ที่อยู่ระหว่างการดำเนินคดีอาญา สำหรับประเภทของของผู้สูงอายุที่เข้ารับบริการในบ้านบางแคแบ่งได้เป็น 3 ประเภทคือ 1) ประเภทสามัญ ให้การอุปการะเลี้ยงดูผู้สูงอายุโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ 2) ประเภทเสียค่าบริการแบบหอพัก สำหรับห้องเดี่ยว ค่าบริการอยู่ที่คนละ 1,500 บาท/เดือน และห้องคู่ 2,000 บาท/เดือน มีห้องพักให้บริการทั้งหมด 40 ห้อง และ 3) ประเภทบังกะโล เป็นบ้านเดี่ยวที่ปลูกสร้างตามแบบแปลนที่กำหนดในที่ดินของศูนย์พัฒนาฯ โดยผู้สูงอายุสามารถอาศัยอยู่ได้จนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต มีค่าบำรุงแรกเข้า 300,000 บาท ค่าบริการรายเดือนกรณีพักคนเดียว 1,500 บาท/เดือน และในกรณีเข้าพัก 2 คน เช่น คู่สามีภรรยา หรือพี่น้องเพศเดียวกัน ค่าบริการ 2,000 บาท/เดือน รวมถึงต้องรับผิดชอบค่าน้ำประปาคนละ 100 บาท/เดือน สำหรับค่าไฟฟ้าคิดตามการใช้จริง ค่าใช้จ่ายในการเข้าอาศัยในบ้านบางแค เริ่มต้นต่อปีอยู่ที่ 19,200 บาท รวมค่าน้ำเดือนละ 100 บาทแล้ว และค่าใช้จ่ายรวม 20 ปีอยู่ที่ 684,000 บาท รวมค่าแรกเข้า 300,000 บาทแล้ว ที่ตั้ง: ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุบ้านบางแค เลขที่ 813 ถ.เพชรเกษม แขวงบางหว้า เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร 10160 สวางคนิเวศ ‘สวางคนิเวศ’ อยู่ภายใต้การดูแลของ ‘สภากาชาดไทย’ เป็นโครงการที่พักอาศัยระดับ Middle-Class ที่ออกแบบมาเพื่อผู้สูงอายุโดยเฉพาะ ภายใต้คำขวัญ “ชีวิตอิสระ มีคุณค่า พึ่งพาตัวเอง” ไม่ว่าจะเป็น ด้านสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ ด้านความปลอดภัย โดยมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยภายในโครงการ และใช้ระบบคีย์การ์ดในการเข้าออกอาคาร และด้านสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ลิฟท์ พื้นห้องไม่ลื่น อุปกรณ์จับในห้องน้ำ ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีการดูแลในด้านอื่น ๆ เช่น มีพยาบาลเข้าเวร 24 ชั่วโมง ในกรณีที่ผู้สูงอายุเจ็บป่วยสามารถกดปุ่มฉุกเฉินเรียกพยาบาลได้ตลอดเวลา มีบริการตรวจสุขภาพประจำปี มีกิจกรรมสันทนาการ ห้องดนตรี ห้องออกกำลังกาย ห้องคาราโอเกะ รวมถึงทริปท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศให้ผู้สูงอายุที่พักอาศัยอยู่ในโครงการสามารถทำกิจกรรมร่วมกันได้ สำหรับโครงการสวางคนิเวศเป็นบ้านพักผู้สูงอายุประเภทซื้อสิทธิเข้ามาอยู่ ค่าแรกเข้าเริ่มต้น 650,000 บาท ไปจนถึง 1,700,000 บาท โดยราคาจะขึ้นอยู่กับขนาดห้องพัก ทำเลที่ตั้ง และทิศทางลม ผู้สูงอายุที่จะเข้ามาอยู่ในโครงการสวางคนิเวศได้จะต้องมีอายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไป มีสัญชาติไทย และมีร่างกายแข็งแรง สามารถช่วยตัวเองได้ ไม่เป็นผู้ป่วยติดเตียง โดยผู้พักอาศัยจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนตัวเอง เช่น ค่าอาหาร ค่าน้ำ ค่าไฟ รวมถึงค่าส่วนกลาง 2,500 บาท/เดือน และหากผู้พักอายุเสียชีวิต ห้องพักจะถูกส่งคืนให้กับสภากาชาดไทย ไม่สามารถขายหรือโอนให้ผู้อื่นได้ ค่าใช้จ่ายในการเข้าอาศัยในสวางคนิเวศ เริ่มต้นต่อปีอยู่ที่ 30,000 บาท และค่าใช้จ่ายรวม 20 ปีอยู่ที่ 1,010,000 บาท รวมค่าแรกเข้าเริ่มต้นที่ 650,000 บาทแล้ว ที่ตั้ง: สวางคนิเวศ สภากาชาดไทย เลขที่ 3 ต.ท้ายบ้านใหม่ อ.เมืองสมุทรปราการ จ.สมุทรปราการ 10280 สายมีกินมีใช้ สำหรับ ‘สายมีกินมีใช้’ ค่าใช้จ่ายต่อปีอยู่ในช่วง 200,000 – 300,000 บาท และค่าใช้จ่ายรวม 20 ปีอยู่ที่หลักล้านกลาง ๆ คุณตาคุณยาย เนอร์สซิ่งโฮม ‘คุณตาคุณยาย เนอร์สซิ่งโฮม’ เป็นศูนย์ดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วยพักฟื้น โดยครอบคลุมการดูแลจนถึงผู้สูงอายุที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้และผู้สูงอายุที่ป่วยโดยโรคต้องรับการรักษาอย่างต่อเนื่อง พร้อมให้บริการแบบถูกสุขลักษณะ สะอาด ปลอดภัย เอาใจใส่ ดูแลผู้สูงอายุเสมือนเป็นคนในครอบครัว ภายในศูนย์มีบรรยากาศร่มรื่น เงียบสงบ แวดล้อมไปด้วยธรรมชาติ ไม่แออัด ด้วยทีมงานที่มากประสบการณ์และมีความชำนาญดูแลผู้สูงอายุอย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง แบ่งเป็นกะกลางวัน และกลางคืนเพื่อให้เจ้าหน้าที่ดูแลผู้สูงอายุได้อย่างเต็มที่ มีเจ้าหน้าที่ดูแลผู้สูงอายุในการทำกายภาพบำบัดเบื้องต้นทุกวันเพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกายผู้สูงอายุ ควบคุมโภชนาการเพื่อสุขภาพที่แข็งแรงของผู้สูงอายุ โดยทางศูนย์จะจัดทำเมนูอาหารกว่า 100 รายการตลอดทั้งเดือนเพื่อให้ได้สารอาหารครบ 5 หมู่ และไม่เกิดความจำเจ มีการจัดกิจกรรมสันทนาการในแต่ละเทศกาลต่าง ๆ ของปี เช่น วันพ่อ วันแม่ วันปีใหม่ วันสงกรานต์ ฯลฯ เพื่อให้ผู้สูงอายุได้มีกิจกรรมทำร่วมกันและยังเป็นการเสริมสร้างสุขภาพจิตที่ดีอีกด้วย คุณตาคุณยาย เนอร์สซิ่งโฮม มีห้องให้บริการรองรับผู้สูงอายุทั้งห้องเดี่ยว ห้องคู่ และห้องรวม โดยแยกชาย-หญิง รวมถึงลักษณะอาการของผู้สูงอายุเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาหรือความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับผู้สูงอายุได้ อัตราค่าบริการเริ่มต้นที่เดือนละ 18,000 บาท และห้องเดี่ยว VIP เดือนละ 24,000 บาท มาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกในห้องพักแบบครบครัน เช่น มีเครื่องปรับอากาศภายในห้องพักทุกห้อง บริการอุปกรณ์กดเรียกเจ้าหน้าที่ทุกเตียง มีเครื่องทำน้ำอุ่นในห้องน้ำทุกห้อง ฯลฯ ค่าใช้จ่ายในการเข้าอาศัยในคุณตาคุณยาย เนอร์สซิ่งโฮม เริ่มต้นต่อปีอยู่ที่ 216,000 บาท และค่าใช้จ่ายรวม 20 ปีอยู่ที่ 4,320,000 บาท ที่ตั้ง: คุณตาคุณยาย Nursing Home เลขที่ 26 ถนนเลี่ยงเมืองปากเกร็ด ซอย 7/3 ต.บางพูด อ.ปากเกร็ด นนทบุรี 11120 โรงพยาบาลผู้สูงอายุ กล้วยน้ำไท 2 ‘โรงพยาบาลผู้สูงอายุ กล้วยน้ำไท 2’ เป็นโรงพยาบาลผู้สูงอายุที่มีความเชี่ยวชาญด้านการดูแล รักษา และฟื้นฟูผู้ป่วยและผู้สูงอายุแห่งแรกในประเทศไทยและอาเซียนที่ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับโลก (JCI) ด้วยทีมแพทย์ พยาบาล นักกายภาพบำบัด นักกิจกรรมบำบัด เภสัชกร นักโภชนาการ และสหวิชาชีพที่มีประสบการณ์เฉพาะทางด้านการดูแลผู้สูงอายุในทุก ๆ ด้าน เพื่อความปลอดภัย และถูกต้องตามหลักการดูแลผู้สูงอายุ พร้อมให้บริการดูแลผู้สูงอายุเสมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน มีบริการที่ครอบคลุมกับการดูแลผู้สูงอายุ ไม่ว่าจะเป็น การตรวจเยี่ยมโดยแพทย์สัปดาห์ละ 1 ครั้ง ดูแลการพยาบาลพื้นฐานตลอด 24 ชั่วโมง ดูแลผู้สูงอายุในการทำกิจวัตรประจำวัน เช่น การอาบน้ำ ป้อนยา มีนักโภชนาการช่วยแนะนำอาหารที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุแต่ละท่าน บริการซักรีดเสื้อผ้า ทำความสะอาดของใช้ส่วนตัว ฯลฯ ทางโรงพยาบาลให้ความสำคัญกับกิจกรรมสันทนาการและกิจกรรมเพื่อการบำบัดผู้สูงอายุ โดยทีมแพทย์ พยาบาล และนักกิจกรรมบำบัด ออกแบบกิจกรรมทั้งในรูปแบบกิจกรรมกลุ่ม และกิจกรรมรายบุคคล เน้นความชอบของแต่ละบุคคลเพื่อให้ผู้สูงอายุมีความสุขและสนุกสนานไปกับกิจกรรมในแต่ละวัน เช่น การออกกำลังกายตอนเช้า กิจกรรมทางศาสนา กิจกรรมตามเทศกาลต่าง ๆ ฯลฯ ขอบเขตรูปแบบการให้บริการผู้สูงอายุของโรงพยาบาลผู้สูงอายุ กล้วยน้ำไท 2 มีตั้งแต่ผู้สูงอายุวัยเกษียณที่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ผู้สูงอายุที่ต้องพักพื้นหลังออกจากโรงพยาบาล ผู้สูงอายุที่เป็นโรคอัมพาต ผู้สูงอายุที่ให้อาหารทางสายยาง ไปจนถึงผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งระยะสุดท้าย สำหรับห้องพักที่โรงพยาบาลผู้สูงอายุ กล้วยน้ำไท 2 ให้บริการมีทั้งแบบห้องเดี่ยวและห้องรวม เริ่มต้นที่เดือนละ 25,000 บาท หรือวันละ 1,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการเข้าอาศัยในโรงพยาบาลผู้สูงอายุ กล้วยน้ำไท 2 เริ่มต้นต่อปีอยู่ที่ 300,000 บาท และค่าใช้จ่ายรวม 20 ปีอยู่ที่ 6,000,000 บาท ที่ตั้ง: โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท 2 เลขที่ 27 ถนนสุขุมวิท 68 แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพฯ 10260 สายกินหรูอยู่สบาย สายสุดท้าย ‘สายกินหรูอยู่สบาย’ ค่าใช้จ่ายต่อปีอยู่ที่ประมาณหลักแสนกลาง ๆ ไปจนถึงหลักล้านบาท และค่าใช้จ่ายรวม 20 ปีอยู่ที่หลักสิบล้าน Jin Wellbeing County ‘Jin Wellbeing County’ (จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้) เป็นคอนโดมิเนียมเพื่อผู้สูงอายุที่อยู่ภายใต้การดูแลของ ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป โครงการออกแบบมาเพื่อรองรับการอยู่อาศัยของผู้สูงอายุโดยเฉพาะ ให้บริการที่พักและดูแลผู้สูงอายุที่ยังมีพลัง ด้วยสภาพแวดล้อมที่มีความปลอดภัย ร่มรื่น มีพื้นที่สีเขียวมากกว่า 50% มาพร้อมทีมแพทย์และพยาบาลผู้เชี่ยวชาญดูแลอย่างใกล้ชิด ในคอนเซปต์ “บ้านหลังใหญ่ มีหมออยู่ในบ้าน” ภายในโครงการมี ‘โรงพยาบาลธนบุรีบูรณา’ โรงพยาบาลฟื้นฟูผู้สูงวัยขนาดย่อม รองรับผู้ป่วยได้ 55 เตียง เพื่อดูแลผู้พักอาศัยอย่างใกล้ชิดและรวดเร็ว ด้านห้องพัก ภายในห้องนอนและห้องน้ำมีกริ่งสัญญาณฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง รวมถึงระบบเตือนภัยติดตามตัวในโครงการ สามารถช่วยเหลือผู้สูงอายุได้ทันหากเกิดเหตุฉุกเฉิน พร้อมส่งต่อไปยังโรงพยาบาลเฉพาะทางทันที โครงการ จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ มาพร้อมบริการที่หลากหลายทั้ง ‘Home Health Visit’ บริการตรวจเยี่ยมไข้ที่บ้านโดยทีมสหวิชาชีพ เช่น พยาบาลวิชาชีพ นักกายภาพบำบัด นักกิจกรรมบำบัด แพทย์ทั่วไป แพทย์เฉพาะทาง เป็นต้น ‘Home Health Care’ บริการดูแลผู้ป่วยถึงบ้านทั้งแบบรายวันและรายเดือน ดูแลตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน ช่วยเหลือในการทำกิจวัตรประจำวันด้วยเจ้าหน้าที่ผู้มีประสบการณ์ สำหรับห้องที่โครงการเปิดให้บริการมี 2 ขนาด คือ 1) ห้องขนาด 43-46 ตร.ม. เริ่มต้นเดือนละ 40,000 บาท หากซื้อบริการเสริมเพิ่มจะอยู่ที่ 66,000 บาทต่อเดือน 2) ห้องขนาด 63-66 ตร.ม. เริ่มต้นเดือนละ 52,000 บาท และเดือนละ 85,000 บาท หากซื้อบริการเสริมเพิ่ม โดยราคาทั้งหมดนี้เป็นราคาสำหรับ 1 ท่านเท่านั้นและไม่รวมค่าน้ำค่าไฟที่ผู้พักอาศัยต้องรับผิดชอบเอง สำหรับบริการเสริมที่ผู้พักอาศัยจะได้รับคือ อาหารเช้า 1 มื้อ/วัน บริการทำความสะอาดห้องพัก 2 ครั้ง/สัปดาห์ บริการซักรีด 50 ชิ้น/เดือน บริการ Wifi ในห้องพัก พร้อมเจ้าหน้าที่ดูแลตลอด 24 ชั่วโมง หรือใครที่สะดวกซื้อขาดเลยก็ทำได้เช่นกัน โดยราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 4,000,000 บาท ไปจนถึง 6,000,000 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดตร.ม.ของห้องพัก ค่าใช้จ่ายในการเข้าอาศัยใน Jin Wellbeing County เริ่มต้นต่อปีอยู่ที่ 480,000 บาท และค่าใช้จ่ายรวม 20 ปีอยู่ที่ 9,600,000 บาท ที่ตั้ง: Jin Wellbeing County เลขที่ 89 หมู่ 3 ถ.พหลโยธิน อ.คลองหลวง ต.คลองหนึ่ง จ.ปทุมธานี กรุงเทพฯ 12120 Velasook Senior Smart Village โดย ร.พ.เปาโล ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ ‘Velasook Senior Smart Village’ ตั้งอยู่ในโรงพยาบาลเปาโล พหลโยธิน เปิดบริการดูแลผู้สูงอายุทั้งระยะสั้น (Day Care) และระยะยาว (Long term Care) สำหรับผู้สูงอายุที่ต้องการพักฟื้นฟูร่างกาย และผู้สูงอายุที่สุขภาพแข็งแรงที่ต้องการพักอาศัย โดยออกแบบมาเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้สูงอายุโดยเฉพาะภายใต้มาตรฐานทางสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็น สภาพแวดล้อมที่สงบ ถูกสุขลักษณะ พื้นเรียบเสมอกันไม่ลื่น ไม่มีสิ่งกีดขวาง มีสิ่งอำนวยความสะดวกในห้องพักแบบครบครัน พร้อมมีบุคลากรทางการแพทย์คอยดูแลอย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งพยาบาลเฉพาะทางด้านผู้สูงอายุ นักกายภาพบำบัด นักกิจกรรมบำบัด ทางศูนย์จะจัดกิจกรรมฟื้นฟูสมรรถภาพด้านร่างกายและจิตใจอยู่เสมอ เพื่อให้ผู้สูงอายุสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ ออกแบบกิจกรรมสันทนาการให้เหมาะสมกับผู้สูงอายุแต่ละท่าน และจะผลัดเปลี่ยนไปในทุก ๆ สัปดาห์เพื่อไม่ให้ผู้สูงอายุรู้สึกเบื่อในการทำกิจกรรม โดยเน้นกิจกรรมที่สามารถทำร่วมกันได้ เช่น กิจกรรมทำอาหาร Family Cooking Class, กิจกรรมพัฒนาความจำ ออกกำลังกาย โดยจะอยู่ภายใต้การดูแลของนักกิจกรรมบำบัดอย่างใกล้ชิด อัตราค่าบริการขึ้นอยู่กับขนาดห้องพัก สำหรับห้องพักไซซ์ S ค่าบริการ 4,500 บาท/วัน และ 100,000 บาท/เดือน ห้องพักไซซ์ M ค่าบริการ 5,000 บาท/วัน และ 120,000 บาท/เดือน ห้องพักไซซ์ L ค่าบริการ 5,500 บาท/วัน และ 150,000 บาท/เดือน โดยทุกห้องเป็นห้องเดี่ยว ค่าใช้จ่ายในการเข้าอาศัยใน Velasook Senior Smart Village เริ่มต้นต่อปีอยู่ที่ 1,200,000 บาท และค่าใช้จ่ายรวม 20 ปีอยู่ที่ 24,000,000 บาท ที่ตั้ง: โรงพยาบาลเปาโล พหลโยธิน เลขที่ 670/1 ถนนพหลโยธิน แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร 10400
สายประหยัด ค่าใช้จ่ายต่อปีอยู่ที่ประมาณหลักหมื่นต้น ๆ และค่าใช้จ่ายรวม 20 ปี ประมาณ 600,000 บาท ถึง 1 ล้านบาท - บ้านบางแค มีบริการสำหรับผู้สูงอายุ 3 ประเภท: 1) สามัญ - ไม่คิดค่าใช้จ่าย, 2) หอพัก - ค่าบริการรายเดือน 1,500 บาท/เดือน (ห้องเดี่ยว) และ 2,000 บาท/เดือน (ห้องคู่), 3) บังกะโล - ค่าบำรุงแรกเข้า 300,000 บาท, ค่าบริการรายเดือน 1,500 บาท/เดือน (คนเดียว) และ 2,000 บาท/เดือน (คู่).ค่าใช้จ่ายรวม 20 ปีอยู่ที่ 684,000 บาท เริ่มต้นที่ 19,200 บาทต่อปีรวมค่าน้ำ - สวางคนิเวศ มีบ้านพักผู้สูงอายุประเภทซื้อสิทธิ เริ่มต้นที่ 650,000 บาทถึง 1,700,000 บาท ตามขนาดห้อง ทำเล และทิศทางลม ผู้สูงอายุต้องมีอายุ 55 ปีขึ้นไป มีสัญชาติไทย แข็งแรงสามารถช่วยตัวเองได้ ไม่เป็นผู้ป่วยติดเตียง ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนตัว เช่น อาหาร น้ำ ไฟ รวมถึงค่าส่วนกลาง 2,500 บาท/เดือน ค่าใช้จ่ายต่อปีเริ่มต้นที่ 30,000 บาท และค่าใช้จ่ายรวม 20 ปีทั้งหมด 1,010,000 บาท รวมค่าแรกเข้าเริ่มต้นที่ 650,000 บาท สายมีกินมีใช้ ค่าใช้จ่ายต่อปีอยู่ในช่วง 200,000 – 300,000 บาท และค่าใช้จ่ายรวม 20 ปีอยู่ที่หลักล้านกลาง ๆ - คุณตาคุณยาย เนอร์สซิ่งโฮม มีห้องให้บริการผู้สูงอายุทั้งห้องเดี่ยว, ห้องคู่ และห้องรวม ทางเนอร์สซิ่งโฮม แยกตามเพศและลักษณะอาการของผู้สูงอายุ เพื่อป้องกันปัญหาและความเสี่ยง อัตราค่าบริการเริ่มต้นที่ 18,000 บาท/เดือน สำหรับห้องเดี่ยว และ 24,000 บาท/เดือน สำหรับห้องเดี่ยว VIP พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ในห้องพัก เช่น เครื่องปรับอากาศ, อุปกรณ์กดเรียกเจ้าหน้าที่, และเครื่องทำน้ำอุ่น ค่าใช้จ่ายรวม 20 ปี คิดเป็น 4,320,000 บาท เริ่มต้นที่ 216,000 บาทต่อปี - โรงพยาบาลผู้สูงอายุ กล้วยน้ำไท 2 ให้บริการผู้สูงอายุตั้งแต่เกษียณที่สามารถช่วยเหลือตัวเอง, ผู้ป่วยโรคอัมพาต, ผู้ที่ต้องการบำรุงอาหารทางสาย ไปจนถึงผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย มีห้องเดี่ยวและห้องรวมเริ่มต้นที่ 25,000 บาท/เดือน ค่าใช้จ่ายรวมต่อปี 300,000 บาท และรวม 20 ปีทั้งหมด 6,000,000 บาท สายกินหรูอยู่สบาย ค่าใช้จ่ายต่อปีอยู่ที่ประมาณหลักแสนกลาง ๆ ไปจนถึงหลักล้านบาท และค่าใช้จ่ายรวม 20 ปีอยู่ที่หลักสิบล้าน - Jin Wellbeing County มี 2 ขนาดห้อง: 43-46 ตร.ม. เริ่มที่ 40,000 บาท/เดือน และ 63-66 ตร.ม. เริ่มที่ 52,000 บาท/เดือน รายละเอียดบริการเสริมรวมค่าน้ำค่าไฟ เริ่มที่ 4,000,000 บาทถึง 6,000,000 บาท ค่าใช้จ่ายต่อปีเริ่มที่ 480,000 บาท และรวม 20 ปีทั้งหมดที่ 9,600,000 บาท - Velasook Senior Smart Village โดย ร.พ.เปาโล ค่าบริการขึ้นอยู่กับขนาดห้อง: ไซซ์ S วันละ 4,500 บาท/เดือน และ 100,000 บาท/เดือน ไซซ์ M วันละ 5,000 บาท/เดือน และ 120,000 บาท/เดือน ไซซ์ L วันละ 5,500 บาท/เดือน และ 150,000 บาท/เดือน ค่าใช้จ่ายต่อปีเริ่มที่ 1,200,000 บาท และรวม 20 ปีทั้งหมดที่ 24,000,000 บาท
7.การจัดการการเงินส่วนบุคคล
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1192
Finance
วิธีการเลือกกองทุนปันผล "เชิงลึก" ควรพิจารณาปัจจัยอะไรเพิ่มเติมบ้าง
null
ปัจจัยอื่นๆ เพิ่มเติมที่ควรพิจารณาในการเลือกกองทุนปันผล "เชิงลึก" ดังนี้ 1. นโยบายการจ่ายปันผล: กองทุนปันผลมีนโยบายจ่ายปันผลอย่างไร? จ่ายปีละกี่ครั้ง? จ่ายแบบสม่ำเสมอหรือไม่? นโยบายการจ่ายปันผลมีความเสี่ยงอย่างไร? กองทุนมีนโยบายจ่ายปันผลจากเงินต้นหรือไม่? เปรียบเทียบนโยบายการจ่ายปันผลของกองทุนต่างๆ ที่สนใจ 2. กลยุทธ์การลงทุน: กองทุนมีกลยุทธ์การลงทุนอย่างไร? ลงทุนในสินทรัพย์ประเภทใด? เน้นการลงทุนในประเทศหรือต่างประเทศ? กลยุทธ์การลงทุนมีความเสี่ยงอย่างไร? กองทุนมีกลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยงอย่างไร? เปรียบเทียบกลยุทธ์การลงทุนของกองทุนต่างๆ ที่สนใจ 3. ค่าธรรมเนียม: กองทุนมีค่าธรรมเนียมอะไรบ้าง? ค่าธรรมเนียมสูงหรือต่ำเมื่อเทียบกับกองทุนอื่น? ค่าธรรมเนียมมีผลต่อผลตอบแทนของกองทุนอย่างไร? เปรียบเทียบค่าธรรมเนียมของกองทุนต่างๆ ที่สนใจ 4. ผลการดำเนินงาน: ผลการดำเนินงานของกองทุนในอดีตเป็นอย่างไร? ผลตอบแทนสูงหรือต่ำ? ผลการดำเนินงานในอดีตสามารถบ่งบอกถึงผลการดำเนินงานในอนาคตได้หรือไม่? เปรียบเทียบผลการดำเนินงานของกองทุนต่างๆ ที่สนใจ 5. ผู้จัดการกองทุน: ผู้จัดการกองทุนมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญอย่างไร? ผลงานที่ผ่านมาของผู้จัดการกองทุนเป็นอย่างไร? เปรียบเทียบผู้จัดการกองทุนของกองทุนต่างๆ ที่สนใจ 6. ความเสี่ยง: กองทุนมีความเสี่ยงอะไรบ้าง? ความเสี่ยงสูงหรือต่ำ? ระดับความเสี่ยงของกองทุนเหมาะสมกับนักลงทุนหรือไม่? เปรียบเทียบความเสี่ยงของกองทุนต่างๆ ที่สนใจ 7. สภาพคล่อง: กองทุนมีสภาพคล่องอย่างไร? ซื้อขายหน่วยลงทุนได้ง่ายหรือไม่? สภาพคล่องของกองทุนมีความสำคัญต่อนักลงทุนอย่างไร? เปรียบเทียบสภาพคล่องของกองทุนต่างๆ ที่สนใจ 8. ขนาดกองทุน: กองทุนมีขนาดใหญ่หรือเล็ก? ขนาดกองทุนมีผลต่อผลการดำเนินงานของกองทุนอย่างไร? เปรียบเทียบขนาดของกองทุนต่างๆ ที่สนใจ 9. ประเภทของกองทุน: กองทุนเป็นกองทุนรวมประเภทใด? กองทุนเปิดหรือกองทุนปิด? ประเภทของกองทุนมีผลต่อนักลงทุนอย่างไร? เลือกประเภทของกองทุนที่เหมาะสมกับนักลงทุน 10. เป้าหมายการลงทุน: เป้าหมายการลงทุนของนักลงทุนคืออะไร? ต้องการเงินปันผลระยะสั้นหรือระยะยาว? เป้าหมายการลงทุนมีความสัมพันธ์กับการเลือกกองทุนอย่างไร?
5.ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1193
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ความยิ่งใหญ่ของรัสเซียในทางเศรษฐกิจ
null
ประเทศรัสเซีย เป็นประเทศที่ระบบเศรษฐกิจดีเป็นอันดับ 12 ของโลก และตัวเลข GDP มีสัดส่วนเป็นร้อยละ 7.5 ของสหรัฐอเมริกา ความเป็นมหาอำนาจของรัสเซียนั้น มาจากคลังนิวเคลียร์ทีมีจำนวนยิ่งใหญ่และมหาศาล หากยังจำกันได้ ก่อนที่วลาดิมีร์ ปูติน จะมาเป็นประธานาธิบดีของรัสเซียคนปัจจุบัน เขาเป็นสายลับในต่างประเทศสมัยสหภาพโซเวียตล่มสลาย ซึ่งอาชีพนี้ไม่ธรรมดาเลยสำหรับประเทศที่อยู่ในช่วงสงครามเย็น ส่วนเรื่องการปกครอง รัสเซียใช้วิธีเผด็จการ ปิดกั้นเสรีภาพแทบทุกสิ่งทุกอย่าง บทเรียนจากย่อหน้านี้ ขณะที่ยูเครนก็มีประชากร ประมาณ 50 ล้านคนและก็อยู่ในระดับใกล้เคียงจนถึงปัจจุบัน ส่วนอเมริกากลับมีคนเพิ่มขึ้นเป็น 330 ล้านคนในปัจจุบัน ความยิ่งใหญ่ของรัสเซียนั้น ถ้าว่ากันทางเศรษฐกิจแล้วก็ต้องพูดว่าหมดไปแล้วเพราะอยู่ในอันดับ 12 ของโลกรองจากเกาหลีใต้และมีขนาดเพียง 7.5% ของ GDP ของสหรัฐ และถ้าไม่ใช่เป็นเพราะว่ารัสเซียยังมีหัวรบนิวเคลียร์จำนวนมหาศาลในคลัง ความเป็น “มหาอำนาจ” ก็น่าจะหมดไปแล้วอย่างสิ้นเชิง วลาดิมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีของรัสเซียวันนี้อายุ 70 ปีแล้ว วันที่สหภาพโซเวียตล่มสลายเขามีอายุ 39 ปี ในวันนั้นเขาเป็น KGB หรือเป็น “สายลับ” ในต่างประเทศ ซึ่งก็เป็นที่รู้กันว่าคนที่ทำงานแบบนี้ในประเทศสังคมนิยมที่เป็นอภิมหาอำนาจในยุค “สงครามเย็น” นั้น ย่อม “ไม่ธรรมดา” ต่อมาเขาก็เข้าเล่นการเมืองและได้รับการเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดีตั้งแต่ปี 2000 จนถึงวันนี้ก็เป็นเวลา 22 ปีแล้วที่เขาอยู่ในอำนาจ ถ้าพูดถึงความนิยมในหมู่คนรัสเซียนั้น ก็ต้องถือว่าน่าจะอยู่ในระดับที่ดีใช้ได้เป็นส่วนใหญ่ แต่วิธีที่ใช้ในการปกครองของเขานั้น วัดโดย “มาตรฐานสากล” ก็ต้องถือว่าเป็นแบบ “เผด็จการ” เพราะมีการปิดกั้นเสรีภาพในด้านข่าวสาร การจับฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง การเลือกตั้งไม่โปร่งใส เป็นต้น ปูตินน่าจะมีความรู้สึกเคียดแค้นต่อคนอย่างอดีตประธานาธิบดีกอร์บาช็อบที่ทำการปฎิรูประบบการปกครองต่าง ๆ และเน้นในเรื่องการเปิดกว้างของสังคม ความโปร่งใสและสิทธิเสรีภาพรวมถึงความเป็นประชาธิปไตยที่เรียกว่า “Glasnost” ในช่วงปี 1986-1991 ซึ่งนำไปสู่ความล่มสลายของสหภาพโซเวียตที่มีรัสเซียเป็นแกนนำ เขาคงต้องการที่จะนำรัสเซียซึ่งเคยยิ่งใหญ่ระดับโลกมาตั้งแต่อดีตและเฉพาะอย่างยิ่งในยุคสหภาพโซเวียตกลับมาอีกครั้งหนึ่ง นี่ก็อาจจะคล้าย ๆ กับความคิดของฮิตเลอร์
4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1194
Finance
ภาวะฟองสบู่แตก คืออะไร
null
“ภาวะฟองสบู่แตก” หมายถึง สถานการณ์ที่ราคาของสินทรัพย์ลงทุนเฟ้อเกินปัจจัยพื้นฐานของสินทรัพย์ลงทุนนั้นไปมากจนเริ่มไม่สมเหตุสมผล โดยทั่วไปมักเกิดจากความพยายามเก็งกำไรและทัศนคติของนักลงทุนต่อสินทรัพย์การลงทุนที่ดีเกินจริง จนกระทั่งถึงจุดอิ่มตัวก็ระเบิดออก ราคาสินทรัพย์ลงทุนจึงรูดลงอย่างรวดเร็วชนิดที่ว่าตั้งตัวกันไม่ทัน ตัวอย่างของภาวะฟองสบู่ครั้งใหญ่ เช่น ฟองสบู่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์สหรัฐ ที่ต่อมาได้นำไปสู่วิกฤติทางการเงินครั้งสำคัญอย่างวิกฤติ Subprime มีจุดเริ่มต้นจากการปล่อยสินเชื่อบ้านโดยใช้เกณฑ์พิจารณาที่หละหลวม ผู้คนกู้เงินซื้อบ้านเยอะขึ้นทั้งที่อาจไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อใช้อยู่อาศัยจริง ๆ แต่ต้องการเก็งกำไร ประกอบกับการออกตราสารทางการเงินที่ตรึงเข้ากับดอกเบี้ยบ้านเพื่อให้นักลงทุนร่วมลงทุนในดอกเบี้ยบ้านได้ ก็ยิ่งเร่งให้ราคาอสังหาริมทรัพย์ปรับตัวสูงขึ้นมาก ต่อมาเมื่อผู้กู้จ่ายหนี้บ้านไม่ไหวและไม่มีใครต้องการซื้อบ้านต่อ เกิดเป็นหนี้สูญจำนวนมาก กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องล้มตามกันไปเป็นโดมิโนและลุกลามถึงเศรษฐกิจทั่วทั้งโลก จากเหตุการณ์ครั้งนั้นก็อาจประมาณการหนี้สูญของสถาบันการเงินทั่วโลกได้ถึง 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์เลย 5 ขั้นตอนของการเกิดฟองสบู่ 1. Displacement: การเกิดขึ้นของสิ่งน่าดึงดูดใจใหม่ ๆ เช่น เทคโนโลยีใหม่ หรืออัตราดอกเบี้ยที่ลดลงเป็นประวัติการณ์ 2. Boom: สิ่งน่าดึงดูดใจนั้นกลายเป็นกระแสที่ถูกพูดถึงเป็นวงกว้าง นักลงทุนต่างหลั่งไหลเข้ามาพร้อม ๆ กัน เกิดความกลัวการ “ตกรถ” หรือการสูญเสีย “โอกาสที่อาจเกิดขึ้นแค่ครั้งเดียวในชีวิต” 3. Euphoria: สถานการณ์ที่ไม่ว่าราคาของสินทรัพย์ลงทุนนั้นจะพุ่งขึ้นไปเท่าไหร่ ก็จะยังคงมีนักลงทุนที่พร้อมจะเข้าสู่การลงทุนในสิ่งนั้นอยู่ดี ราคาของสินทรัพย์ลงทุนจะยิ่งพุ่งสูงจนฉุดไม่อยู่ 4. Profit-taking: จุดที่นักลงทุนบางกลุ่มเริ่มกระโดดออกจากฟองสบู่ที่กำลังต่อตัวเพื่อฉวยโอกาสทำกำไร เกิดเป็นจังหวะย่อตัวครั้งแรก ๆ ของตลาด 5. Panic: ผู้คนลืมความน่าดึงดูดใจของสินทรัพย์ลงทุนนั้นไปจนหมดและเร่งขายสินทรัพย์เพื่อถือเงินสดให้ได้มากที่สุด ราคาของสินทรัพย์ลงทุนรูดลงอย่างรวดเร็วและรุนแรง เป็นจังหวะที่เกิดขึ้นได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ และไม่สามารถกะเกณฑ์ได้แน่ชัดว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่
5.ความรู้ทางการเงิน,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1195
Finance
มะเร็งร้ายในพอร์ตการลงทุน หน้าตาเป็นอย่างไร
null
ถ้าเป็นพอร์ตการลงทุน ก็คือพอร์ตที่ขาดทุนจนยากจะกู้คืน เพราะตอนที่ยังขาดทุนไม่เยอะ มักจะคิดว่า “เดี๋ยวมันก็กลับมา” เห็นตัวเลขขาดทุนยังน้อยก็ไม่รู้สึกสะเทือนมากนัก แต่ในหลายๆ ครั้ง สถานการณ์มักจะไม่เอื้ออำนวยต่อความคิด และถึงแม้ว่าจะพอรับทราบสถานการณ์รอบตัวว่าควรตัดขาดทุน (Cut Loss) แต่บางคนก็ไม่กล้า กลัว และรู้สึกว่าหากอดทนอีกนิดก็อาจจะผ่านพ้นสภาวะนี้ไปก็ได้ โดยลืมฉุกคิดไปว่ามันอาจจะใช้เวลานานมาก กว่าจะกลับไปสู่จุดเดิมที่พอร์ตสุขภาพดีได้อีกครั้ง สาเหตุของมะเร็งร้ายในพอร์ตการลงทุน ถ้าเป็นร่างกาย สาเหตุก็จะมาจาก “พฤติกรรม” และ “สภาพแวดล้อม” ที่ทำร้ายร่างกายนั่นเอง พอร์ตการลงทุนก็ไม่ต่างกันเท่าไรนัก - บางคนอาจจะมีพฤติกรรม “เชื่อเพื่อน” เห็นว่าใครแนะนำสินทรัพย์ไหน ก็ลงทุนตามนั้นโดยขาดการไตร่ตรองหรือศึกษาให้ชัดเจน - บางคนอาจจะมีพฤติกรรม “กลัวตกรถ” คือ พอเห็นว่าสินทรัพย์ไหนกำลังราคาพุ่งแรง ก็ไม่รอช้ารีบเข้าไปซื้อด้วยทันที โดยขาดการศึกษาเพิ่มเติมว่าราคาตอนนี้เหมาะสมไหม - บางคนอาจจะมีพฤติกรรม “ขี้เกียจ” คือ ขี้เกียจศึกษา ขี้เกียจทำความเข้าใจว่าพอร์ตการลงทุนที่ดีควรมีสินทรัพย์แบบไหน เท่าไร ในสถานการณ์แบบไหน นอกเหนือจากพฤติกรรมของบุคคลแล้ว สภาพแวดล้อมก็มีส่วน ในแง่ของการลงทุนก็คือ สภาวะตลาดนั่นเอง บางทีอาจจะไม่ได้มีพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งโดยตรง แต่เผลอไปอยู่ในจุดที่สภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวย เช่น - เข้าตลาดในช่วงที่ฟองสบู่กำลังจะแตก - ลงทุนในช่วงที่ตลาดซึมยาว - ลงทุนในอุตสาหกรรมที่กำลังเป็นขาลง ซึ่งในหลายๆ กรณี สิ่งเหล่านี้เป็นผลกระทบทางอ้อมจากการที่ไม่ได้ศึกษาตลาดให้ดีพอ แต่บางกรณีก็มี ที่คิดว่าศึกษาดีแล้ว แต่กลับเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น ต้องเรียกว่าเป็นเหตุสุดวิสัยจริงๆ
5.ความรู้ทางการเงิน,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1199
Finance
เขียนโฆษณาแคมเปญเรื่อง "สู่อนาคตที่มั่นคง: เปิดตำนาน M-EUBANK กองทุนแบงก์ยุโรป" ให้หน่อย
null
หัวข้อ: เจาะลึก M-EUBANK กองทุนแบงก์ยุโรป: แข็งแกร่งรับดอกเบี้ยขาขึ้น "ก้าวสู่อนาคตที่มั่นคงกับ M-EUBANK กองทุนแบงก์ยุโรป: การลงทุนที่ปลอดภัยและมั่นคง" ในยุคที่ตลาดการเงินกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องและเผชิญกับความไม่แน่นอนจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ เราพบว่าการค้นหาทางเลือกในการลงทุนที่มั่นคงและปลอดภัยเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนทุกคน ด้วยความเข้าใจที่ลึกซึ้งในภาวะการเงินของยุโรปและอัตราการเปลี่ยนแปลงของตลาด กองทุน M-EUBANK กลายเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการสร้างพอร์ตโฟลิโอที่มั่นคงและมีโอกาสในการรับดอกเบี้ยที่สูงขึ้นอย่างมีเสถียรภาพ ข้อมูลพื้นฐานของ M-EUBANK กองทุนแบงก์ยุโรป - กลยุทธ์การลงทุนที่มั่นคง: M-EUBANK กองทุนแบงก์ยุโรปมุ่งเน้นการลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินที่มีความเสถียรและมั่นคง เช่น หลักทรัพย์ของธนาคารที่มีชื่อเสียงและสถาบันการเงินที่มีประสิทธิภาพ - การดูแลโดยทีมผู้เชี่ยวชาญ: กองทุนนี้ได้รับการดูแลโดยทีมผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในตลาดการเงินยุโรป ซึ่งมีประสบการณ์และความเข้าใจที่ลึกซึ้งในกลยุทธ์การลงทุนที่สามารถทำให้ผู้ลงทุนได้รับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว - การรับรองความปลอดภัย:M-EUBANK กองทุนแบงก์ยุโรปได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่เชื่อถือได้ในวงการการเงิน และมีประวัติการทำงานที่มั่นคงและนานนับเป็นปี ประโยชน์ของการลงทุนใน M-EUBANK กองทุนแบงก์ยุโรป 1. ความมั่นคงและความเสถียร: การลงทุนในกองทุนนี้ช่วยสร้างพอร์ตโฟลิโอที่มีความเสถียรและมั่นคงในระยะยาว เนื่องจากมีการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำและมีประสิทธิภาพ 2. โอกาสในการรับดอกเบี้ยที่สูงขึ้น: ด้วยการลงทุนในหลักทรัพย์ของธนาคารที่มีชื่อเสียงและประสิทธิภาพ นักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนจากดอกเบี้ยที่มีระดับสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยในตลาด 3. การดูแลโดยผู้เชี่ยวชาญ: ทีมผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในการจัดการกองทุนในตลาดยุโรปจะช่วยให้การจัดการพอร์ตโฟลิโอมีประสิทธิภาพและปรับตัวตามสถานการณ์ตลาด **สรุป M-EUBANK กองทุนแบงก์ยุโรปเป็นทางเลือกที่เหมาะสำหรับนักลงทุนที่กำลังมองหาโอกาสในการลงทุนที่มั่นคงและมีโอกาสในการรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น ด้วยกลยุทธ์การลงทุนที่มั่นคง การดูแลโดยทีมผู้เชี่ยวชาญ และการรับรองความปลอดภัยจากหน่วยงานที่เชื่อถือได้ นักลงทุนสามารถมั่นใจได้ในการลงทุนใน M-EUBANK กองทุนแบงก์ยุโรปเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีและมั่นคงในระยะยาว
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_12
Finance
5 ธีมการลงทุนระยะยาว ธีมไหนน่าสนใจที่สุดสำหรับนักลงทุนรายย่อย และทำไม?
null
ธีมการลงทุนที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนรายย่อยที่สุดคือ ธีม Ageing & Lifestyle เหตุผล: ประชากรสูงอายุมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น: จำนวนประชากรโลกที่มีอายุมากกว่า 60 ปี จะเพิ่มเป็น 2.1 พันล้านคน ในปี ค.ศ. 2050 ประชากรกลุ่มนี้มีการใช้จ่ายและลงทุนเพื่อปรับปรุงความเป็นอยู่ที่ดี (wellness) ส่งผลให้เกิดโอกาสลงทุนกับบริษัทที่มีธุรกิจสืบเนื่องจากอายุขัยที่ยาวขึ้น ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Ageing & Lifestyle มีความหลากหลาย: ครอบคลุมตั้งแต่ธุรกิจการขายผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางหรือเวชศาสตร์ชะลอวัย ไปถึงธุรกิจที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุ ธุรกิจบริการด้านสุขภาพ ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ธุรกิจสันทนาการ ธุรกิจเหล่านี้มีแนวโน้มเติบโตอย่างยั่งยืน: แนวโน้มการสูงอายุของประชากรโลกเป็น megatrend ที่ยากจะเปลี่ยนแปลง ธุรกิจเหล่านี้จึงมีโอกาสเติบโตไปพร้อมกับจำนวนประชากรสูงอายุ เหมาะกับนักลงทุนรายย่อย: ธุรกิจเหล่านี้มีจำนวนมากและกระจายอยู่ในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม นักลงทุนรายย่อยสามารถเลือกลงทุนในธุรกิจที่ตนมีความสนใจหรือเข้าใจ ไม่จำเป็นต้องมีเงินลงทุนจำนวนมาก ตัวอย่างธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Ageing & Lifestyle: ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและเวชศาสตร์ชะลอวัย: L'Oreal, Estee Lauder, Unilever, Nestle ธุรกิจที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุ: Senior Living Group, Origin Property, Ananda Development ธุรกิจบริการด้านสุขภาพ: Bangkok Dusit Medical Services (BDMS), Bumrungrad Hospital, Thonburi Healthcare Group ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม: Nestle, Unilever, CP Foods, Thai Union ธุรกิจสันทนาการ: Major Cineplex, Minor International, Tourism Authority of Thailand อย่างไรก็ตาม นักลงทุนรายย่อยควรศึกษาข้อมูลของธุรกิจอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน ปัจจัยที่ควรพิจารณา: ผลประกอบการของธุรกิจ กลยุทธ์ทางธุรกิจ ทีมผู้บริหาร ความเสี่ยง โอกาสในการเติบโต การลงทุนในธีม Ageing & Lifestyle เป็นโอกาสที่ดีสำหรับนักลงทุนรายย่อย ที่ต้องการลงทุนระยะยาวเพื่อผลตอบแทนที่มั่นคงและยั่งยืน
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Finance_120
Finance
จงเสนอไอเดียนำค่าใช้จ่ายและเงินลงทุนมาใช้เพื่อลดภาระภาษี
null
1.ลดภาษีจากสถานะหรือค่าใช้จ่ายที่มีอยู่ เพื่อเพิ่มประโยชน์ภาษีอีก 1 ต่อ ไม่ว่าจะเป็น ค่าลดหย่อนจากสถานะ เช่น ดูแลบุตร คนละ 30,000 บาท (บุตรคนที่ 2 และเกิดตั้งแต่ พ.ศ. 2561 คนละ 60,000 บาท) บุพการี คนละ 30,000 บาท ค่าลดหย่อนจากนโยบายรัฐ เช่น ดอกเบี้ยบ้าน หักตามจริง สูงสุด 100,000 บาท เงินบริจาค หักได้ตามจริง สูงสุด 10% ของเงินได้หลังหักค่าลดหย่อน เป็นต้น 2. ​ลดภาษีจากการออมและการลงทุน ถือเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อตนเอง หากเริ่มต้นออมอายุ 36 ปี เดือนละ 10,000 บาท (ปีละ 120,000 บาท) รายได้ตกฐานภาษี 20% (เงินคืนอย่างน้อยปีละ 24,000 บาท) นำไปลงทุนเสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง (ระดับ 5) ผลตอบแทนเฉลี่ย 5% ต่อปี จะมีเงินประมาณ 6 ล้านบาท (จากเงินต้น 3 ล้านบาท) เมื่ออายุ 60 ปี หากนำเงินคืนภาษีอีกอย่างน้อยปีละ 24,000 บาท มาลงทุนเพิ่มอีก จะช่วยให้มีเงินออมมากกว่า 6 ล้านบาท (อายุ 60 ปี) อ่านมาถึงตรงนี้ ถามว่าปัจจัยที่สำคัญ ที่ช่วยบรรลุเงินออมได้ คือ ระยะเวลาลงทุน นั่นเอง ดังนั้น ดีที่สุดควรเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ 2.1 จะเลือกลดหย่อนอะไรดี ดูจากวัตถุประสงค์ในการออมเงิน และระยะเวลาถือครอง >> วัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองชีวิต แนะนำเลือกลดหย่อนโดยประกันชีวิต โดยมีอายุกรมธรรม์ตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป >> วัตถุประสงค์เพื่อออมลงทุน โดยมีอายุน้อยกว่า 45 ปี แนะนำให้เลือกลดหย่อนด้วยกองทุนเพื่อการออม (SSF) ให้เต็มสิทธิก่อน (ลดหย่อนสูงสุด 30% ของเงินได้ ไม่เกิน 200,000 บาท) หากต้องการลดหย่อนเต็ม Max ให้ใช้สิทธิลดหย่อนกองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) (ลดหย่อนสูงสุด 30% ของเงินได้ ไม่เกิน 500,000 บาท) เป็นลำดับถัดไป หากมีตั้งแต่อายุ 45 ปีขึ้นไป แนะนำให้เลือก กองทุน RMF เป็นลำดับแรก และหากยังต้องการลดหย่อนเต็ม Max ให้ใช้สิทธิในส่วนของกองทุน SSF เป็นลำดับถัดไป ทั้งนี้ เพื่อให้ระยะเวลาลงทุนไม่ให้นานเกินความจำเป็น Tips : กองทุนที่มีนโยบายจ่ายปันผล จะมีให้เลือกในกองทุน SSF เท่านั้น กองทุน RMF ไม่มีนโยบายจ่ายปันผล อย่าลืม เงื่อนไขลดหย่อนเต็ม Max ทั้ง SSF RMF กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ/กบข. (กลุ่มเกษียณ) รวมกันได้ไม่เกิน 500,000 บาท 2.2 จะเลือกตัวไหนดี ดูจากผลตอบแทนและความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนยอมรับได้ ในสภาวะตลาดหุ้นผันผวน ดอกเบี้ยก็น้อย อยากลงทุนได้สบายใจ ไม่กระทบแผนการเงิน ผลตอบแทนไม่หวือหวา แต่สม่ำเสมอ สำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้ปานกลางค่อนข้างสูง แนะนำให้ลงทุนในกองทุนผสมที่นอกจากจะประหยัดภาษีแล้ว และยังเน้นเพิ่มรายรับเฉลี่ยสม่ำเสมอ 4% ต่อปี เพราะไม่เสี่ยงเกินไป ได้กระจายการลงทุนไปทั่วโลก โดย SSF กสิกรไทย แนะนำ K-GINCOME-SSF ที่เป็น SSF แบบผสมทั่วโลก ที่มีผู้เชี่ยวชาญคอยปรับสัดส่วนให้เหมาะสมกับแต่ละช่วงเวลา เพื่อมุ่งหาสินทรัพย์ที่ให้รายได้สม่ำเสมอ กองทุนเดียวที่มีนโยบายจ่ายปันผล (ปีละไม่เกิน 4 ครั้ง) เหมาะกับคนที่อยากได้ผลตอบแทนระหว่างลงทุนยาว 10 ปี ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ 14.67%* ต่อปี RMF กสิกรไทย แนะนำ กองทุน K2035RMF สำหรับผู้ที่เกษียณอายุในปี ค.ศ. 2035 หรือ พ.ศ. 2578 หรืออีก 15 ปีข้างหน้า มีผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือน อยู่ที่ 5.72%**ต่อปี เน้นลงทุนในตราสารหนี้และหุ้นทั่วโลก โดยเน้น กระจายลงทุนในกองทุนเพื่อวัยเกษียณที่ดีที่สุดในโลกตั้งแต่ 2 กองทุนขึ้นไป (Fund of funds) ทำให้กองทุนมีความยืดหยุ่น และมีการปรับสัดส่วนสินทรัพย์ให้อัตโนมัติตามช่วงอายุ (Glide Path) โดยในช่วงแรกจะเน้นลงทุนในหุ้นเพื่อให้เงินเติบโต และเมื่อขยับเข้าใกล้วันเกษียณอายุจะเน้นลงทุนในตราสารหนี้มากขึ้น เพื่อป้องกันเงินต้นและลดความเสี่ยงจากการขาดทุน ทำให้ลงทุนในกองทุน K2035RMF กองเดียวต่อเนื่องได้ทุกปีจนเกษียณด้วยโมเดลที่นิยมทั่วโลก ไม่ต้องปรับพอร์ตเอง ทั้งนี้ เมื่อลงทุนในกองทุนเพื่อการออม (SSF) หรือ กองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) สามารถสับเปลี่ยนนโยบายการลงทุนได้ หรือหากกังวลว่าจะเป็นการลงทุนระยะยาวไป เลือกกองทุนที่มีนโยบายจ่ายปันผลเพื่อคืนผลตอบแทนในบางส่วนก่อนก็ได้ อย่างไรก็ตาม ในช่วงปลายปี เป็นฤดูกาลของการซื้อกองทุนลดหย่อนภาษี​ หากมองว่าราคาสูงไป หรือ ตลาดยังผันผวนอยู่ จึงยังลังเลในการเริ่มต้น ขอแนะนำให้เลือกกองทุนลดหย่อนภาษีที่มีความเสี่ยงต่ำก่อน เช่น กองทุน K-FIXEDPLUS-SSF หรือ กองทุน KFIRMF ที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้ ไปก่อน แล้วสับเปลี่ยนกองทุนอื่นๆในปีถัดไป เพื่อให้ไม่พลาดการลดหย่อนภาษีในปีนี้และตัดสินใจเริ่มออมได้ทันที ​ ​ Disclamer : “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน” หมายเหตุ * ข้อมูลผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี ณ วันที่ 21 ตุลาคม 2564 ** ข้อมูลผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือน ณ วันที่ 21 ตุลาคม 2564 (เป็นระยะยาวที่สุดตั้งแต่จัดตั้งกองทุน)
5.ความรู้ทางการเงิน,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Finance_1201
Finance
วิธีการ DCA กองทุน SSF RMF ตั้งแต่ต้นปี แนะนำว่าให้คำนวณออกมาว่าจะต้องซื้อกองทุนเพื่อลดหย่อนภาษีประมาณเท่าไร หลังจากนั้นให้แบ่งเงินเป็น 2 ก้อน โดยแต่ละก้อนแบ่งเป็นอะไรไดบ้าง
null
วิธีการ DCA กองทุน SSF RMF ตั้งแต่ต้นปี แนะนำว่าให้คำนวณออกมาว่าจะต้องซื้อกองทุนเพื่อลดหย่อนภาษีประมาณเท่าไร หลังจากนั้นให้แบ่งเงินเป็น 2 ก้อน โดยสัดส่วนแรก 80% และสัดส่วนที่สอง 20% สัดส่วนแรก 80% ที่เอามาหาร 12 เพื่อเฉลี่ยเป็นเงินลงทุนทุกเดือน ส่วน 20% นั้นเอาไว้ซื้อกองทุนที่น่าสนใจที่มาช่วงหลัง หรือเก็บไว้ซื้อช่วงที่ตลาดปรับตัวลงก็ได้ เมื่อคำนวณได้เเล้ว ก็อย่าลืมจัดพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมด้วย ไม่หนักกอง growth หรือ thematic มากเกินไป เพื่อที่จะได้ไม่ตกใจ หากตลาดปรับตัวลงแรง ตัวอย่างการลงทุน SSF RMF เพื่อช่วยประหยัดภาษี เคสที่ 1 เงินเดือน 40,000 บาท (รายได้ปีละ 480,000 บาท) สมมติว่าซื้อ SSF ตามเกณฑ์ จะซื้อได้ไม่เกิน 30% ของเงินได้ นั่นก็คือ 144,000 บาท นำเงิน 144,000 มาเเบ่งเป็น 80% คิดเป็น 115,200 บาท นำไปลงทุน DCA จำนวน 12 เดือน สรุปแล้วจะ DCA เดือนละ 9,600 บาท 20% คิดเป็น 28,000 บาท เก็บไว้ซื้อช่วงตลาดปรับตัวลง หรือซื้อกองทุน IPO ใหม่ที่สนใจ ในส่วนของการประหยัดภาษี จากเดิมต้องจ่ายที่ 6,850 บาท หากซื้อกองทุนที่ 144,000 บาท จะลดภาษีไปได้ทั้งหมด นั่นก็คือไม่ต้องจ่ายเลย เคสที่ 2 เงินเดือน 60,000 บาท (รายได้ปีละ 720,000 บาท) สมมติว่าซื้อ SSF ตามเกณฑ์ จะซื้อได้ไม่เกิน 30% ของเงินได้ แต่ต้องไม่เกิน 200,00 บาท นั่นก็คือซื้อได้ที่ 200,000 บาท นำเงิน 200,000 มาเเบ่งเป็น 80% คิดเป็น 160,000 บาท นำไปลงทุน DCA จำนวน 12 เดือน สรุปแล้วจะ DCA เดือนละ 13,333 บาท 20% คิดเป็น 40,000 บาท เก็บไว้ซื้อช่วงตลาดปรับตัวลง หรือซื้อกองทุน IPO ใหม่ที่สนใจ ในส่วนของการประหยัดภาษี จากเดิมต้องจ่ายที่ 29,750 บาท หากซื้อกองทุนที่ 200,000 บาท จะเหลือภาษีที่ต้องจ่ายเพียง 9,000 บาท ประหยัดไปได้ 20,750 บาท เคสที่ 3 เงินเดือน 80,000 บาท (รายได้ปีละ 960,000 บาท) สมมติว่าซื้อ SSF RMF 400,000 บาท (โดยตามเกณฑ์จะซื้อได้อย่างละไม่เกิน 30% ของรายได้พึงประเมิน: SSF เต็มที่ 200,000 บาท ส่วน RMF เต็มที่ 500,000 บาท รวมกับกองทุนสำรองเลี้ยชีพ และกองทุนบำนาญ ได้สูงสุด 500,000 บาท) นำเงิน 400,000 มาเเบ่งเป็น 80% คิดเป็น 320,000 บาท นำไปลงทุน DCA จำนวน 12 เดือน สรุปแล้วจะ DCA เดือนละ 26,667 บาท 20% คิดเป็น 80,000 บาท เก็บไว้ซื้อช่วงตลาดปรับตัวลง หรือซื้อกองทุน IPO ใหม่ที่สนใจ ในส่วนของการประหยัดภาษี จากเดิมต้องจ่ายที่ 63,950 บาท หากซื้อกองทุนที่ 400,000 บาท จะเหลือภาษีที่ต้องจ่ายเพียง 11,800 บาท ประหยัดไปได้ 52,150 บาท เคสที่ 4 เงินเดือน 100,000 บาท (รายได้ปีละ 1,200,000 บาท) สมมติว่าซื้อ SSF RMF 400,000 บาท (โดยตามเกณฑ์จะซื้อได้อย่างละไม่เกิน 30% ของรายได้พึงประเมิน: SSF เต็มที่ 200,000 บาท ส่วน RMF เต็มที่ 500,000 บาท รวมกับกองทุนสำรองเลี้ยชีพ และกองทุนบำนาญ ได้สูงสุด 500,000 บาท) นำเงิน 400,000 มาเเบ่งเป็น 80% คิดเป็น 320,000 บาท นำไปลงทุน DCA จำนวน 12 เดือน สรุปแล้วจะ DCA เดือนละ 26,667 บาท 20% คิดเป็น 80,000 บาท เก็บไว้ซื้อช่วงตลาดปรับตัวลง หรือซื้อกองทุน IPO ใหม่ที่สนใจ ในส่วนของการประหยัดภาษี จากเดิมต้องจ่ายที่ 109,200 บาท หากซื้อกองทุนที่ 400,000 บาท จะเหลือภาษีที่ต้องจ่ายเพียง 38,150 บาท ประหยัดไปได้ 71,050 บาท
4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1203
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ปัจจัยที่ส่งผลกระทบราคาน้ำมันในปี 2022
null
ปี 2022 ราคาน้ำมันในไทยยังคงสูงขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจัยที่ส่งผลกระทบมีทั้งที่มาจากตลาดโลก และในประเทศไทย เริ่มที่ปัจจัยจากตลาดโลกก่อน อย่างแรกเลยก็คือ สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน ก่อให้เกิดปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คำถามที่ว่าถ้าสงครามเกิดขึ้นจริง ๆ จะเกิดอะไรขึ้น คำตอบแรกเลยคือ ราคาพลังงานโลกจะปรับตัวเพิ่มขึ้น และนโยบายเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันของกลุ่มประเทศ OPEC+ ก็ไม่เพียงพอที่จะคลี่คลายสถานการณ์ได้ ส่วนปัจจัยในประเทศไทยนั้น มาจากอัตราแลกเปลี่ยน และนโยบายผสมเชื้อเพลิงชีวภาพกับน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร บทเรียนจากย่อหน้านี้ ในปี 2022 ราคาน้ำมันยังคงพุ่งสูงอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยที่ส่งผลกระทบราคาน้ำมันในปีนี้ ปัจจัยจากตลาดโลกที่สำคัญ - ปัญหาทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) หรือปัญหาที่อาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ นั่นคือความไม่ลงรอยกันระหว่างประเทศรัสเซียและยูเครน - เมื่อยูเครนที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียตเหมือนกันและมีชายแดนประเทศติดกัน ได้พยายามตีตัวออกห่างด้วยการพยายามเข้าเป็นสมาชิก NATO หรือองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อสกัดอิทธิพลของรัสเซีย โดยที่ขณะนี้สถานการณ์ยิ่งทวีความกดดันมากขึ้นเมื่อรัสเซียได้ระดมกำลังทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์ประชิดชายแดนยูเครนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว - และหากเกิดสงครามจริงก็จะยิ่งดันราคาพลังงานโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก เพราะรัสเซียเป็นประเทศส่งออกพลังงานมากเป็นอันดับ 2 รองจากสหรัฐอเมริกา และถึงแม้กลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมัน OPEC+ จะมีนโยบายเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันอย่างค่อยเป็นค่อยไปเป็น 400,000 บาร์เรลต่อวันแล้วก็ตาม ขณะนี้ก็ยังไม่เพียงพอที่จะคลี่คลายสถานการณ์แต่อย่างใด - CEO ของบริษัท Chevron ก็ยังได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่าราคาน้ำมันจะพุ่งสูงต่อไปจนอีกถึง 100$ ต่อบาร์เรลจากที่ปัจจุบันก็แตะระดับ 90$ ต่อบาร์เรลเรียบร้อยแล้ว นับว่าสูงสุดในรอบ 7 ปีเลยทีเดียว ปัจจัยในประเทศไทย - ส่วนหนึ่งก็มีที่มาจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งนับว่าเป็นต้นทุนอย่างหนึ่งในการนำเข้าน้ำมัน เนื่องจากเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลงต่อเนื่อง - รวมถึงการที่ประเทศไทยมีนโยบายผสมเชื้อเพลิงชีวภาพเข้ากับน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อลดการน้ำเข้าน้ำมันและช่วยเหลือเกษตรกร แต่กลับกลายเป็นว่าพลังงานทดแทนเหล่านี้กลับปรับตัวสูงขึ้น ยิ่งดันราคาน้ำมันให้สูงขึ้นอีก - อย่างไรก็ตาม กระทรวงพลังงานมีมาตรการใช้เงินจากกองทุนน้ำมันรวมถึงกู้เงินจากแหล่งอื่นเพิ่มเติม เพื่อนำมาชดเชยการตรีงราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาท/ลิตร และปรับลดสัดส่วนการผสมน้ำมันไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซล และขอความร่วมมือจากผู้ค้าน้ำมันให้ปรับลดค่าการตลาดลง
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1207
Finance
กองทุน K-CHINA-A(A) มีนโยบายลงทุนในต่างประเทศ เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนหลักกองทุนใด
null
กองทุน K-CHINA-A(A) มีนโยบายลงทุนในต่างประเทศ เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนหลัก JPMorgan Funds – China Fund, Class JPN China I (acc) – USD ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นของบริษัทที่ตั้งถิ่นฐานหรือดำเนินธุรกิจส่วนใหญ่ในสาธารณรัฐประชาชนจีน ในอัตราส่วนโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 67% ของ NAV และมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงค่าเงินไม่น้อยกว่า 75% ความเสี่ยงกองทุนระดับ 6 : เสี่ยงสูง โดยกองทุนหลักมีนโยบายการลงทุน เพื่อสร้างผลตอบแทนระยะยาวจากการลงทุนในบริษัทที่ดำเนินธุรกิจในประเทศจีนเป็นหลัก ทางกองทุนใช้หลักการคัดเลือกหุ้นโดยเน้นไปที่การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน และจัดเต็ม ๆ กับบริษัทที่ทางผู้จัดการกองทุนเห็นโอกาสในการสร้างผลตอบแทน สิ่งที่สนใจในกองทุน K-CHINA-A(A) คือ สัดส่วนการลงทุนในกลุ่ม Consumer Discretionary ที่สูงถึง 32.1% หรือราว ๆ 1 ใน 3 ของกองทุน ถือว่าอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับที่อื่น ๆ จาก Research ของ Mckinsey การลงทุนใน Consumer Trend ของจีนจะได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลง 3 ข้อด้วยกัน 1. การ Digitization ของกลุ่มบริษัทที่กำลัง Transform ตัวเองเข้าสู่เทคโนโลยี จะได้เห็นบริษัทในจีนส่วนใหญ่แม้ไม่ใช่บริษัทเทคโนโลยีแต่ใช้เทคโนโลยีกันอย่างเข้มข้นมาก ๆ 2. การเพิ่มขึ้นของการบริโภคในประเทศ จีนรู้ว่าการจะเอาชนะในเกมมหาอำนาจนี้ได้จะต้องใช้ประโยชน์จากคน 1,300 ล้านคนของประเทศตนเองให้มากที่สุด ดังนั้นจีนเลยหันมาเน้นการบริโภคภายในประเทศ 3. การแข่งขันที่รุนแรงในเชิงเทคโนโลยีทำให้จีนได้เปรียบ จำนวนผู้บริโภคในประเทศที่มหาศาล ทำให้จีนสามารถทำต้นทุนได้ต่ำกว่าประเทศอื่น ๆ ด้วยเหตุนี้ทำให้กลุ่ม Consumer Discretionary จึงน่าสนใจ แต่นี่ก็ไม่ใช่แค่จุดเด่นเดียวของกองทุน K-CHINA-A(A) เพราะอุตสาหกรรมอันดับ 2 ที่กองทุนลงทุนคือ Communication Services และอันดับ 3 คือ Information Technology ซึ่งถือเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มการเติบโตสูงในอนาคตทั้งคู่
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1210
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ เรื่องราวแบบหุ้น ROS กำลังเกิดขึ้นในตลาดหุ้นไทยในวันศุกร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2565
null
ในวันศุกร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2565 เรื่องราวแบบหุ้น ROS กำลังเกิดขึ้นในตลาดหุ้นไทย เพราะมีหุ้นเล็กอย่างน้อย 2 ตัว ที่กลายเป็นหุ้นแสนล้านบาท โดยคิดจาก Market Cap. ของแต่ละตัวที่สูงใกล้หรือมากกว่าหนึ่งแสนล้านบาททั้ง ๆ ที่มีขนาดของธุรกิจเล็กมากมีรายได้ระดับ 100 หรือ 2,000 ล้านบาท และกำไรระดับไม่เกิน 200 ล้านบาทหรือต่ำกว่านั้น ซึ่งข้อมูลโดยคร่าว ๆ คือ มีรายได้เฉลี่ย 3 ไตรมาสที่ผ่านมาของปี 2564 ที่ประมาณ 700 ล้านบาท มีกำไรเฉลี่ยประมาณ 50 ล้านบาท Market Cap. หรือมูลค่าหุ้นเฉลี่ยของ 2 ตัวคือตัวละประมาณ 140,000 ล้านบาท ถ้าคิดค่า PE ก็น่าจะอยู่ที่ประมาณ 2,000 เท่า นอกจากกำไรที่เพิ่มขึ้นแรงเพราะกำไรในปี 2563 เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 10 ล้านบาท จะทำให้หุ้นขึ้นแล้ว การที่บริษัทมี Story ที่น่าตื่นเต้น อาจจะทำเงินได้อย่างมหาศาลอีกด้วย บทเรียนจากย่อหน้านี้ วันศุกร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2565 เรื่องราวแบบหุ้น ROS กำลังเกิดขึ้นในตลาดหุ้นไทย เพราะมี “หุ้นเล็ก” อย่างน้อย 2 ตัวที่กลายเป็นหุ้น “แสนล้านบาท” คิดจาก Market Cap. ของแต่ละตัวที่สูงใกล้หรือมากกว่าหนึ่งแสนล้านบาททั้ง ๆ ที่มีขนาดของธุรกิจเล็กมากมีรายได้ระดับ 100 หรือ 2,000 ล้านบาท และกำไรระดับไม่เกิน 200 ล้านบาทหรือต่ำกว่านั้น ข้อมูลของหุ้น 2 ตัวประมาณคร่าว ๆ ก็คือ มีรายได้เฉลี่ย 3 ไตรมาศที่ผ่านมาของปี 2564 ที่ ประมาณ 700 ล้านบาท มีกำไรเฉลี่ยประมาณ 50 ล้านบาท Market Cap. หรือมูลค่าหุ้นเฉลี่ยของ 2 ตัวคือตัวละประมาณ 140,000 ล้านบาท ถ้าคิดค่า PE อย่างหยาบ ๆ ก็น่าจะประมาณ 2,000 เท่า สิ่งที่ทำให้หุ้นขึ้นนั้น นอกจากกำไรที่เพิ่มขึ้นแรงเพราะกำไรในปี 2563 นั้นเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 10 ล้านบาทเท่านั้น ก็คือการที่บริษัทมี “Story” ที่ “น่าตื่นเต้น” ที่อาจจะสามารถทำเงินมหาศาล เช่น การเข้าไปเกี่ยวข้องกับ “อนาคตของโลกยุคใหม่” เช่น คริปโตเคอเรนซี่และคลาวด์เป็นต้น แต่ที่คิดว่าเป็น “ตัวจริง” ที่ทำให้หุ้นวิ่งขึ้นไป “ทะลุโลก” ก็คือการที่หุ้นถูก “Corner” อย่างรุนแรงโดยเฉพาะจากนักเล่นหุ้นรายใหญ่ที่โหมกันเข้ามาเล่นหรือปั่นหุ้นในตลาดหุ้นไทยและก่อให้เกิดปรากฏการณ์ “หุ้นอภินิหาร” ที่มีราคาขึ้นมาหลาย ๆ เท่าตัว บางตัวใหญ่ขนาดที่สามารถท้าทายหุ้นที่ใหญ่ที่สุดในตลาดหลักทรัพย์ไทยได้
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1211
Finance
จงเสนอไอเดีย นำเงินโบนัสประจำปีที่ได้ ไปลงทุนทำอะไรดี
null
1. ฝากธนาคาร เป็นวิธีเบสิกสำหรับการเก็บเงิน มีทั้งฝากออมทรัพย์ ฝากประจำ ฝากดิจิทัล แต่อย่างที่ทราบกันดีว่าตอนนี้ดอกเบี้ยเงินฝากค่อนข้างต่ำ ส่วนเงินเฟ้อก็สูงขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นการฝากเงินในธนาคารอาจจะไม่ได้ทำให้เงินของเรางอกเงยได้ดีเท่าไรนัก 2. ซื้อประกัน ประกันมีหลายประเภท ทั้งประกันออมทรัพย์ ประกันชีวิต ประกันอุบัติเหตุ ประกันสุขภาพ ลองพิจารณาดูว่าประกันแบบใดเหมาะกับเรา หรือหากใครยังไม่มีประกันสุขภาพก็ลองเลือกซื้อแผนที่ตอบโจทย์เรามากที่สุด เพราะถ้าเกิดเจ็บป่วยขึ้นมาแล้วต้องควักเงินจ่ายค่ารักษาเองมีหวังเป็นลมแน่ ๆ 3. ลงทุนในตราสารหนี้ ตราสารหนี้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกการลงทุนสำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้น้อยแต่ต้องการผลตอบแทนที่มากกว่าดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร หากรับความเสี่ยงได้ต่ำก็มีพันธบัตรรัฐบาลเป็นตัวเลือกลงทุน ส่วนใครที่ต้องการผลตอบแทนที่สูงขึ้นอาจเลือกลงทุนในหุ้นกู้เอกชนแทน ทั้งนี้ความเสี่ยงก็จะสูงขึ้นเช่นกัน 4. ลงทุนในทองคำ การลงทุนในทองคำทำได้หลายวิธี ทั้งซื้อทองคำแท่งหรือทองรูปพรรณ ออมทองคำ ลงทุนผ่านกองทุนรวมทองคำ ฯลฯ ทองคำมีสภาพคล่องค่อนข้างสูง และความสัมพันธ์กับสินทรัพย์อื่นต่ำ จึงนิยมนำมาเป็นตัวช่วยกระจายความเสี่ยงให้พอร์ตการลงทุน 5. ลงทุนในหุ้น การลงทุนในหุ้นปัจจุบันค่อนข้างสะดวกเพราะลงทุนได้ผ่านแอปพลิเคชันออนไลน์ของโบรกเกอร์ต่าง ๆ ซึ่งนอกจากส่วนต่างราคาที่จะได้รับแล้ว เรายังได้รับสิทธิประโยชน์อื่น ๆ เช่น สิทธิรับเงินปันผล (กรณีบริษัทที่เราลงทุนมีนโยบายจ่ายเงินปันผล) การเข้าร่วมประชุมผู้ถือหุ้น การจองซื้อหุ้นออกใหม่ หุ้นเพิ่มทุน ฯลฯ 6. ลงทุนในกองทุนรวม กองทุนรวมถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของผู้ที่อยากลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น กองทุนตราสารหนี้ อสังหาฯ ทองคำ หุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ สินค้าโภคภัณฑ์ จุดเด่นของกองทุนรวมคือใช้เงินลงทุนไม่มาก และยังมีผู้จัดการกองทุนเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนคอยบริหารจัดการเงินที่เรานำไปลงทุนด้วย
5.ความรู้ทางการเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1212
Finance
กองทุน B-INNOTECH, KFGTECH-A, และ KT-WTAI-A มีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง
null
นโยบายลงทุน 1. B-INNOTECH : ลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศ Fidelity Funds – Global Technology Fund เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) เน้นลงทุนในบริษัททั่วโลกที่มีโอกาสเติบโตสูง และได้ประโยชน์จากความก้าวหน้าและการพัฒนาทางเทคโนโลยี 2. KFGTECH-A : ลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศ T. Rowe Price Funds SICAV – Global Technology Equity Fund เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) เน้นลงทุนในหุ้นที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับพัฒนาหรือใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีโดยเน้นบริษัทผู้นำด้านเทคโนโลยีทั่วโลก รวมถึงประเทศในตลาดเกิดใหม่ด้วย 3. KT-WTAI-A : ลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศ Allianz Global Artificial Intelligence เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) เน้นลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับวิวัฒนาการของปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) ในปัจจุบัน ดัชนีชี้วัด 1. B-INNOTECH : ดัชนี MSCI All Country World Information Technology 2. KFGTECH-A : ดัชนี MSCI All Country World Information Technology 3. KT-WTAI-A : ดัชนี MSCI AC World (ACWI) 50% และ MSCI World Information Technology 50% สัดส่วนการลงทุนใน Industry Allocation 1. B-INNOTECH : Information Technology 72.5% / Communication Services 10.5% / Consumer Discretionary 9.4% / Industrials 3.4% / Financials 2.2% 2. KFGTECH-A : Software 49.6% / Internet 22.9% / Media & Entertainment 7.6% / Semiconductors 6.7% / Financial Services 4.8% / Industrials 4.8% 3. KT-WTAI-A : Semicond. & Semicond. Equipm. 18.2% / Software 17.7% / Interactive Media & Services 12.3% / It Services 7.2% / Automobiles 6.3% สัดส่วนการลงทุนในเเต่ละประเทศ 1. B-INNOTECH : United States 71.3% / Germany 4.5% / Japan 4.3% 2. KFGTECH-A : United States 72.2% / Singapore 7.8% / Canada 5.5% 3. KT-WTAI-A : United States 90.8% / China 2.8% / Canada 2.6% Top Holdings 1. B-INNOTECH : Microsoft Corp 8.4% / Apple Inc 5.6% / Amazon.Com Inc 3.7% / Alphabet Inc 3.7% / Visa Inc 3.6% 2. KFGTECH-A : Sea 7.8% / Atlassian 7.3% / ROBLOX 5.9% / HubSpot 5.8% / Shopify 5.5% 3. KT-WTAI-A : Tesla Inc 6.3% / Zoominfo Technologies Inc-a 4.1% / Roku Inc 3.9% / Amazon.Com Inc 3.3% / Salesforce.Com Inc 3.2% จะเห็นว่า ทั้ง 3 กองทุนนี้ลงทุนกระจุกตัวในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะกองทุน KT-WTAI-A ที่มีสัดส่วนสูงถึง 90% แม้จะเป็นกองทุนที่ลงทุนในหุ้นเทคฯ เหมือนกัน แต่ทั้ง 3 กองทุนก็มีความแตกต่างอย่างชัดเจน โดยกองทุน B-INNOTECH เน้นหุ้นเทคฯ ขนาดใหญ่ มั่นคง เป็นบริษัทชื่อดังที่ทุกคนรู้จักแน่นอน, กองทุน KFGTECH-A เน้นหุ้นเทคฯ ที่เกี่ยวกับ Software ส่วนกองทุน KT-WTAI-A เน้นหุ้นเทคฯ ที่เกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) และมีการกระจาย Sector ได้ดีสุดในบรรดา 3 กองทุนนี้
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1214
Finance
ราคาแก๊สโซฮอล์ 91 จากวันที่ 5 มกราคม 2565 มาถึงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565 เป็นอย่างไร
ราคาแก๊สโซฮอล์ 91 จากวันที่ 5 มกราคม 2565 มาถึงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565 ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นจาก 31.48/ลิตร สู่ระดับ 34.78/ต่อลิตร คิดเป็นการเพิ่มขึ้นประมาณ 10% คิดแล้วก็ใจหายจะไปเที่ยวต่างจังหวัด ถึงกับต้องคิดหนักเลยช่วงนี้ และที่สำคัญปีนี้เราอาจได้เห็นแก๊สโซฮอล์ 91 ขึ้นไปมากกว่านี้อีก มันเกิดอะไรขึ้น เดี๋ยววันนี้อินเตอร์โกลด์จะมาเล่าให้ฟัง หากจะอธิบายกลไกการขึ้นหรือลงของราคาสินค้าก็หนีไม่พ้นเรื่อง Demand (ความต้องการสินค้า) และ Supply (กำลังการผลิตสินค้า) ของน้ำมันโลก ปัญหาตอนนี้ก็คือ Demand อยู่ในระดับสูง เนื่องจากมาตรการการเงินและการคลังของรัฐบาลทั่วโลก ทำให้ปริมาณเงินตราในระบบเศรษฐกิจสูงขึ้นมาก เมื่อมีเงินเยอะ ประชาชนก็จะเอาเงินออกมาใช้กันเยอะ (ประชาชนในประเทศที่พิมพ์เงินได้) และเมื่อพอเริ่มกลับมาเปิดเมืองเงินในมือมันก็เลยออกมาใช้จ่ายกันอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกัน Supply ถูกกำหนดโดยธุรกิจน้ำมันต่าง ๆ ทั่วโลก ในช่วงโควิด 2 ปี ที่ผ่านมาได้ล้มหายปิดกิจการกันไปไม่น้อย มาวันนี้ที่ราคาน้ำมันสูง โดยทั่วไปผู้ผลิตก็ต้องอยากเข้ามาขุดน้ำมันกันอยู่แล้ว เพราะกำไรมันสูง แต่ด้วยความที่ทุกวันนี้ทั่วโลกกำลังผลักดัน Green energy หรือพลังงานสะอาด นำโดยสหรัฐฯ ยุโรป และจีน แน่นอนว่าเมื่อรัฐบาลพยายามผลักดันพลังงานสะอาด นโยบายต่าง ๆ จากรัฐ จึงลดความน่าสนใจในธุรกิจน้ำมันลงไป ถึงแม้ว่ากำไรของธุรกิจน้ำมันจะสูงขึ้นก็ตาม และหากมองในแง่ว่าอนาคต เราจะใช้พลังงานสะอาดกันจริง ๆ แน่นอนว่าน้ำมันจะต้องราคาแพงมาก ๆ เพื่อให้คนหันมาใช้ไฟฟ้ากันมากขึ้น อีกสาเหตุหนึ่งคือความร้อนแรงทางการเมืองระหว่างรัสเซียกับยูเครน เมื่อราคาน้ำมันอาจถึง 40 บาท ภายในปีนี้ จะเห็นว่ารัสเซียเป็นผู้ผลิตน้ำมันอันดับ 3 ของโลก และสหรัฐฯ เป็นผู้ผลิตน้ำมันอันดับ 1 ของโลก การที่ 2 ประเทศนี้มี ท่าทีว่าอาจจะเกิดสงคราม ไม่ว่าสงครามจะเกิดหรือไม่ตอนนี้สิ่งที่เกิดขึ้นแน่ ๆ คือการค้าอาวุธ ซึ่งทั้งรัสเซียและสหรัฐฯก็ได้ประโยชน์ทั้งคู่ อีกอย่างคือหากการสงครามขึ้นเพียงเล็กน้อย ราคาน้ำมันโลกจะพุ่งขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งผู้ที่รู้ดีที่สุดว่าจะเกิดสงครามหรือไม่ ก็คือรัสเซียและสหรัฐฯ เมื่อเค้ารู้ล่วงหน้าได้ นั่นหมายความว่าเค้าสามารถใช้เครื่องมือทางการเงินในการเก็งกำไรราคาน้ำมันได้อีก ดังนั้นความขัดแย้งระหว่างยูเครนกับรัสเซียนี้ ก่อเกิดผลประโยชน์ทางอ้อมให้ประเทศมหาอำนาจไม่น้อยเลยทีเดียว ซึ่งมีโอกาสผลักดันให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นได้อีกเรื่อย ๆ
ราคาแก๊สโซฮอล์ 91 จากวันที่ 5 มกราคม 2565 มาถึงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565 ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นจาก 31.48/ลิตร สู่ระดับ 34.78/ต่อลิตร คิดเป็นการเพิ่มขึ้นประมาณ 10% คิดแล้วก็ใจหายจะไปเที่ยวต่างจังหวัด ถึงกับต้องคิดหนักเลยช่วงนี้ และที่สำคัญปีนี้เราอาจได้เห็นแก๊สโซฮอล์ 91 ขึ้นไปมากกว่านี้อีก
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1217
Finance
ประเทศดาวเด่นที่ภาพรวมเศรษฐกิจดี ตลาดหุ้นมีโอกาสให้ผลตอบแทนต่อสู้กับเงินเฟ้อได้นั้น สามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มใดบ้าง
null
ประเทศดาวเด่นที่ภาพรวมเศรษฐกิจดี ตลาดหุ้นมีโอกาสให้ผลตอบแทนต่อสู้กับเงินเฟ้อได้นั้น สามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ 1. หุ้นในตลาดพัฒนาแล้ว (Developed Markets : DM) แนะนำ “ตลาดหุ้นยุโรปและญี่ปุ่น” เพราะมักจะให้ผลตอบแทนเป็นบวกและสูงกว่าของสหรัฐฯ อีกทั้งเงินเฟ้อในยุโรปและญี่ปุ่น ยังอยู่ต่ำกว่าในสหรัฐฯ และต่ำกว่าแนวโน้ม 2% ทำให้ภาครัฐยังมีความยืดหยุ่นในการกระตุ้นเศรษฐกิจมากกว่า รวมถึงราคาหุ้น (Valuation) ของตลาดหุ้นยุโรปและญี่ปุ่น ยังถูกกว่าของสหรัฐอเมริกา ค่อนข้างมากอีกด้วย 2. หุ้นในตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets: EM) แนะนำ “ตลาดหุ้นจีน” ที่อาจ Outperform ตลาดหุ้นกลุ่ม EM หลังจากธนาคารกลางจีน (PBoC) ได้กลับมาผ่อนคลายนโยบายการเงินอย่างชัดเจน และน่าจะยังคงนโยบายต่อเนื่องในปี 2022 นอกจากนี้ตลาดหุ้นจีนก็ดูจะตอบรับต่อประเด็นการเพิ่มกฎระเบียบไปค่อนข้างมากแล้ว ทำให้การออกกฎระเบียบเพิ่มเติมอาจกลับกลายเป็นข่าวดีที่จะ สร้างความชัดเจนให้กับตลาดในระยะข้างหน้าอีกด้วย “ตลาดหุ้นเวียดนาม” ดาวรุ่งหมัดเด็ด นอกจากจะน่าสนใจในเรื่องอัตราการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนที่ยังอยู่ในระดับสูงแล้ว ราคาหุ้นก็ถือว่าดึงดูด เห็นได้จากอัตราส่วนราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) อยู่ที่ 13.8 เท่า และอัตราการเติบโตของกำไร (Earning Growth) อยู่ที่ 15.44% ไม่เพียงเท่านี้ ในเรื่องของเงินเฟ้อ ธนาคารกลางเวียดนาม ก็ได้ออกมาแถลงการณ์อย่างชัดเจนว่า ปี 2565 จะใช้นโยบายการเงิน โดยมุ่งเน้นที่การควบคุมระดับเงินเฟ้อ และสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งก็ทำให้อุ่นใจได้ว่า เวียดนามให้ความสำคัญกับประเด็นนี้
4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1218
Finance
บอก10 ความเชื่อของตลาดในปี 2022
null
1. เงินเฟ้อสหรัฐจะสูงไปทั้งปี จุดสูงสุดของเงินเฟ้อคาดว่าจะเกิดขึ้นภายในครึ่งแรกของปี 2022 เหตุมาจากแรงส่งของนโยบายการคลังช่วงโควิด ตลาดแรงงานตึงตัว และล่าสุดก็มีประเด็นสงครามเข้ามาหนุนราคาอาหารและพลังงานให้สูงขึ้น 2. ธนาคารกลางสหรัฐจะเข้มงวดไม่สนใจตลาดทุน นักลงทุนต้องหาทางบริหารจัดการราคาสินทรัพย์การเงินที่แพงและมีโอกาสปรับฐานกันเอง เพราะสำหรับเฟด ผลกระทบด้าน Wealth Effect กับเศรษฐกิจและการเมืองในระยะยาว มีค่าน้อยกว่าความเสี่ยงหลักอย่าง “เงินเฟ้อเสียการควบคุม” เสมอ 3. การจับจ่ายใช้สอยจะชะลอตัวลง เป็นผลมาจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่ไม่มากเท่าช่วงวิกฤติโควิด สวนทางกับเงินเฟ้อที่สูงพร้อมกับนโยบายการเงินที่เข้มงวด อำนาจการจับจ่ายใช้สอยจะลดลง สวนทางกับต้นทุนการกู้ยืมที่จะเพิ่มขึ้น 4. เศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวจากการควบคุมของภาครัฐ ปี 2022 มีโอกาสเห็น GDP จีนเติบโตต่ำกว่า 5% บริษัทเทคโนโลยีใหญ่จะถูกกฎเกณฑ์ใหม่บีบให้ปรับโครงสร้าง การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์จะชะลอตัว ส่วนการผ่อนคลายทางการเงินเป็นเพียงภาพสะท้อนของเศรษฐกิจจีนที่กำลังเติบโตช้า 5. ปัญหา Supply Chain จะคลี่คลาย ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางจะปรับตัวลงมาอยู่ที่ระดับเดียวกับต้นปี 2021ในไม่ช้า พอดีกับครึ่งหลังของปีที่มีนโยบายเปิดการเดินทางเข้ามาสนับสนุน 6. บริษัททั่วโลกจะต้องพัฒนาด้าน ESG เงินลงทุนจะไหลเข้าในธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ESG ก็จะเข้าไปอยู่ใน Investment Guideline ของทุกอุตสาหกรรม ธุรกิจที่ไม่คำนึงถึงผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมจะมีต้นทุนการทำธุรกิจสูงขึ้นอย่างมาก 7. เศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่วัฏจักการลงทุนรอบใหม่ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ Build Back Better Plan จะเร่งให้เกิดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ พร้อมกับประเด็นความขัดแย้งระหว่างสหรัฐและจีนจะหนุนให้หลายอุตสาหกรรมจำเป็นจะต้องย้ายฐานกลับมาลงทุนในอเมริกา 8. สหรัฐยังคงเหนือกว่าทั่วโลก ด้วยจุดเด่น 3 อย่าง คือสามารถใช้นโยบายการคลังขนาดใหญ่ได้โดยที่ดอลลาร์ไม่อ่อนค่า การพึ่งพาต่างประเทศต่ำจึงได้รับแรงต้านจากเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวน้อยกว่าทั่วโลก และในปัจจุบันมีสถานะเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่จึงไม่มีปัญหาเรื่องพลังงานในระยะยาว 9. หุ้น Value จะชนะตลาด มี 5 เหตุผลสนับสนุน ตั้งแต่ระดับ Valuation ที่ถูกกว่า Growth แรงส่งจากการเปิดประเทศ นักลงทุนไม่ได้มีการลงทุนอยู่ก่อนนี้ การขึ้นดอกเบี้ยเป็นบวกต่อกลุ่มการเงิน และมีสินค้าคงเหลือที่ราคาสามารถปรับตัวขึ้นได้ตามวัฏจักรเศรษฐกิจ 10. สินทรัพย์ Digital จะกลายเป็นส่วนเสริมของโลกการเงิน แม้จะปรับตัวลงจากจุดสูงสุดอย่างหนัก แต่เทคโนโลยีอยู่ในขั้นเริ่มต้น มีโอกาสสำหรับการพัฒนาต่อได้อีกไกล นอกจากนั้นก็เป็นไปได้ที่จะมีการตอบรับจากธนาคารกลางมากกว่ากีดกันเพิ่ม ส่งผลให้นักลงทุนสถาบันเข้าลงทุนได้ในอนาคต
5.ความรู้ทางการเงิน,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1219
Finance
จงสรุปบทความเรื่อง "อวสานของหุ้นเทค?" ให้หน่อยค่ะ
อวสานของหุ้นเทค? วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2565 หุ้น Meta เจ้าของ Facebook เว็บสื่อสังคมที่ใหญ่ที่สุดในโลกตกลงมาถึงประมาณ 26% คิดเป็นมูลค่าของหุ้นที่หายไปประมาณ 7 ล้านล้านบาทซึ่งเป็นการลดลงวันเดียวที่มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลก เหตุผลที่หุ้นตกลงมานั้นเป็นเพราะมีการประกาศผลการดำเนินงานไตรมาศสุดท้ายของปี 2564 ที่ดูเหมือนว่าการเติบโตของบริษัทจะเริ่มถดถอยลง เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ จำนวนคนใช้เฟซบุ๊กในแต่ละวันเริ่มลดลง “เล็กน้อย” เป็นครั้งแรกเนื่องจากคู่แข่งอย่างเช่น “ติ๊กต็อก” และอื่น ๆ กำลังเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดมากขึ้นโดยเฉพาะในส่วนของคนรุ่นใหม่ที่เห็นว่าเฟซบุ๊กนั้นเริ่ม “ตกยุค” นอกจากนั้นก็อาจจะเป็นเรื่องของกฎ “ความเป็นส่วนตัว” ของผู้ใช้โทรศัพท์ที่อาจจะทำให้การโฆษณาที่เป็นรายได้หลักของเฟซบุ๊กถูกกระทบและมีผลต่อผลประกอบการในอนาคตของบริษัทด้วย อย่างไรก็ตาม รายได้และกำไรของบริษัททั้งปี 2564 ก็ยังเพิ่มขึ้นถึง 37% และ 35% ตามลำดับ และนี่ก็เป็นเรื่องน่าตกใจมากที่หุ้นเทค “แห่งอนาคต” ที่ประกาศจะสร้าง “เมตาเวิร์ส” หรือ “โลกเสมือน” ที่คนทั้งโลกอาจจะเข้าไปใช้ชีวิตได้ มีราคาหุ้นตกลงมาราวกับว่าบริษัทกำลังเผชิญกับ “วิกฤติ” อย่างกระทันหัน หรือนี่จะเป็นสัญญาณเตือนว่าเป็นการ “จบรอบ” หุ้นเทคยักษ์ใหญ่ที่มีราคาเพิ่มขึ้นมากมายจนแทบจะครองตลาดหุ้นอเมริกา เพราะหุ้นเทคที่ใหญ่ที่สุด 5 ตัวคือ เฟซบุ๊ก อะมาซอน แอปเปิล ไมโครซอฟท์ และกูเกิล มีมูลค่าตลาดหรือ Market Cap. รวมกันเท่ากับประมาณเกือบ 25% ของหุ้นในดัชนี S&P 500 ซึ่งเป็นตัวแทนของหุ้นทั้งสหรัฐ เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ในช่วงเร็ว ๆ นี้ หุ้นเทคและหุ้นและสินทรัพย์เก็งกำไรจำนวนมากเช่น เหรียญคริปโท ต่างก็ตกลงมาค่อนข้างแรงอานิสงค์จากภาวะเงินเฟ้อและการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยที่เริ่มจะรุนแรงขึ้นมาก คำถามสำคัญก็คือ นี่จะเป็น “อวสานของหุ้นเทค” หรือไม่ แน่นอนว่าหุ้นเทคนั้นก็คงจะต้องอยู่กับเราต่อไปอีกนานเท่านาน ไม่มีทางที่มันจะล้มหายตายจากไป รวมถึงการเปลี่ยนตัวบริษัทผู้นำก็ไม่น่าจะเกิดขึ้นเร็วเพราะบริการหรือผลิตภัณฑ์มักจะมี “Network Effect” หรือมีเครือข่ายที่ทำให้ลูกค้าไม่หนีไปไหนแม้ว่าลูกค้าใหม่ ๆ อาจจะไม่เพิ่มขึ้นเร็วแล้วเพราะตลาดเริ่ม “อิ่มตัว” และคู่แข่งใหม่ ๆ ที่เข้ามาเสนอสิ่งใหม่ ๆ ที่สามารถ “แย่งเวลา” ไปจากสินค้าหรือบริการเดิม ๆ ได้ ตัวอย่างเช่น “ติ๊กต็อก” ที่สามารถจับตลาดของคนรุ่นใหม่ได้ดีกว่า ดังนั้น นี่จึงไม่ใช่เป็นการอวสานในแง่ของตัวบริษัทหรือกิจการของบริษัทเทคขนาดใหญ่อย่างแน่นอน แต่สิ่งที่ควรจะคิดก็คือ ถ้ามองในฐานะของ “หุ้น” เทคขนาดใหญ่ที่มีผลงานดีเยี่ยมมานาน มันถึงเวลา “หมดรอบ” หรือ “อวสาน” หรือยัง? ผมเองคิดว่าช่วงเติบโตเร็วแบบ “Super Growth” ของหุ้นเทคโดยเฉพาะที่เป็นแนว “ดิจิทัล” นั้น น่าจะใกล้พีคหรือไปถึงจุดสุดยอดแล้ว และ “ตัวเร่ง” การเติบโตก็คือ โควิด-19 ที่ทำให้คนทั้งโลกต้องหันมาใช้บริการของบริษัทใหญ่ ๆ เหล่านั้นทันที รอช้าไม่ได้ ผลก็คือยอดขายและกำไรของบริษัทเพิ่มขึ้นมากและหลังจากวันนี้ที่โควิดคลี่คลายลง การใช้บริการก็จะเพิ่มต่อไม่ได้เร็วอีกต่อไปนอกเสียแต่ว่าจะมีผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ ๆ เช่นเรื่องของเมตาเวิร์สหรืออินเตอร์เน็ตออฟธิงค์ที่ทำให้เครื่องใช้และสิ่งต่าง ๆ สามารถติดต่อกันเองได้ อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าสิ่งเหล่านั้นน่าจะค่อย ๆ เกิดขึ้นมากกว่า ดังนั้น ผมคิดว่าช่วงเวลานี้น่าจะเป็นช่วงของการปรับตัวลงของหุ้นเทคที่เคยดีมานานและดียิ่งขึ้นในช่วงโควิด-19 จะเรียกว่าเป็น “อวสานของหุ้นเทค” ก็น่าจะได้ แต่จะต้องเข้าใจว่านี่ไม่ใช่บริษัทแย่ลงหรือมีบทบาทน้อยลงในเศรษฐกิจโลก แต่เป็นเรื่องของราคาหุ้นที่อาจจะขึ้นเกินเลยไปมากและการเติบโตของบริษัทที่จะโตช้าลง ประกอบกับการที่ต้นทุนของเงินหรืออัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้นักลงทุนขายหุ้นซึ่งจะทำให้หุ้นเทคปรับขึ้นได้ยาก บางตัวอาจจะตกลงอย่างหนัก โดยที่เฟซบุ๊กเป็นตัวอย่างที่เด่นชัด แต่สิ่งที่คนอาจจะไม่ตระหนักก็คือ “หุ้นเทคจีน” ที่ลงนำไปก่อนแล้วและลงมากกว่าเฟซบุ๊กด้วยซ้ำ คำถามสำคัญต่อมาก็คือ เราควรขายหุ้นเทคหรือไม่ คำตอบของผมก็คือ ขึ้นอยู่กับราคาเมื่อเปรียบเทียบกับพื้นฐานที่แท้จริงของหุ้นเทคแต่ละตัว การตกลงมาของหุ้นเทคยักษ์ใหญ่หลายตัวซึ่งรวมถึงหุ้นเทคของจีนน่าจะทำให้หุ้นเทคบางตัว “ไม่แพงอีกต่อไป” และถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่โตเร็วมากเหมือนในอดีตอีกแล้วแต่มันก็น่าจะสามารถรักษาสถานะที่เป็นอยู่ได้พร้อม ๆ กับการเติบโตบ้างโดยเฉพาะจากการสร้างบริการและผลิตภัณฑ์ไฮเทคใหม่ ๆ โดยอาศัยทรัพยากรโดยเฉพาะเงินสดที่มีอยู่มหาศาลต่อสู้กับคู่แข่งใหม่ ๆ หรือไม่ก็ซื้อธุรกิจสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพที่จะโตเร็วในอนาคต พูดง่าย ๆ ผมคิดว่าหุ้นเทคขนาดใหญ่นั้นกำลังกลายเป็น “หุ้นแข็งแกร่ง” ที่จะไม่มีใคร Disrupt หรือทำลายล้างได้ง่าย ดังนั้น ถ้าราคาหุ้นสมเหตุผล ก็สามารถลงทุนได้อย่างน่าจะปลอดภัยพอสมควร ลองมาดูหุ้นเทคยักษ์ของโลกว่าถูกแพงแค่ไหน เริ่มตั้งแต่เฟซบุ๊กที่ราคาต่ำลงมามาก คือลดลงจากจุดสูงสุดถึงประมาณ 37% และค่า PE อยู่ที่ประมาณ 17 เท่า หรือ EP เท่ากับ 5.9% ซึ่งแปลว่าลงทุนหุ้นตัวนี้ ถ้ากำไรในระยะยาวไม่ลดลงก็จะได้ผลตอบแทนไม่น้อยกว่าปีละประมาณ 5.9% ก็ดูไม่แพงเมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยที่แม้ว่าจะกำลังเพิ่มขึ้นแต่ก็อาจจะไปได้ไม่เกิน 4-5% ในระยะยาว หุ้นอะมาซอนมีค่า PE ที่ 62 เท่า และราคาก็ลดลงจากจุดที่เคยสูงสุดประมาณ 15-16% ในช่วงปีที่แล้ว ซึ่งก็แสดงให้เห็นว่านักลงทุนยังมองว่าเป็นหุ้นซุปเปอร์โกรทที่สามารถโตต่อไปได้อีกมาก รวมถึงอาจจะเชื่อมั่นในศักยภาพของผู้บริหารที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เช่น การทำร้านค้าปลีกเช่นสะดวกซื้อหรือซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ไม่ต้องมีคนขายหรือคนคิดเงิน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การที่หุ้นมีราคาแพงมากนั้น ถ้ามีอะไรผิดพลาดหรือผิดคาดแม้แต่นิดเดียวก็อาจจะทำให้หุ้นถูกเทขายได้ง่ายเหมือนอย่างเฟซบุ๊ก ดังนั้น ผมเองคิดว่าหุ้นมีความเสี่ยงสูงเกินกว่าที่จะรับได้โดยเฉพาะสำหรับคนที่เป็น VI ที่อนุรักษ์นิยม หุ้นแอปเปิลซึ่งเดี๋ยวนี้กลายเป็นหุ้นยอดนิยมของวอร์เรน บัฟเฟตต์นั้น ตกลงมาน้อยมากในรอบนี้ และต่ำกว่า All Time High แค่ 5-6% มีค่า PE ประมาณ 29 เท่า ถึงแม้ว่าจะไม่ถูกแต่ก็ไม่ถือว่าแพง เหตุเพราะว่าสถานะของผลิตภัณฑ์และบริษัทมั่นคงมาก ว่าที่จริงในช่วงแรกที่บัฟเฟตต์เข้าถือหุ้นตัวนี้ มันแทบจะเป็นหุ้น Value ด้วยซ้ำ เพราะค่า PE ตอนนั้นน่าจะไม่เกิน 13-14 เท่า และมีเงินสดมหาศาล บัฟเฟตต์ไม่ได้คิดว่ามันขายความเป็นไฮเทค เพราะว่าโทรศัพท์ของแอปเปิลนั้นเป็น “ไลฟ์สไตล์” ไปแล้ว หุ้นไมโครซอฟท์นั้น คล้าย ๆ กับหุ้นแอปเปิลในแง่ที่ว่าผลิตภัณฑ์และบริษัทแข็งแกร่งมากและความเสี่ยงที่จะถูก Disrupt น้อยมาก ค่า PE ที่ประมาณ 33 เท่า นั้นน่าจะสมเหตุผล อย่างไรก็ตาม การเติบโตต่อไปเร็ว ๆ ก็คงจะยาก และอุปสรรคของราคาหุ้นที่จะขึ้นไปก็คือภาวะดอกเบี้ยที่กำลังปรับตัวขึ้นซึ่งจะทำให้ราคาหุ้นที่ขึ้นมามาก ๆ ในช่วงที่ผ่านมาไปต่อได้ยากเช่นกัน หุ้นกูเกิลหรือหุ้นอัลฟาเบ็ท นั้นดูเหมือนว่าปรับตัวขึ้นมาตลอดและแทบจะไม่ตกเลย คนจำนวนมากคงจะคิดว่าผลิตภัณฑ์โดยเฉพาะเว็บกูเกิลนั้นหาคู่แข่งยากมากและคนที่จะใช้ก็น่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ รวมถึงคนรุ่นใหม่ที่ต้องศึกษาหาข้อมูลมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะเดี๋ยวนี้ถ้าอยากจะรู้อะไรก็ต้องถาม “อากู๋” ดังนั้น ค่า PE ที่ประมาณ 26 เท่าจึงดูไม่แพงและน่าจะลงทุนระยะยาวได้ หุ้นอาลีบาบาของจีนนั้น ตั้งแต่มีข่าวรัฐบาลจีนเข้ามา “จัดระเบียบ” ก็ตกเอา ๆ จนล่าสุดเหลือเพียงประมาณ 122 เหรียญสหรัฐ ตกลงมาจากจุดสูงสุดถึง 61% และทำให้ค่า PE เหลือเพียง 17 เท่า ทั้ง ๆ ที่ผลิตภัณฑ์ของบริษัทก็คล้าย ๆ กับอะมาซอนที่ยังมีโอกาสโตอีกมาก ดังนั้น หุ้นตัวนี้อาจจะกลายเป็นหุ้น Value ไปแล้ว อย่างไรก็ตาม การมีเรื่องกับรัฐบาลนั้นเป็นความเสี่ยงที่สำคัญมากและคาดการณ์ได้ยากโดยเฉพาะเป็นรัฐบาลที่มีอำนาจเด็ดขาดและอยู่ภายใต้คนคนเดียวหรือไม่กี่คน หุ้นเทนเซ็นต์ของจีนซึ่งทำทางด้านสื่อสังคมคล้ายเฟซบุ๊กนั้นก็คงคล้ายกับหุ้นอาลีบาบาแต่ตกลงมาจากจุดสูงสุดน้อยกว่าที่ประมาณ 37% มีค่า PE ที่ 20 เท่า สูงกว่าเฟซบุ๊กเล็กน้อยแต่ก็ดูไม่แพงเมื่อเทียบกับหุ้นทั่วไปที่รวมถึงหุ้นไทย ดังนั้น นี่ก็เป็นอีกตัวหนึ่งที่พอลงทุนได้แม้ว่าตลาดหุ้นจีนยังมีปัญหา ทั้งหมดนั้นก็คือหุ้นเทคขนาดใหญ่ที่ตอนนี้เปลี่ยนภาพไปมาก จากการเป็นสิ่งที่เข้าใจและคาดการณ์ได้ยากและราคาแพงมาก กลายเป็น “หุ้นแข็งแกร่ง” ที่มีราคาที่ “จับต้องได้” และในไม่ช้าก็จะเป็นหุ้นที่ “ลงทุนง่าย” สำหรับทุกคน เช่น ผ่าน “DR” ซึ่งเป็นตราสารแทนหุ้นที่ซื้อขายได้ในตลาดหุ้นไทย ทั้งหมดนั้นก็คือหุ้นเทคขนาดใหญ่ที่ตอนนี้เปลี่ยนภาพไปมาก จากการเป็นสิ่งที่เข้าใจและคาดการณ์ได้ยากและราคาแพงมาก กลายเป็น “ หุ้นแข็งแกร่ง ” ที่มีราคาที่ “ จับต้องได้ ” และในไม่ช้าก็จะเป็นหุ้นที่ “ ลงทุนง่าย ” สำหรับทุกคน เช่น ผ่าน “DR” ซึ่งเป็นตราสารแทนหุ้นที่ซื้อขายได้ในตลาดหุ้นไทย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร . ที่มาบทความ:
ในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2565 หุ้น Meta เจ้าของ Facebook ตกลงมาประมาณ 26% คิดเป็นมูลค่าของหุ้นที่หายไปประมาณ 7 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นการลดลงวันเดียวที่มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลก เหตุผลเพราะมีการประกาศผลการดำเนินงานไตรมาศสุดท้ายของปี 2564 ที่ดูเหมือนว่าการเติบโตของบริษัทจะเริ่มถดถอยลง เฉพาะอย่างยิ่งคือ จำนวนคนใช้เฟซบุ๊กในแต่ละวันเริ่มลดลงเล็กน้อยเป็นครั้งแรก เนื่องจากคู่แข่งอย่าง ติ๊กต็อก และอื่น ๆ กำลังเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดมากขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของคนรุ่นใหม่ที่เห็นว่าเฟซบุ๊กนั้นเริ่มตกยุค และเรื่องของกฎความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้โทรศัพท์ที่อาจจะทำให้การโฆษณาที่เป็นรายได้หลักถูกกระทบและมีผลต่อผลประกอบการในอนาคตของบริษัทด้วย แต่อย่างไรก็ตาม รายได้และกำไรของบริษัททั้งปี 2564 ก็ยังเพิ่มขึ้นถึง 37% และ 35% ตามลำดับ เป็นเรื่องน่าตกใจมากที่หุ้นเทคแห่งอนาคต ประกาศจะสร้าง “เมตาเวิร์ส” หรือ “โลกเสมือน” ที่คนทั้งโลกอาจจะเข้าไปใช้ชีวิตได้ มีราคาหุ้นตกลงมาราวกับว่าบริษัทกำลังเผชิญกับวิกฤติอย่างกระทันหัน หรือนี่จะเป็นสัญญาณเตือนว่าเป็นการจบรอบหุ้นเทคยักษ์ใหญ่ที่มีราคาเพิ่มขึ้นมากมายจนแทบจะครองตลาดหุ้นอเมริกา คำถามที่ว่า นี่จะเป็นอวสานของหุ้นเทคหรือไม่ หุ้นเทคก็คงจะต้องอยู่ต่อไปอีกนาน ไม่มีทางที่มันจะล้มหายตายจากไป รวมถึงการเปลี่ยนตัวบริษัทผู้นำก็ไม่น่าจะเกิดขึ้นเร็ว เพราะบริการมักจะมี “Network Effect” หรือมีเครือข่ายที่ทำให้ลูกค้าไม่หนีไปไหน แม้ว่าลูกค้าใหม่ ๆ อาจจะไม่เพิ่มขึ้นเร็วแล้วเพราะตลาดเริ่มอิ่มตัว และคู่แข่งใหม่ ๆ ที่เข้ามาเสนอสิ่งใหม่ ๆ ที่สามารถแย่งเวลาไปจากสินค้าหรือบริการเดิม ๆ ได้ ดังนั้น จึงไม่ใช่เป็นการอวสานในแง่ของตัวบริษัทหรือกิจการของบริษัทเทคขนาดใหญ่อย่างแน่นอน แต่สิ่งที่ควรจะคิดก็คือ ถ้ามองในฐานะของหุ้นเทคขนาดใหญ่ที่มีผลงานดีเยี่ยมมานาน มันถึงเวลาอวสานหรือยัง ช่วงเติบโตเร็วแบบ “Super Growth” ของหุ้นเทค โดยเฉพาะที่เป็นแนวดิจิทัลนั้น น่าจะใกล้ไปถึงจุดสุดยอดแล้ว และตัวเร่งการเติบโตก็คือ โควิด-19 ที่ทำให้คนทั้งโลกต้องหันมาใช้บริการของบริษัทใหญ่ ๆ เหล่านั้นทันที ผลก็คือยอดขายและกำไรของบริษัทเพิ่มขึ้นมากและหลังจากที่โควิดคลี่คลายลง การใช้บริการก็จะเพิ่มต่อไม่ได้เร็วอีกต่อไป นอกจากจะมีผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ ๆ ซึ่งน่าจะเป็นช่วงของการปรับตัวลงของหุ้นเทคที่เคยดีมานานและดียิ่งขึ้นในช่วงโควิด-19 จะเรียกว่าเป็น “อวสานของหุ้นเทค” ก็น่าจะได้ แต่ต้องเข้าใจว่าไม่ใช่บริษัทแย่ลงหรือมีบทบาทน้อยลงในเศรษฐกิจโลก แต่เป็นเรื่องของราคาหุ้นที่อาจจะขึ้นเกินเลยไปมากและการเติบโตของบริษัทที่จะโตช้าลง ประกอบกับการที่ต้นทุนของเงินหรืออัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้นักลงทุนขายหุ้นซึ่งจะทำให้หุ้นเทคปรับขึ้นได้ยาก คำถามต่อมาคือ ควรขายหุ้นเทคหรือไม่ คำตอบคือ ขึ้นอยู่กับราคา เมื่อเปรียบเทียบกับพื้นฐานที่แท้จริงของหุ้นเทคแต่ละตัว การตกลงมาของหุ้นเทคยักษ์ใหญ่หลายตัวซึ่งรวมถึงหุ้นเทคของจีนน่าจะทำให้หุ้นเทคบางตัวไม่แพงอีกต่อไป และแม้ว่าอาจจะไม่โตเร็วมากเหมือนในอดีตอีกแล้ว แต่น่าจะสามารถรักษาสถานะที่เป็นอยู่ได้พร้อม ๆ กับการเติบโตบ้าง โดยเฉพาะจากการสร้างบริการและผลิตภัณฑ์ไฮเทคใหม่ ๆ โดยอาศัยทรัพยากร โดยเฉพาะเงินสดที่มีอยู่มหาศาลต่อสู้กับคู่แข่งใหม่ ๆ หรือไม่ก็ซื้อธุรกิจสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพที่จะโตเร็วในอนาคต
4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_122
Finance
บอกวิธีการวางแผนหลังเกษียณ
null
1.ประเมินค่ารักษาพยาบาล เพื่อบริหารค่าดูแลสุขภาพหลังหยุดทำงานตามคุณภาพการรักษาพยาบาล โดยเริ่มความสามารถในการชำระเบี้ย และความครอบคลุมในการรักษาพยาบาล เช่น ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย ที่มีวงเงินสูง เหมาะสำหรับผู้ที่เน้นความคุ้มครองครอบคลุม เช่น ประกันสุขภาพ Elite Health ที่มีวงเงินคุ้มครองเหมาจ่ายค่ารักษาพยาบาล วงเงินค่ารักษา 20-100 ล้านบาทต่อปี(ให้เลือกได้ 4 แผน) ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย วงเงินปานกลาง และเลือกได้ว่าจะคุ้มครองตั้งแต่บาทแรก หรือ คุ้มครองส่วนเกิน เหมาะสำหรับผู้ที่มีรายได้ประจำ ที่มีสวัสดิการของนายจ้างอยู่แล้ว เช่น ประกันสุขภาพ Delight Health เป็นประกันสุขภาพแบบเหมาจ่ายตามจริง ไม่เกิน 5ล้านบาทต่อครั้ง ต่อการรักษาตัวครั้งใดครั้งหนึ่ง (ไม่จำกัดจำนวนครั้งต่อปี) ต้องการคุ้มครองส่วนเกิน 30,000 บาท หรือ 100,000 บาท การทำประกันสุขภาพ ทำในวันที่ยังแข็งแรง ได้รับความคุ้มครองโรคภัยที่เกิดขึ้น ดีกว่า ไปทำในวันที่มีโรคประจำตัวแล้ว อยากทำก็จะมีทั้งเพิ่มเบี้ยประกัน ไม่คุ้มครองโรคที่เคยเป็นมาก่อน หรือไม่รับประกันเลยก็ได้ 2. ประเมินเงินใช้หลังเกษียณ การพึ่งพาสวัสดิการของรัฐเป็นทางเลือกแรก หากมีทางเลือกที่เก็บได้ด้วยตัวเองจะกำหนดชีวิตหลังเกษียณได้ด้วยตนเอง ยกตัวอย่างเช่น ต้องการใช้เงินหลังเกษียณ เดือนละ 20,000 บาท จะอยู่ใช้เงินไปอีก 25 ปี หลังเกษียณ ดังนั้น จะต้องเตรียมเงิน 6.0 ล้านบาท (20,000*25*12) (ไม่รวมเงินเฟ้อ) แบ่งเป็นทางเลือก 2 รูปแบบ 2.1 รูปแบบใช้สิทธิลดหย่อนภาษีด้วย เหมาะสำหรับผู้ที่มีรายได้ประจำ หรือ ผู้ประกอบการที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แนะนำให้เริ่มต้นออมในผลิตภัณฑ์การออมการลงทุนที่นำค่าซื้อไปลดหย่อนภาษีได้ เช่น กองทุน SSF, RMF ประกันชีวิต ประกันแบบบำนาญ เพื่อเป็นทั้งการออมและประหยัดภาษีไปพร้อมๆกัน ยกตัวอย่างเช่น เริ่มต้นออมตอนอายุ 40 ปี และจะเกษียณเมื่ออายุ 60 ปี (มีเวลาออม 20 ปี) ในขณะที่มีรายได้ทั้งปี 1,000,000 บาท (เฉลี่ย 83,333.33 บาทต่อเดือน) เสียภาษี 15% หากออมใน SSF RMF กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (30% ของรายได้) 300,000 บาท เป็นเวลา 20 ปี คุณจะมีเงินออมอย่างน้อย 6,000,000 บาทแล้ว แต่จะมีตัวช่วยชดเชยเงินเฟ้ออีกจาก เงินคืนภาษีที่ได้แต่ละปีอีก (เฉพาะปีแรก ได้คืนจากการออม 45,000 บาท จาก 15%*300,000 บาท) ถ้านำเงินคืนภาษีมาลงทุนต่อ จะมีโอกาสได้เงินเพิ่มขึ้นอีก 2.2 รูปแบบออมทั่วๆไป เหมาะสำหรับผู้ที่มีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์เสียภาษี จะออมในรูปแบบ เงินฝาก กองทุนรวม หุ้นโดยตรง ให้มีสัดส่วนเหมาะกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ก็จะมีโอกาสถึงเป้าหมายได้เช่นกัน
5.ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Finance_1221
Finance
กองทุน UHERO มีหุ้นหลักที่ลงทุนอะไรบ้าง
null
หุ้นหลักที่ลงทุนกับกองทุน UHERO - Nvidia (สัดส่วน 8.91%): บริษัทผู้ส่งออกการ์ดจอมากสุดเป็นอันดับ 2 ของโลก เกี่ยวเนื่องกับการเติบโตของเกมเมอร์โดยตรง เพราะ ต้องใช้อุปกรณ์อย่างคอมพิวเตอร์และมือถือ อีกทั้งยังเป็นผู้สร้างซอฟต์แวร์สำหรับพัฒนาระบบรถยนต์ไร้คนขับอีกด้วย - Electronic Arts (สัดส่วน 6.64%): หนึ่งในบริษัทผู้ผลิตเกมชั้นนำ เช่น The Sims Battlefield Need for Speed และอื่น ๆ อีกทั้งยังมีแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์จัดจำหน่ายด้วยตนเองอย่าง Origin ซึ่งใครที่คุ้นเคย Steam ก็น่าจะเข้าใจเป็นอย่างดี - NetEase (สัดส่วน 6.38%): ผู้พัฒนาเกมออนไลน์ทั้งในรูปแบบ PC และมือถือสัญชาติจีน อีกทั้งยังเป็นพารฺ์ทเนอร์คู่หูร่วมกันกับ Blizzard อีกหนึ่งค่ายผลิตเกมชื่อดังระดับโลก - Blizzard (สัดส่วน 6.25%): ผู้พัฒนาเกมชื่อดังที่เคยสร้างปรากฎการณ์ระดับโลกมาแล้ว เช่น เกม Warcraft รวมถึงยังมีเกมฮอตฮิตในยุคหลังอย่าง Hearthstone และ Overwatch - Nintendo (สัดส่วน 6.04%): บริษัทผลิตเกมรวมถึงเครื่องเกมคอนโซลชื่อดังที่ใครหลายคนน่าจะเติบโตมาพร้อม ๆ กัน มีเครื่องเล่นเกมคอนโซลที่เคยเป็นกระแสอย่าง Nintendo Wii เครื่องเล่นเกม Super ของวัยเก๋า รวมไปถึง Nintendo Switch ในยุคล่าสุด อีกทั้งยังมีเกมในตำนานอย่าง Mario Kerby และ The Legen of Zelda ที่ใครหลายคนคงติดกันอย่างงอมแงม
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1222
Finance
เขียนแคมเปญเรื่อง "เรียนรู้และลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ: ที่ปรึกษาการลงทุนเป็นคำตอบ" ให้หน่อย
null
แนวคิดของแคมเปญ "5 โอกาสสร้างผลตอบแทนที่คุณพลาด ถ้าไม่มีที่ปรึกษาการลงทุน" น่าจะเน้นที่การเชื่อมโยงระหว่างการลงทุนและความสำเร็จของการลงทุนโดยการเน้นไปที่วิธีการที่ผู้คนมักพลาดหรือไม่คิดถึงเมื่อไม่มีที่ปรึกษาการลงทุนเข้ามาช่วยเหลือ ต่อไปนี้คือเคล็ดลับ 5 ข้อที่คุณอาจพลาดไปถ้าไม่มีที่ปรึกษาการลงทุน: 1. ทำการวิเคราะห์เสียงผู้เชี่ยวชาญ: หากไม่มีที่ปรึกษาการลงทุนเข้ามาช่วยกันในการวิเคราะห์ตลาดและโอกาสลงทุน อาจพลาดข้อสำคัญที่มาจากความเชี่ยวชาญของผู้เชี่ยวชาญในวงการนั้น การมีที่ปรึกษาการลงทุนช่วยให้คุณสามารถเข้าถึงประสบการณ์และความรู้ที่สำคัญที่อาจพลิกเปลี่ยนการตัดสินใจได้ 2. การตรวจสอบความเสี่ยง: ที่ปรึกษาการลงทุนช่วยให้คุณมองเห็นภาพรวมของความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนแต่ละประเภท ทั้งนี้รวมถึงการวิเคราะห์ความเสี่ยงทางการเงินและความเสี่ยงในการลงทุนเชิงเทคนิค 3. การวางแผนการลงทุน: การวางแผนการลงทุนที่ดีจำเป็นต้องพิจารณาเป้าหมายการลงทุนของคุณ และที่ปรึกษาการลงทุนมีช่วยในการช่วยกำหนดเป้าหมายเหล่านี้ให้ตรงกับสภาพการเงินและความต้องการของคุณ 4. การจัดการการลงทุน: ที่ปรึกษาการลงทุนสามารถช่วยในการจัดการพอร์ตการลงทุนของคุณให้เหมาะสมกับความเสี่ยงที่คุณพร้อมรับ การดูแลและปรับปรุงพอร์ตแบบนี้จะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการรับผลตอบแทน 5. การติดตามและประเมินผล: การประเมินผลลัพธ์ของการลงทุนเป็นขั้นตอนสำคัญที่ไม่ควรละเลย ที่ปรึกษาการลงทุนช่วยให้คุณสามารถวิเคราะห์ผลตอบแทนและประสิทธิภาพของการลงทุนได้อย่างเชี่ยวชาญและเป็นระบบ ด้วยการใช้แคมเปญนี้ เราจะเชื่อมโยงความสำเร็จของการลงทุนกับการใช้ที่ปรึกษาการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และเน้นให้ผู้คนเห็นถึงความสำคัญของการมีความรู้และคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญในการบริหารจัดการการเงินและการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ จะสร้างความเข้าใจให้กับผู้ที่สนใจเกี่ยวกับการลงทุนว่าการใช้ที่ปรึกษาการลงทุนเป็นส่วนสำคัญที่มีผลต่อความสำเร็จของการลงทุนและการบริหารจัดการการเงินในระยะยาว การใช้คำโฆษณาและสื่อสารเพื่อเน้นถึงความสำคัญของการใช้ที่ปรึกษาการลงทุนเป็นเครื่องมือสำคัญในการอำนวยความสะดวกและส่งเสริมการเติบโตทางการเงินของบุคคลและธุรกิจในทุกๆ ระดับ
5.ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1223
Finance
ข้อดีและข้อเสียของการใช้เงินดิจิทัลดอลลาร์ มีอะไรบ้าง
null
ข้อดีของการใช้เงินดิจิทัลดอลลาร์ มีดังนี้ 1. ลดระดับความเสี่ยงในรูปแบบต่าง ๆ จากบรรดาเงินสกุลคริปโตหรือ Private Digital Money 2. ช่วยบรรดาผู้ประกอบการวิสาหกรรมขนาดกลางและเล็กหรือ SME ให้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการออก Private Digital Money หรือเท่ากับช่วยลดความเสียเปรียบด้านต้นทุนต่อบริษัทยักษ์ใหญ่ 3. เสริมให้เงินดอลลาร์ยังคงเป็นเงินสกุลหลักของโลกหรือ International Reserve ที่มีเวอร์ชันเงินเป็นแบบดิจิทัลเทียบเคียงกับเงินสกุลหลักอื่น ๆ 4. ช่วยบริการการชำระเงินระหว่างประเทศให้มีความปลอดภัยมากขึ้น 5. ให้คนที่ด้อยโอกาสสามารถเข้าถึงแหล่งเงินได้ โดยจากสถิติ พบว่าในสหรัฐ มีผู้ไม่ได้เข้าถึงแหล่งเงินเยอะพอสมควร โดยเงินดิจิทัลดอลลาร์จะทำให้ต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านการเงินลดลง 6. เกิดความคลอบคลุมด้านการเงินหรือ Financial Inclusion ในพื้นที่ห่างไกล ผ่าน Mobile App ที่จะใช้เงินดิจิทัลดอลลาร์ ส่วนข้อเสียของการใช้เงินดิจิทัลดอลลาร์ มีดังนี้ 1. การเปลี่ยนโครงสร้างตลาดของภาคการเงิน เมื่อมีเงินดิจิทัลดอลลาร์ ซึ่งมีสถานะใกล้เคียงกับเงินที่ใช้กันในปัจจุบันเข้ามาในระบบสถาบันการเงิน ด้วยความเสี่ยงที่ต่ำกว่าตราสารทางการเงินประเภทอื่น ๆ เนื่องจากปราศจากความเสี่ยงประเภทต่าง ๆ จะส่งผลให้ปริมาณเงินฝากของแบงก์ลดลง รวมถึงปริมาณเงินกู้ก็จะลดลงด้วย 2. ความปลอดภัยและเสถียรภาพของระบบการเงิน เมื่อเงินดิจิทัลดอลลาร์ ไปทดแทนเงินฝากมากขึ้นเรื่อย ๆ ณ จุดหนึ่ง ก็จะเกิด Bank Run หรือคนแห่ไปถอนเงินจากธนาคารจนไม่มีเงินเหลือพอที่จะคืนให้ประชาชน 3. ปฏิบัติการของนโยบายการเงินน่าจะมีประสิทธิภาพลดลง โดยการออกแบบของ เงินดิจิทัลดอลลาร์ จะมีอิทธิพลต่อกลไกการทำงานของนโยบายการเงิน 4. การปกป้องข้อมูลส่วนตัวและการป้องกันอาชญากรรมทางการเงิน โดยการเข้ามาของ เงินดิจิทัลดอลลาร์จะทำให้มีจุดที่เสี่ยงต่อการขโมยหรือล้วงข้อมูลและการกระทำอาชญากรรมทางการเงินมากขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากมี จำนวน contact point ทางการเงินอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้นกว่าเดิมมาก 5. การฟื้นตัวอย่างรวดเร็วหากถูกจารกรรม รวมถึงภัยทางไซเบอร์ โดยเงินดิจิทัลดอลลาร์ ต้องมีคุณสมบัติที่สามารถทำให้ระบบกลับมาฟื้นตัวใช้ได้เหมือนเดิมอย่างรวดเร็วหากถูกจารกรรม รวมถึงต้องมีระบบที่สามารถป้องกันจากอาชญากรรมหรือภัยทางไซเบอร์ เนื่องจากมี จำนวน contact point ทางอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้นกว่าเดิมเป็นอย่างมาก
1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1225
Finance
ตั้งแต่เกิดโรคระบาดโควิด-19 การเก็งกำไรในตลาดสินทรัพย์ที่ซื้อขายเปลี่ยนมือคล่อง เช่น เหรียญคริปโตและหุ้นดูเหมือนว่าจะรุนแรงอย่างที่โลกไม่เคยพบเจอมาก่อน สาเหตุนั้นน่าจะเป็นเพราะปัจจัยสำคัญอะไรบ้าง
อวสานของการเก็งกำไร ​ สองปีที่ผ่านมา ตั้งแต่เกิดโรคระบาดโควิด-19 การ “เก็งกำไร” ในตลาดสินทรัพย์ที่ซื้อขายเปลี่ยนมือคล่องเช่น เหรียญคริปโตและหุ้นดูเหมือนว่าจะรุนแรงอย่างที่โลกไม่เคยพบเจอมาก่อน สาเหตุนั้นน่าจะเป็นเพราะปัจจัยสำคัญหลายอย่างดังต่อไปนี้คือ ข้อแรก มีการอัดฉีดเม็ดเงินเข้ามาในระบบมหาศาลเพิ่มจากที่มีมากอยู่แล้วอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน นั่นคือ มีการทำ QE ที่ต่อเนื่องมายาวนานตั้งแต่วิกฤติซับไพร์มในปี 2008 ที่ยังค้างอยู่และมีการ “แจกเงิน” มหาศาลให้กับประชาชนโดยรัฐบาลเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการปิดเมืองในช่วงโควิด ข้อสอง เทคโนโลยีโดยเฉพาะทางด้านดิจิทัลถูกนำมาใช้เพื่อแก้ปัญหาของคนที่ต้องกักตัวอยู่กับบ้านเป็นเวลานานมีการเติบโตขึ้นมหาศาล ทำให้บริษัทที่เกี่ยวข้องมีรายได้และกำไรเติบโตเร็วขึ้นมาก และมีการคาดการณ์ว่าเมื่อคนใช้แล้วก็จะใช้ต่อไปเหมือนเดิมหลังจากโรคสงบลงแล้ว และ ข้อสามก็คือ การลงทุนในหลักทรัพย์ทางการเงิน โดยเฉพาะที่เป็นดิจิทัลและหุ้นนั้น ง่ายและมีต้นทุนต่ำลงมาก “ใกล้ศูนย์” พูดง่าย ๆ คนธรรมดาที่มีเงินเพียงหมื่นหรือสองหมื่นบาทก็สามารถลงทุนในเหรียญคริปโตและหุ้นทุกตัวได้โดยค่าคอมมิชชั่นในการซื้อขายต่ำมากผ่านระบบการซื้อขายที่เป็นดิจิทัลเช่นแพลทฟอร์มต่าง ๆ และผ่านเครื่องมือทางการเงิน เช่น ออปชั่นของหุ้นเป็นต้น นักลงทุนโดยเฉพาะที่เป็น “รายย่อยรุ่นใหม่” ที่เข้ามาลงทุนในเหรียญคริปโตและตลาดหุ้นนั้นมีจำนวนมากมายอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน และด้วย Demand หรือความต้องการซื้อเพิ่มขึ้นมากมายอย่าง “กระทันหัน” ในขณะที่ Supply ของสินทรัพย์ที่มีคุณภาพมีจำกัด ผลก็คือ ราคาของหลักทรัพย์ทั้งหลายรวมถึงคริปโตต่างก็วิ่งขึ้นกันทั่วหน้า สถานการณ์ของหุ้นและสินทรัพย์ดิจิทัลโดยเฉพาะที่ได้ประโยชน์จากโควิดหรือ “มีข่าวดี” หรือมี “Story” จำนวนมากถูก “กวาดซื้อ” จนเหมือนถูก “Corner” หรือ “ต้อนเข้ามุม” ซึ่งทำให้ราคา “ทะลุโลก” ขึ้นไปเป็นสิบเท่าหรือมากกว่านั้นในเวลาอันสั้นแค่หนึ่งหรือสองปีหรือแค่ไม่กี่เดือน สิ่งเหล่านี้ดึงดูดนักลงทุนหน้าใหม่เข้ามาเพิ่มและทำให้หุ้นและสินทรัพย์ดิจิทัลโดยทั่วไปปรับตัวขึ้นไปอีกเป็น “วงจร” ต่อเนื่องกันจนทำให้ตลาดหุ้นและคริปโตเฟื่องฟูขึ้นจนอาจจะกลายเป็น “ฟองสบู่” ทั้ง ๆ ที่โลกต้องประสบกับภัยโควิด-19 ที่ร้ายแรงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ครั้งหนึ่ง แต่ “งานเลี้ยงนั้นต้องมีวันเลิกรา” ตั้งแต่ต้นปีมาจนถึงสิ้นเดือนมกราคมดูเหมือนว่าตลาดจะมีอาการและเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่อาจจะทำลายการ “เก็งกำไร” ที่เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 2 ปีที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นหลัก ๆ ของโลกโดยเฉพาะที่เป็นตลาดที่ราคาหรือดัชนีหุ้นปรับตัวขึ้นไปสูงมากต่างก็ลดลงอย่างรวดเร็ว ดัชนีดาวโจนส์ในวันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2565 ปรับตัวลดลงถึง 5.1% นับจากวันสิ้นปี 2564 ดัชนี S&P500 ลดลงจากสิ้นปี 7.6% ดัชนีแนสแดคซึ่งเป็นตัวแทนของหุ้นไฮเทคนั้นปรับตัวลดลงถึง 13% ในเวลาแค่ 1 เดือน ส่วนราคาของบิทคอยน์นั้นลดลงถึงประมาณ 20% ในช่วงเวลาเดียวกัน ส่วนในตลาดหุ้นไทยนั้น ค่าที่ว่าหุ้นเก็งกำไรนั้น ส่วนมากเป็นกับหุ้นตัวเล็ก-กลาง ดังนั้น การขึ้นหรือลงของหุ้นที่เป็นหุ้นเก็งกำไรจึงอาจจะไม่ค่อยมีผลต่อดัชนีตลาดหุ้นโดยรวมมากนัก เห็นได้จากดัชนีตลาดหุ้นไทยไม่ได้ปรับตัวขึ้นมากนักในปีก่อนอยู่ที่เพียง 14% และเมื่อเทียบกับเมื่อ 2 ปีก่อนแล้วก็ปรับตัวขึ้นแค่ประมาณ 5% ซึ่งแสดงให้เห็นว่าโควิด-19 และการเก็งกำไรในตลาดหุ้นไทยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมานั้นไม่ได้มีผลกับหุ้นตัวใหญ่หรือหุ้นทั้งตลาด แต่มีผลกับ “หุ้นเก็งกำไร” ตัวเล็กหรือตัวกลางที่อาจจะเป็น “หุ้นเก็งกำไร” เห็นได้จากดัชนี MAI ที่ปรับตัวขึ้นถึง 70 กว่าเปอร์เซ็นต์ในปีที่แล้ว การตกลงแรงของราคาหุ้นและสินทรัพย์ดิจิทัลนั้น คนอาจจะบอกว่าเป็นเรื่องปกติของการ “เก็งกำไร” ที่จะมีขึ้นมีลงรุนแรงเป็นครั้งคราว แต่คราวนี้ผมคิดว่าเราจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะมันเกิดขึ้นเนื่องจากธนาคารกลางหรือ FED ของสหรัฐเริ่มส่งสัญญาณชัดเจนว่าภายในเดือนมีนาคมจะเริ่มปรับดอกเบี้ยอ้างอิงขึ้นและอาจจะต้องขึ้นเร็วกว่าที่คาดเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อที่กำลังปรับตัวขึ้นแรงที่สุดในช่วงประมาณ 40 ปีที่ผ่านมาที่ประมาณ 7% นอกจากนั้น หลังจากการปรับอัตราดอกเบี้ยแล้ว FED ก็จะลดและดูดเงินออกจากระบบโดยลดการทำ QE ลง ซึ่งก็แน่นอนว่าไม่ได้บอกว่าอัตราดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้นถึงจุดไหนหรือ QE จะลดต่อเนื่องไปถึงขนาดไหน แต่ดูเหมือนว่าสหรัฐเห็นว่าความจำเป็นที่จะต้องกระตุ้นเศรษฐกิจนั้นหมดไปแล้ว นี่คือช่วงเวลาที่จะควบคุมอัตราเงินเฟ้อและรักษาเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจ และผลจากการทำแบบนั้นอาจจะทำให้ “การเก็งกำไร” ที่ดำเนินมายาวนานหมดไป เพราะถ้ามองว่าตลาดหุ้นมีผลงานการลงทุนที่ดีต่อเนื่องมายาวนานเป็นกว่า 10 ปีและสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตนั้นส่วนสำคัญมาจากการที่อัตราดอกเบี้ยลดลงต่อเนื่องมายาวนานจนเหลือเกือบศูนย์เปอร์เซ็นต์ ความน่ากลัวก็คือ ถ้าอัตราดอกเบี้ยกำลัง “เปลี่ยนทิศ” เป็นขาขึ้นต่อเนื่องยาวนานหลายปีจนกลับไปอยู่ที่อัตราดอกเบี้ย “ปกติ” ซัก 4-5% ต่อปี อะไรจะเกิดขึ้น? ผมเองคิดว่า FED อาจจะต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 3-4 ปีที่จะทยอยปรับดอกเบี้ยขึ้นไปเรื่อย ๆ ซึ่งในช่วงเวลาที่ดอกเบี้ยขึ้นไปแบบนั้นก็อาจจะเป็นการยากที่ตลาดหุ้นจะดีขึ้นไปมาก ๆ จริงอยู่ ถ้าเศรษฐกิจดีและกำไรของบริษัทจดทะเบียนโตขึ้นเร็ว ดัชนีหุ้นก็อาจจะไม่ถึงกับเลวร้ายหรือมีปัญหา แต่หุ้นจะไปต่อได้ก็หมายความว่าราคาของหุ้นนั้นต้อง “ไม่แพง” ซึ่งจะทำให้ราคาสามารถขึ้นไปตาม “พื้นฐาน” ของบริษัท แต่ถ้าหุ้นโดยรวมมีราคาแพงหรือแพงมากอย่างที่เป็นอยู่ โอกาสก็เป็นไปได้ว่าหุ้นอาจจะไม่ไปไหน เพียงแต่ค่า PE จะลดลงและกลายเป็นหุ้นที่ “ไม่แพง” อีกต่อไป เนื่องจาก “การเก็งกำไรที่หายไป” เหรียญคริปโตที่มีราคาปรับตัวขึ้นไปสูงมากนั้นผมคิดว่าไม่ได้มาจาก “พื้นฐาน” โดยเฉพาะของบิทคอยน์ที่ว่าจะกลายเป็น “เงินของโลก” ที่คนทั้งโลกจะใช้ในการซื้อ-ขายสินค้าหรือเก็บเป็นเงินสำรอง เพราะดูไปแล้วมันมีคุณสมบัติที่ไม่ดีพอที่จะทำอย่างนั้น อย่างมากที่จะเป็นก็คือ “ทองเสมือน” ที่ไม่รู้ว่าราคาที่เหมาะสมควรจะเป็นเท่าไร อย่างไรก็ตาม ในยามที่มีการเก็งกำไรสูงมากในช่วงโควิด-19 มันก็กลายเป็นเครื่องมือในการเก็งกำไรสุดยอด เหตุผลก็เพราะว่าบิทคอยน์มีจำนวนจำกัดและไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้ การเข้ามาซื้อของผู้คนจำนวนมหาศาลเพราะเชื่อสตอรี่ที่ว่ามันจะกลายเป็นเงินของโลกทำให้เกิดสถานการณ์ที่บิทคอยน์ถูก “Corner” ซึ่งทำให้ราคาขึ้นไปสูงสุดยอดอย่างรวดเร็ว แต่ถึงวันนี้ รัฐบาลจำนวนมากและเป็นส่วนใหญ่ของโลกต่างก็ยังไม่รับรองหรือสนับสนุนบิทคอยน์ ในการทำธุรกรรมต่าง ๆ หลายประเทศรวมถึงไทยเริ่ม “แบน” บิทคอยน์ในระดับใดระดับหนึ่ง เช่น ไม่อนุญาตให้ใช้ในการซื้อ-ขายสินค้าหรือไม่ให้ลงทุนเลยก็มี นั่นส่งผลให้สตอรี่ของบิทคอยน์อ่อนลงไปเรื่อย คนที่อาจจะเคยเชื่อว่าบิทคอยน์คือ“อนาคต” ของเงินดิจิทัลเริ่มหวั่นไหวก็เริ่มขาย ราคาที่ลงก็ส่งผลให้คนที่ไม่มั่นใจมากพอเริ่มขายต่อ การตกลงมาอย่างหนักก็ชักจูงให้คนขายเพิ่มขึ้น จริงอยู่ ในอดีตบิทคอยน์ก็เคยลงมาอย่างหนักพอ ๆ กันแต่มันก็ปรับตัวขึ้นมาใหม่ แต่คราวนี้ก็อาจจะไม่แน่ เพราะ “แรงต้าน” จากรัฐบาลทั่วโลกมากขึ้นทุกทีซึ่งรวมถึงจีนและอินเดียที่มีประชากรมหาศาล ดังนั้น อนาคตบิทคอยน์จะไปต่อได้อย่างไร? แม้แต่ประเทศที่รับรองบิทคอยน์อย่างแข็งขันเช่น เอลซานวาดอร์ เองนั้นก็กำลังโดนเตือนจาก IMF ให้เลิกทำเพราะเกรงว่าจะก่อให้เกิดอันตรายต่อเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้น เมื่อถึงวันที่การเก็งกำไรระดับโลกในหุ้นและเหรียญดิจิทัลต่าง ๆ ลดลงอย่างแรง บิทคอยน์ก็อาจจะมีโอกาสตกลงไปมากจนถึงจุดก่อนเกิดโควิด-19 ที่ต่ำกว่า 10,000 เหรียญสหรัฐได้ง่าย ๆ มุมมองของผมสำหรับนักลงทุนไทยก็คือ ในช่วงนี้มีโอกาสที่จะใกล้ถึงวัน “อวสานของการเก็งกำไร” ที่หลักทรัพย์เช่นหุ้นหรือสินทรัพย์ดิจิทัลต่าง ๆ ที่เป็นเครื่องมือในการเก็งกำไรหรือโดยคุณสมบัติเป็นหุ้นหรือเหรียญที่ “เก็งกำไร” กล่าวคือมีพื้นฐานต่ำกว่าราคามาก เช่น มีค่า PE หรือ Market Cap.สูงผิดปกติมาก หรือบางตัวแทบจะไม่มีพื้นฐานเลย อาจจะถูกขายจนราคาตกลงไปมากมายเกินครึ่งหรืออาจจะถึง 80-90% ได้ง่าย ๆ ทางที่ดีก็ควรจะหลีกเลี่ยงที่จะถือหรือเข้าไปเล่น “เก็งกำไร” ในหุ้นหรือสินทรัพย์เหล่านั้น อย่าไปเชื่อว่ามันจะเปลี่ยนโลกหรือมันจะเติบโตและทำกำไรจากเทรนด์ในอนาคต เพราะโอกาสที่จะเกิดนั้นน้อยมาก หรือถ้าตัวไหนเกิดทำได้จริง ๆ บางทีราคาของมันในช่วงนี้ก็ได้ปรับขึ้นมาเหมาะสมกับความสำเร็จนั้นอยู่แล้วก็ได้ เพราะฉะนั้นผมจึงไม่เห็นเหตุผลที่จะลงทุนในหุ้นหรือสินทรัพย์เก็งกำไรเหล่านั้น ถ้าอยากที่จะ “ร่วมขบวน” ไปกับเทคโนโลยีของโลกใหม่ รอก่อนก็น่าจะได้ มุมมองของผมสำหรับนักลงทุนไทยก็คือ ในช่วงนี้มีโอกาสที่จะใกล้ถึงวัน “ อวสานของการเก็งกำไร ” ที่หลักทรัพย์เช่นหุ้นหรือสินทรัพย์ดิจิทัลต่าง ๆ ที่เป็นเครื่องมือในการเก็งกำไรหรือโดยคุณสมบัติเป็นหุ้นหรือเหรียญที่ “ เก็งกำไร ” กล่าวคือมีพื้นฐานต่ำกว่าราคามาก เช่น มีค่า PE หรือ Market Cap. สูงผิดปกติมาก หรือบางตัวแทบจะไม่มีพื้นฐานเลย อาจจะถูกขายจนราคาตกลงไปมากมายเกินครึ่งหรืออาจจะถึง 80-90 % ได้ง่าย ๆ ทางที่ดีก็ควรจะหลีกเลี่ยงที่จะถือหรือเข้าไปเล่น “ เก็งกำไร ” ในหุ้นหรือสินทรัพย์เหล่านั้น อย่าไปเชื่อว่ามันจะเปลี่ยนโลกหรือมันจะเติบโตและทำกำไรจากเทรนด์ในอนาคต เพราะโอกาสที่จะเกิดนั้นน้อยมาก หรือถ้าตัวไหนเกิดทำได้จริง ๆ บางทีราคาของมันในช่วงนี้ก็ได้ปรับขึ้นมาเหมาะสมกับความสำเร็จนั้นอยู่แล้วก็ได้ เพราะฉะนั้นผมจึงไม่เห็นเหตุผลที่จะลงทุนในหุ้นหรือสินทรัพย์เก็งกำไรเหล่านั้น ถ้าอยากที่จะ “ ร่วมขบวน ” ไปกับเทคโนโลยีของโลกใหม่ รอก่อนก็น่าจะได้ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร . ที่มาบทความ:
ตั้งแต่เกิดโรคระบาดโควิด-19 การเก็งกำไรในตลาดสินทรัพย์ที่ซื้อขายเปลี่ยนมือคล่อง เช่น เหรียญคริปโตและหุ้นดูเหมือนว่าจะรุนแรงอย่างที่โลกไม่เคยพบเจอมาก่อน สาเหตุนั้นน่าจะเป็นเพราะปัจจัยสำคัญหลายอย่างดังต่อไปนี้ คือ ข้อแรก มีการอัดฉีดเม็ดเงินเข้ามาในระบบมหาศาลเพิ่มจากที่มีมากอยู่แล้วอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน นั่นคือ มีการทำ QE ที่ต่อเนื่องมายาวนานตั้งแต่วิกฤติซับไพร์มในปี 2008 ที่ยังค้างอยู่และมีการแจกเงินมหาศาลให้กับประชาชนโดยรัฐบาลเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการปิดเมืองในช่วงโควิด ข้อสอง เทคโนโลยีโดยเฉพาะทางด้านดิจิทัลถูกนำมาใช้เพื่อแก้ปัญหาของคนที่ต้องกักตัวอยู่กับบ้านเป็นเวลานานมีการเติบโตขึ้นมหาศาล ทำให้บริษัทที่เกี่ยวข้องมีรายได้และกำไรเติบโตเร็วขึ้นมาก และมีการคาดการณ์ว่าเมื่อคนใช้แล้วก็จะใช้ต่อไปเหมือนเดิมหลังจากโรคสงบลงแล้ว ข้อสาม คือ การลงทุนในหลักทรัพย์ทางการเงิน โดยเฉพาะที่เป็นดิจิทัลและหุ้นนั้น ง่ายและมีต้นทุนต่ำลงมากใกล้ศูนย์ พูดง่าย ๆ คนธรรมดาที่มีเงินเพียงหมื่นหรือสองหมื่นบาทก็สามารถลงทุนในเหรียญคริปโตและหุ้นทุกตัวได้โดยค่าคอมมิชชั่นในการซื้อขายต่ำมากผ่านระบบการซื้อขายที่เป็นดิจิทัลเช่นแพลทฟอร์มต่าง ๆ และผ่านเครื่องมือทางการเงิน เช่น ออปชั่นของหุ้นเป็นต้น
4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1226
Finance
จงสรุปบทความเรื่อง รวม ‘ข้อผิดพลาด’ ที่นักลงทุนส่วนใหญ่ไม่รู้ เมื่อลงทุนด้วยตัวเอง ให้หน่อยค่ะ
รวม ‘ข้อผิดพลาด’ ที่นักลงทุนส่วนใหญ่ไม่รู้ เมื่อลงทุนด้วยตัวเอง ​ ในยุคที่เพียบพร้อมไปด้วยข้อมูลข่าวสาร หลาย ๆ คนอาจจะคิดว่า เราสามารถลงทุนได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องปรึกษาใคร หากหมั่นเรียนรู้และติดตามข่าวสาร ก็ไม่พลาดโอกาสทำผลตอบแทนจากการลงทุนได้ แต่หารู้ไม่ว่าหลาย ๆ สิ่งที่เราทำนั้น บางทีเราอาจจะกำลังเข้าใจผิด ซึ่งอาจจะส่งผลต่อผลตอบแทนโดยรวมก็ได้ ลองมาดูตัวอย่างเหล่านี้ แล้วเช็กว่าเราเคยเจอความคิดแบบนี้ไหม? ในยุคที่เพียบพร้อมไปด้วยข้อมูลข่าวสาร หลาย ๆ คนอาจจะคิดว่า เราสามารถลงทุนได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องปรึกษาใคร หากหมั่นเรียนรู้และติดตามข่าวสาร ก็ไม่พลาดโอกาสทำผลตอบแทนจากการลงทุนได้ แต่หารู้ไม่ว่าหลาย ๆ สิ่งที่เราทำนั้น บางทีเราอาจจะกำลังเข้าใจผิด ซึ่งอาจจะส่งผลต่อผลตอบแทนโดยรวมก็ได้ ลองมาดูตัวอย่างเหล่านี้ แล้วเช็กว่าเราเคยเจอความคิดแบบนี้ไหม? สิ่งที่คิด: สิ่งที่เรารู้และเห็นนั้นคือทุก ๆ อย่าง ความเป็นจริง: เราอาจจะกำลังลำเอียงอยู่หรือเปล่า? แม้ว่าปัจจุบันจะเป็นยุคที่เราสามารถหาข้อมูลได้สะดวกและรวดเร็วกว่าแต่ก่อน เพียงแค่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเข้าอินเทอร์เน็ตหรือโซเชียลมีเดียก็สามารถตอบทุกคำถามคาใจของเราได้แล้ว แต่จะรู้ได้อย่างไรว่าสารที่เรารับมานั้นเชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด? เป็นข้อมูลที่ถูกต้องทั้งหมดหรือไม่? เป็นข้อเท็จจริง หรือ แค่ความเห็น? หลายคนอาจจะเคยได้ยินว่ามนุษย์เรามีอคติและความลำเอียง ซึ่งในหลาย ๆ ครั้งเราก็คิดไม่ถึงว่าเป็นความลำเอียงที่เราสร้างขึ้นมาจนทำให้ตัดสินใจพลาดไป ตัวอย่างง่าย ๆ อย่างเช่น Confirmation Bias ที่จะเกิดขึ้นเมื่อเรารับรู้ข้อมูลชุดหนึ่ง เราก็จะมีแนวโน้มหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อมาสนับสนุนข้อมูลชิ้นนั้น แทนที่จะหาข้อมูลตรงกันข้ามเพื่อมาหักล้างกัน ทำให้เรามองเห็นสิ่งต่าง ๆ เพียงแค่ด้านเดียว แม้ว่าปัจจุบันจะเป็นยุคที่เราสามารถหาข้อมูลได้สะดวกและรวดเร็วกว่าแต่ก่อน เพียงแค่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเข้าอินเทอร์เน็ตหรือโซเชียลมีเดียก็สามารถตอบทุกคำถามคาใจของเราได้แล้ว แต่จะรู้ได้อย่างไรว่าสารที่เรารับมานั้นเชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด? เป็นข้อมูลที่ถูกต้องทั้งหมดหรือไม่? เป็นข้อเท็จจริง หรือ แค่ความเห็น? หลายคนอาจจะเคยได้ยินว่ามนุษย์เรามีอคติและความลำเอียง ซึ่งในหลาย ๆ ครั้งเราก็คิดไม่ถึงว่าเป็นความลำเอียงที่เราสร้างขึ้นมาจนทำให้ตัดสินใจพลาดไป ตัวอย่างง่าย ๆ อย่างเช่น Confirmation Bias ที่จะเกิดขึ้นเมื่อเรารับรู้ข้อมูลชุดหนึ่ง เราก็จะมีแนวโน้มหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อมาสนับสนุนข้อมูลชิ้นนั้น แทนที่จะหาข้อมูลตรงกันข้ามเพื่อมาหักล้างกัน ทำให้เรามองเห็นสิ่งต่าง ๆ เพียงแค่ด้านเดียว สิ่งที่คิด: ลงทุนระยะยาว ไม่ต้องติดตามสถานะพอร์ตบ่อยก็ได้ ความเป็นจริง: รู้ตัวอีกที ก็ติดดอยแล้ว เรามักจะได้ยินว่า “ลงทุนยาว ๆ ไม่ต้องซื้อขายบ่อย ได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าในระยะยาว” ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องจริง ระยะเวลาเป็นเพื่อนคนสำคัญในโลกแห่งการลงทุน ยิ่งยาวก็ยิ่งเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทน แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าให้เราคงสถานะสินทรัพย์แบบเดิม ๆ ไว้ตลอด หากระยะสั้นเราเห็นว่าสินทรัพย์ไหนกำลังมา หรือกำลังอ่อนแรง เราก็ควรที่แบ่งสัดส่วนไปรับโอกาสตรงนั้น ปรับพอร์ตการลงทุนบ้างเป็นครั้งคราวเพื่อให้ทันกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งในหลาย ๆ ครั้ง หากเราลงทุนเอง เราอาจจะไม่มีเวลามากพอมาติดตามสถานการณ์โลก หรือวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก ที่จะช่วยให้เรารับโอกาสระยะสั้นได้ ทำให้พลาดโอกาสสร้างผลตอบแทนไปอย่างน่าเสียดาย เรามักจะได้ยินว่า ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องจริง ระยะเวลาเป็นเพื่อนคนสำคัญในโลกแห่งการลงทุน ยิ่งยาวก็ยิ่งเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทน แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าให้เราคงสถานะสินทรัพย์แบบเดิม ๆ ไว้ตลอด หากระยะสั้นเราเห็นว่าสินทรัพย์ไหนกำลังมา หรือกำลังอ่อนแรง เราก็ควรที่แบ่งสัดส่วนไปรับโอกาสตรงนั้น ปรับพอร์ตการลงทุนบ้างเป็นครั้งคราวเพื่อให้ทันกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งในหลาย ๆ ครั้ง หากเราลงทุนเอง เราอาจจะไม่มีเวลามากพอมาติดตามสถานการณ์โลก หรือวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก ที่จะช่วยให้เรารับโอกาสระยะสั้นได้ ทำให้พลาดโอกาสสร้างผลตอบแทนไปอย่างน่าเสียดาย สิ่งที่คิด: เรารู้จักตัวเองดีที่สุดแล้ว ความเป็นจริง: เราอาจจะประเมินตัวเองต่ำ/สูงไป ประโยค ‘ไม่มีใครรู้จักตัวเราดีเท่าเราเอง’ อาจจะใช้ไม่ได้กับสถานการณ์นี้ เพราะในหลาย ๆ ครั้งเราก็ไม่รู้ตัวว่าเราเสี่ยงได้มาก/น้อยแค่ไหน บางคนบอกว่ารับความเสี่ยงได้มากถึง 20% แต่พอเจอขาดทุนจริง ๆ 2% ก็ไม่สบายใจ ขณะเดียวกัน บางคนยังเหลือระยะเวลาการลงทุนอีกมาก แต่กลับกลัวความเสี่ยง ทำให้ลงทุนแค่ในสินทรัพย์เสี่ยงต่ำที่ให้ผลตอบแทนไม่สูง พลาดโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย ในอีกด้านหนึ่ง เรื่องเป้าหมายหรือผลตอบแทนด้านการลงทุนก็สำคัญ หากลงทุนเอง เราอาจจะเผลอตั้งเป้าหมายที่ไม่สะท้อนความจริง หรือ เราอาจจะไม่เชี่ยวชาญมากพอ ในการบริหารพอร์ตของเราให้ไปถึงเป้าหมายนั้น ๆ ได้ ประโยค อาจจะใช้ไม่ได้กับสถานการณ์นี้ เพราะในหลาย ๆ ครั้งเราก็ไม่รู้ตัวว่าเราเสี่ยงได้มาก/น้อยแค่ไหน บางคนบอกว่ารับความเสี่ยงได้มากถึง 20% แต่พอเจอขาดทุนจริง ๆ 2% ก็ไม่สบายใจ ขณะเดียวกัน บางคนยังเหลือระยะเวลาการลงทุนอีกมาก แต่กลับกลัวความเสี่ยง ทำให้ลงทุนแค่ในสินทรัพย์เสี่ยงต่ำที่ให้ผลตอบแทนไม่สูง พลาดโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย ในอีกด้านหนึ่ง เรื่องเป้าหมายหรือผลตอบแทนด้านการลงทุนก็สำคัญ หากลงทุนเอง เราอาจจะเผลอตั้งเป้าหมายที่ไม่สะท้อนความจริง หรือ เราอาจจะไม่เชี่ยวชาญมากพอ ในการบริหารพอร์ตของเราให้ไปถึงเป้าหมายนั้น ๆ ได้ ซึ่งก่อนจะเริ่มลงทุนอะไร อยากให้ทุกคนลองค้นหาตัวเองดูว่า แท้จริงแล้ว ‘คุณเป็นนักลงทุนสายไหนในโลกการลงทุน’ กันแน่ เพราะถ้าหาตัวเองเจอแล้วจะช่วยให้เห็นภาพตัวคุณบนโลกการลงทุนชัดเจนขึ้น สามารถเลือกสินทรัพย์ที่เหมาะกับสไตล์ และความเสี่ยง รวมทั้งกำหนดเป้าหมายการลงทุนของคุณได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งก่อนจะเริ่มลงทุนอะไร อยากให้ทุกคนลองค้นหาตัวเองดูว่า แท้จริงแล้ว กันแน่ เพราะถ้าหาตัวเองเจอแล้วจะช่วยให้เห็นภาพตัวคุณบนโลกการลงทุนชัดเจนขึ้น สามารถเลือกสินทรัพย์ที่เหมาะกับสไตล์ และความเสี่ยง รวมทั้งกำหนดเป้าหมายการลงทุนของคุณได้ดียิ่งขึ้น ค้นหาว่าคุณเป็นนักลงทุนสายไหนได้ที่ เกมทายใจ! คุณคือนักลงทุนสายไหนในโลกการลงทุน? ค้นหาว่าคุณเป็นนักลงทุนสายไหนได้ที่ เกมทายใจ! คุณคือนักลงทุนสายไหนในโลกการลงทุน? เกมทายใจ! คุณคือนักลงทุนสายไหนในโลกการลงทุน? สิ่งที่คิด: ลงทุนในสินทรัพย์ประเภทเดียวก็ไม่เสียหาย ความเป็นจริง: เปิดพอร์ตดูอีกที แดงแจ๋ถ้วนหน้า หลาย ๆ คนก่อนจะก้าวมาในโลกการลงทุนคงจะเคยได้ยินประโยคที่ว่า ‘อย่าเก็บไข่ไว้ในตะกร้าใบเดียว’ หากพูดให้เข้าใจง่าย ๆ สำหรับการลงทุนแล้วก็คือการ ‘กระจายความเสี่ยง’ นั้นเอง บางคนอาจจะเป็นสาย Solo ลุยเดี่ยวเลย ไม่ง้อใคร มีความมั่นใจสูงมาก เห็นว่าสินทรัพย์ไหนมาแรงเป็นกระแสก็ใส่หนักจัดเต็ม ซึ่งก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้เลยซะทีเดียว แต่เปอร์เซ็นต์ที่จะประสบความสำเร็จจากการลงทุนแบบนี้มีน้อยมาก ๆ แม้ว่าบางคนอาจจะรับความเสี่ยงได้สูงก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงสูงอย่างเดียวเสมอไป ลองหันมาจัดพอร์ตการลงทุนดูบ้าง ลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท หลากหลายระดับความเสี่ยง พอร์ตของเราจะได้เติบโตแบบมีประสิทธิภาพกันไปยาว ๆ หลาย ๆ คนก่อนจะก้าวมาในโลกการลงทุนคงจะเคยได้ยินประโยคที่ว่า หากพูดให้เข้าใจง่าย ๆ สำหรับการลงทุนแล้วก็คือการ นั้นเอง บางคนอาจจะเป็นสาย Solo ลุยเดี่ยวเลย ไม่ง้อใคร มีความมั่นใจสูงมาก เห็นว่าสินทรัพย์ไหนมาแรงเป็นกระแสก็ใส่หนักจัดเต็ม ซึ่งก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้เลยซะทีเดียว แต่เปอร์เซ็นต์ที่จะประสบความสำเร็จจากการลงทุนแบบนี้มีน้อยมาก ๆ แม้ว่าบางคนอาจจะรับความเสี่ยงได้สูงก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงสูงอย่างเดียวเสมอไป ลองหันมาจัดพอร์ตการลงทุนดูบ้าง ลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท หลากหลายระดับความเสี่ยง พอร์ตของเราจะได้เติบโตแบบมีประสิทธิภาพกันไปยาว ๆ หากอ่านทั้งหมดแล้วรู้สึกว่า “นี่แหละคือสิ่งที่เราเคยเจอ” ลองมาดูตัวช่วยที่เราอยากแนะนำกันครับ หากอ่านทั้งหมดแล้วรู้สึกว่า ลองมาดูตัวช่วยที่เราอยากแนะนำกันครับ อยากจัดการกับข้อผิดพลาด? “ที่ปรึกษาการลงทุนส่วนตัว” ช่วยคุณได้ ปัญหาต่าง ๆ ที่เราเผชิญจากการลงทุนด้วยตัวเอง จะถูกแก้ไขได้หากเรามี ‘ที่ปรึกษาการลงทุนส่วนตัว’ ซึ่งเราสามารถไว้ใจได้เพราะพวกเขาคือผู้เชี่ยวชาญที่โดยเบื้องต้นต้องเป็นผู้ที่ได้รับใบอนุญาตแนะนำการลงทุน ที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) และยังต้องผ่านการอบรมจาก FINNOMENA อีกด้วย โดยที่ปรึกษาการลงทุนส่วนตัวจะทำให้คุณมองเห็นเป้าหมายการลงทุนของคุณได้ชัดเจนขึ้น ทำความเข้าใจกับสไตล์ของนักลงทุนที่แตกต่างกัน เพื่อให้สามารถออกแบบพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมกับทั้งความเสี่ยง และเป้าหมายการลงทุนของเรา นอกจากนี้พวกเขายังคอยติดตามสถานะการลงทุนให้เรา และแจ้งเตือนทันทีหากต้องมีการปรับพอร์ตการลงทุน พร้อมเดินทางไปด้วยกันจนกว่าคุณจะถึงทุกเป้าหมายบนโลกการลงทุน ปัญหาต่าง ๆ ที่เราเผชิญจากการลงทุนด้วยตัวเอง จะถูกแก้ไขได้หากเรามี ซึ่งเราสามารถไว้ใจได้เพราะพวกเขาคือผู้เชี่ยวชาญที่โดยเบื้องต้นต้อง เป็นผู้ที่ได้รับใบอนุญาตแนะนำการลงทุน ที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) และยังต้องผ่านการอบรมจาก FINNOMENA อีกด้วย โดยที่ปรึกษาการลงทุนส่วนตัวจะทำให้คุณมองเห็นเป้าหมายการลงทุนของคุณได้ชัดเจนขึ้น ทำความเข้าใจกับสไตล์ของนักลงทุนที่แตกต่างกัน เพื่อให้สามารถออกแบบพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมกับทั้งความเสี่ยง และเป้าหมายการลงทุนของเรา นอกจากนี้พวกเขายังคอยติดตามสถานะการลงทุนให้เรา และแจ้งเตือนทันทีหากต้องมีการปรับพอร์ตการลงทุน พร้อมเดินทางไปด้วยกันจนกว่าคุณจะถึงทุกเป้าหมายบนโลกการลงทุน สรุปง่าย ๆ เลย ที่ปรึกษาการลงทุนส่วนตัวจะเข้ามาช่วยเราแก้ปัญหา 4 ข้อนี้ ปัญหา 1: เราอาจจะกำลังลำเอียงอยู่หรือเปล่า? ที่ปรึกษาการลงทุน: วิเคราะห์อย่างเป็นกลาง แนะนำสิ่งที่ดีที่สุดให้ผู้ลงทุน เป็นเพื่อนคู่คิดบนเส้นทางของการลงทุน เราอาจจะกำลังลำเอียงอยู่หรือเปล่า? วิเคราะห์อย่างเป็นกลาง แนะนำสิ่งที่ดีที่สุดให้ผู้ลงทุน เป็นเพื่อนคู่คิดบนเส้นทางของการลงทุน ปัญหา 2: รู้ตัวอีกที ก็ติดดอยแล้ว ที่ปรึกษาการลงทุน: คอยติดตามสถานการณ์การลงทุน พร้อมแจ้งอัปเดตทันทีหากมีอะไรต้องเปลี่ยนแปลง รู้ตัวอีกที ก็ติดดอยแล้ว คอยติดตามสถานการณ์การลงทุน พร้อมแจ้งอัปเดตทันทีหากมีอะไรต้องเปลี่ยนแปลง ปัญหา 3: เราอาจจะประเมินตัวเองต่ำ/สูงไป ที่ปรึกษาการลงทุน: มีการวิเคราะห์ข้อมูลผู้ลงทุนอย่างละเอียด เพื่อเข้าใจระดับความเสี่ยงที่รับได้และเป้าหมายของผู้ลงทุน เราอาจจะประเมินตัวเองต่ำ/สูงไป มีการวิเคราะห์ข้อมูลผู้ลงทุนอย่างละเอียด เพื่อเข้าใจระดับความเสี่ยงที่รับได้และเป้าหมายของผู้ลงทุน ปัญหา 4: พอร์ตแดงแจ๋ เพราะการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทเดียวเป็นเหตุ ที่ปรึกษาการลงทุน: ช่วยจัดพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมกับสไตล์และความเสี่ยงของผู้ลงทุน พอร์ตแดงแจ๋ เพราะการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทเดียวเป็นเหตุ ช่วยจัดพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมกับสไตล์และความเสี่ยงของผู้ลงทุน หวังว่าทุกคนจะได้มุมมองเพิ่มเติมเกี่ยวกับประโยชน์ของการมีที่ปรึกษาการลงทุนนะครับ หากใครสนใจมีที่ปรึกษาการลงทุนส่วนตัวร่วมเป็นเพื่อนคู่คิดตลอดการเดินทางบนโลกการลงทุนของคุณ ทางฟินโนมีนามี ‘FINNOMENA Exclusive’ บริการที่ปรึกษาการลงทุนส่วนตัว ให้คำปรึกษาการลงทุนกองทุนรวมแบบเป็นกลาง โดยสามารถรับบริการได้ ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ความพิเศษของบริการนี้คือใช้เงินลงทุนเริ่มต้นเพียงแค่ 500,000 บาทเท่านั้น ก็สามารถรับคำปรึกษาได้อย่างสบายใจ ไม่มีข้อผูกมัดใด ๆ แถมมีผู้ดูแลการลงทุนส่วนตัวอีกด้วย หวังว่าทุกคนจะได้มุมมองเพิ่มเติมเกี่ยวกับประโยชน์ของการมีที่ปรึกษาการลงทุนนะครับ หากใครสนใจมีที่ปรึกษาการลงทุนส่วนตัวร่วมเป็นเพื่อนคู่คิดตลอดการเดินทางบนโลกการลงทุนของคุณ ทางฟินโนมีนามี บริการที่ปรึกษาการลงทุนส่วนตัว ให้คำปรึกษาการลงทุนกองทุนรวมแบบเป็นกลาง โดยสามารถรับบริการได้ ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ความพิเศษของบริการนี้คือใช้เงินลงทุนเริ่มต้นเพียงแค่ 500,000 บาทเท่านั้น ก็สามารถรับคำปรึกษาได้อย่างสบายใจ ไม่มีข้อผูกมัดใด ๆ แถมมีผู้ดูแลการลงทุนส่วนตัวอีกด้วย หากสนใจใช้บริการ สามารถกรอกข้อมูลเพื่อรับบริการได้ที่ หากสนใจใช้บริการ สามารถกรอกข้อมูลเพื่อรับบริการได้ที่ คำเตือน คำเตือน ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
รวม ‘ข้อผิดพลาด’ ที่นักลงทุนส่วนใหญ่ไม่รู้ เมื่อลงทุนด้วยตัวเอง สิ่งที่คิด: สิ่งที่รู้และเห็นนั้นคือทุก ๆ อย่าง ความเป็นจริง: อาจจะกำลังลำเอียงอยู่หรือเปล่า แม้ว่าปัจจุบันจะเป็นยุคที่สามารถหาข้อมูลได้สะดวกและรวดเร็ว แค่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเข้าอินเทอร์เน็ตหรือโซเชียลมีเดียก็สามารถตอบทุกคำถามได้แล้ว แต่จะรู้ได้อย่างไรว่าสารที่รับมานั้นเชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด เป็นข้อมูลที่ถูกต้องทั้งหมดหรือไม่ เป็นข้อเท็จจริง หรือ แค่ความเห็น หลายคนอาจจะเคยได้ยินว่ามนุษย์มีอคติและความลำเอียง ซึ่งในหลาย ๆ ครั้งก็คิดไม่ถึงว่าเป็นความลำเอียงที่สร้างขึ้นมาจนทำให้ตัดสินใจพลาดไป สิ่งที่คิด: ลงทุนระยะยาว ไม่ต้องติดตามสถานะพอร์ตบ่อยก็ได้ ความเป็นจริง: รู้ตัวอีกที ก็ติดดอยแล้ว นักลงทุนมักจะได้ยินว่า “ลงทุนยาว ๆ ไม่ต้องซื้อขายบ่อย ได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าในระยะยาว” ซึ่งเป็นเรื่องจริง ระยะเวลาเป็นเพื่อนคนสำคัญในโลกแห่งการลงทุน ยิ่งยาวก็ยิ่งเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทน แต่ไม่ได้หมายความว่าให้คงสถานะสินทรัพย์แบบเดิมไว้ตลอด หากระยะสั้นเห็นว่าสินทรัพย์ไหนกำลังมา หรือกำลังอ่อนแรง ก็ควรที่แบ่งสัดส่วนไปรับโอกาสตรงนั้น ปรับพอร์ตการลงทุนบ้างเป็นครั้งคราว เพื่อให้ทันกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งในหลาย ๆ ครั้ง หากลงทุนเอง อาจจะไม่มีเวลามากพอมาติดตามสถานการณ์โลก หรือวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก ที่จะช่วยให้รับโอกาสระยะสั้นได้ ทำให้พลาดโอกาสสร้างผลตอบแทนไปอย่างน่าเสียดาย สิ่งที่คิด: รู้จักตัวเองดีที่สุดแล้ว ความเป็นจริง: อาจจะประเมินตัวเองต่ำ/สูงไป ในหลาย ๆ ครั้งก็ไม่รู้ตัวว่าเสี่ยงได้มาก/น้อยแค่ไหน บางคนบอกว่ารับความเสี่ยงได้มากถึง 20% แต่พอเจอขาดทุนจริง ๆ 2% ก็ไม่สบายใจ ขณะเดียวกัน บางคนยังเหลือระยะเวลาการลงทุนอีกมาก แต่กลับกลัวความเสี่ยง ทำให้ลงทุนแค่ในสินทรัพย์เสี่ยงต่ำที่ให้ผลตอบแทนไม่สูง พลาดโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย ในอีกด้านหนึ่ง เรื่องเป้าหมายหรือผลตอบแทนด้านการลงทุนก็สำคัญ หากลงทุนเอง อาจจะเผลอตั้งเป้าหมายที่ไม่สะท้อนความจริง หรือ อาจจะไม่เชี่ยวชาญมากพอ ในการบริหารพอร์ตให้ไปถึงเป้าหมายนั้น ๆ ได้ สิ่งที่คิด: ลงทุนในสินทรัพย์ประเภทเดียวก็ไม่เสียหาย ความเป็นจริง: เปิดพอร์ตดูอีกที แดงแจ๋ถ้วนหน้า ก่อนจะก้าวมาในโลกการลงทุน ทุกคนคงเคยได้ยินประโยคที่ว่า ‘อย่าเก็บไข่ไว้ในตะกร้าใบเดียว’ หากพูดให้เข้าใจง่าย ๆ สำหรับการลงทุนแล้วก็คือการกระจายความเสี่ยงนั่นเอง บางคนอาจจะเป็นสายลุยเดี่ยวเลย ไม่ง้อใคร มีความมั่นใจสูงมาก เห็นว่าสินทรัพย์ไหนมาแรงเป็นกระแสก็ใส่หนักจัดเต็ม ซึ่งก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้เลย แต่เปอร์เซ็นต์ที่จะประสบความสำเร็จจากการลงทุนแบบนี้มีน้อยมาก ๆ แม้ว่าบางคนอาจจะรับความเสี่ยงได้สูงก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงสูงอย่างเดียวเสมอไป ลองหันมาจัดพอร์ตการลงทุนดูบ้าง ลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท หลากหลายระดับความเสี่ยง พอร์ตจะได้เติบโตแบบมีประสิทธิภาพกันไปยาว ๆ
5.ความรู้ทางการเงิน,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1228
Finance
มุมมองไอเอ็มเอฟ ปี2022 ต่อเศรษฐกิจสหรัฐและจีนเป็นอย่างไร?
null
กองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือไอเอ็มเอฟ เพิ่งออกรายงานมุมมองเศรษฐกิจโลกฉบับล่าสุด โดยลดประมาณการอัตราเติบโตของจีดีพีเศรษฐกิจโลกปีนี้เหลือ 4.4% ต่ำกว่าประมาณการครั้งก่อนเมื่อ 3 เดือนที่แล้ว ที่ 4.9%และอัตราการเติบโตในปี 2023 ที่ 3.8% สูงกว่าประมาณการครั้งก่อนเล็กน้อย ในขณะที่ได้ปรับอัตราการเติบโตเศรษฐกิจโลกในปี 2021 ขึ้นมาจากครั้งก่อนที่ร้อยละ 5.9 หากพิจารณาเศรษฐกิจกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ในปีนี้และปีหน้า คาดว่าจะเติบโตร้อยละ 3.9 และ 2.6 ตามลำดับ ส่วนเศรษฐกิจกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่และกำลังพัฒนา ในปีนี้และปีหน้า คาดว่าจะเติบโตร้อยละ 4.8 และ 4.7 ตามลำดับ สำหรับประเด็นหลักที่เกี่ยวข้องกับ 2 ประเทศยักษ์ใหญ่ รวมถึงภูมิภาคอื่น ๆ มีอยู่ 4 ประเด็น ดังนี้ รูปที่ 1 ปัจจัยที่มีผลต่อการลดลงคาดการณ์อัตราการเติบโตจีดีพีเศรษฐกิจโลกของ IMF หนึ่ง อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ จากรูปที่ 1 จะพบว่าการลดคาดการณ์เศรษฐกิจโลกในปีนี้ลง 0.5% ส่วนใหญ่มาจาก 2 ประเทศหลัก คือ สหรัฐ และ จีน โดยจีดีพีสหรัฐคาดว่าจะเติบโตเหลือ 4% โดยลดลง 1.2% จากประมาณการครั้งก่อน สาเหตุหลักมาจากการชะลอการเบิกจ่าย ของงบกระตุ้น Build Back Better ของผู้นำสหรัฐ ซึ่งจะทำให้นโยบายการคลังสหรัฐผ่อนคลายน้อยกว่า คาดก่อนหน้าค่อนข้างมาก และจากธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด ที่ทางไอเอ็มเอฟมองว่าเฟดขึ้นดอกเบี้ย ในปีนี้และปีหน้าอย่างละ 3 ครั้ง ซึ่งถือว่าเร็วและมากกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้า ในขณะที่จีดีพีจีนคาดว่าจะเติบโตเหลือ 4.8% ลดลง 0.8% จากประมาณการครั้งก่อน สาเหตุหลักมาจากผลกระทบต่อเศรษฐกิจจริง อันเป็นผลพวงมาจากนโยบาย Zero Covid Policy ของทางการจีน ที่ส่งผลต่ออุปสงค์ของชาวจีนโดยตรง รวมถึงต่อท่าเรือต่างๆที่ ไม่สามารถเปิดได้อย่างเต็มที่ ซึ่งทำให้เกิดภาวะอุปทานติดขัด จนไม่สามารถทำให้สินค้าต่างๆ รวมถึงสินค้าโภคภัณฑ์กลับไปอยู่ในระดับราคา ในช่วงก่อนโควิด อย่างไรก็ดี ในส่วนสถานการณ์ Baseline สำหรับเศรษฐกิจจีนนั้น ยังมองว่า ปัญหาอสังหาริมทรัพย์น่าจะสามารถถูกจำกัดให้อยู่ในวงจำกัดได้ในปีนี้ สำหรับอัตราการเติบโตเศรษฐกิจของภูมิภาคอื่นๆ จะพบว่าเศรษฐกิจยุโรปในปีนี้คาดว่าจะเติบโตที่ร้อยละ 3.9 โดยยุโรปใต้มีแนวโน้มจะเติบโตได้ดี ส่วนญี่ปุ่นในปีนี้ คาดว่าเติบโตที่ร้อยละ 3.3 ส่วนอินเดียและอาเซียนในปีนี้ คาดว่าเติบโตที่ร้อยละ 9 และ 5.6 ตามลำดับ ทั้งนี้ ไอเอ็มเอฟ ประเมินว่าเศรษฐกิจของอเมริกาใต้จะเติบโตค่อนข้างต่ำ จากผลพวงของโควิดและอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น รูปที่ 2 ผลจากอัตราการฉีดวัคซีนโควิดต่อการเปลี่ยนแปลงระดับคาดการณ์ อัตราการเติบโตจีดีพีประเทศต่างๆในเศรษฐกิจโลกของ IMF นอกจากนี้ ไอเอ็มเอฟ ยังสนับสนุนให้มีการเร่งฉีดวัคซีนโควิดให้กับ ประเทศกำลังพัฒนาให้เร็วขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากประเทศที่มีอัตราการฉีดวัคซีน โควิดสูง มีแนวโน้มที่เศรษฐกิจจะเติบโตได้ดี ดังรูปที่ 2 ในมุมของการว่างงาน จะพบว่าหากพิจารณาจากระดับอัตราการว่างงาน จะพบว่าตลาดแรงงานสหรัฐมีความร้อนแรงมาก ในขณะที่หากพิจารณาจาก อัตราการลาออกและอัตราการเข้าร่วมในตลาดแรงงานของสหรัฐ จะพบว่ายังมีผู้ที่อยู่นอกตลาดแรงงานค่อนข้างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคบริการ จนอาจทำให้เกิดแรงกดดันต่อระดับ ค่าจ้างเพิ่มขึ้นอีก สอง มุมมองอัตราเงินเฟ้อของโลก คาดว่าอัตราเงินเฟ้อในปีนี้ที่ร้อยละ 3.9 สำหรับกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว และ ร้อยละ 5.9 สำหรับกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา โดยที่สหรัฐจะเผชิญปัญหาเงินเฟ้อมากกว่าเพื่อน จากแรงกดดันของค่าจ้างที่มีผู้ออกจากตลาดแรงงานในช่วงโควิดและไม่กลับมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคบริการ โดยที่อัตราเงินเฟ้อสหรัฐจะขึ้นสูงสุดในช่วงกลางปีนี้ก่อนจะลดลงมา ในช่วงปลายปี จากฝั่งอุปทานที่น่าจะค่อยๆกลับมาทำงานได้เหมือนช่วงปกติ สาม นโยบายการเงิน ทางไอเอ็มเอฟ ประเมินเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้และปีหน้าอย่างละ 3 ครั้ง เพื่อสู้กับเงินเฟ้อ อย่างไรก็ดี ยังมองว่านโยบายการเงินของเฟด น่าจะต้องพิจารณาผลกระทบต่อความเปราะบางทางเศรษฐกิจ ของตลาดเกิดใหม่จากการขึ้นดอกเบี้ยด้วย เนื่องจากจะทำให้เศรษฐกิจโลกเติบโตได้น้อยลง และจะส่งผลเชิงลบกลับไปยัง เศรษฐกิจสหรัฐเองในที่สุด สี่ นโยบายการคลัง ทางไอเอ็มเอฟ ประเมินว่าทุกประเทศควรจะพิจารณาชะลอการขาดดุลทางการคลังในระยะต่อไป เนื่องจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ของโลกสูงขึ้น จะส่งผลต่อความสามารถในการชำระดอกเบี้ยโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาและตลาดเกิดใหม่ ซึ่งจะส่งผลให้ความเสี่ยงด้านเครดิตของประเทศเหล่านี้สูงขึ้น ทั้งนี้ ไอเอ็มเอฟยังมองว่าความเสี่ยงเชิงลบต่อเศรษฐกิจดูมีโอกาสจะเกิดขึ้นสูงกว่าในเชิงบวก ผมมองว่าไอเอ็มเอฟน่าจะมีการอัพเดตประมาณการเศรษฐกิจให้บ่อยขึ้น เนื่องจากในครั้งนี้ พบว่ามีการปรับประมาณการเศรษฐกิจ ด้วยขนาดที่ค่อนข้างก้าวกระโดดในหลายภูมิภาค เมื่อเทียบจากครั้งก่อน
5.ความรู้ทางการเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1231
Finance
บอก 5 เหตุผลที่นักลงทุนควรต้องมีที่ปรึกษาการลงทุนส่วนตัว
null
1. ตกขบวนข่าวสาร แม้ว่าเราจะอยู่ในยุคดิจิทัลที่สามารถติดตามข่าวสารได้อย่างรวดเร็วจากหลากหลายช่องทาง แต่เรากลับตกขบวนข่าวสารเหล่านั้นหลายครั้งหลายหน เพราะไม่มีเวลามาไถโซเชียล เปิดอินเทอร์เน็ตเพื่ออัปเดตข่าวสารการลงทุน ซึ่งบางครั้งรู้ช้าไปแค่ไม่กี่นาทีเราก็อาจพลาดโอกาสการลงทุนไปเสียแล้ว 2. ไม่มีเวลาจัดการ หากคุณเป็นพนักงานออฟฟิศที่วัน ๆ ยุ่งอยู่แต่กับงานประจำจนไม่มีเวลาวางแผนการลงทุน แค่เดินทางไปทำงานกลับบ้านก็หมดเวลาไปหนึ่งวันเต็มแล้ว หรือบางคนอาจจะเริ่มลงทุนไปแล้วแต่ไม่มีเวลามาคอยอัปเดตพอร์ตให้เข้ากับสถานการณ์ตลาด เรียกได้ว่าก็แค่ลงทุนไป พอมีเวลาเปิดพอร์ตดูอีกทีลมแทบจับ เพราะพอร์ตแดง นั่งหนาวบนดอยกันถ้วนหน้า 3. ศึกษาไม่พอ หลายครั้งเราอาจจะเกิดความรู้สึกท้อใจกับการลงทุนที่ไม่ประสบความสำเร็จเสียที เพราะไม่ว่าจะศึกษาเกี่ยวกับการลงทุนมากมายเพียงใด แต่ก็ยังรู้สึกว่าความรู้ที่มีนั้นยังไม่พอกับโลกการลงทุนที่ดูแล้วกว้างใหญ่เสียเหลือเกิน ซึ่งกว่าจะรู้ลึกรู้จริงได้ก็ต้องใช้เวลาและประสบการณ์มากพอสมควร บ้างก็ฮึบสู้ต่อด้วยการศึกษาเพิ่ม บ้างก็หนีไปพักใจพักการลงทุนไว้ชั่วคราว บ้างก็ถอนตัวออกจากโลกการลงทุนอย่างถาวร 4. เป้าหมายไม่ชัดเจน ก่อนที่เราจะเริ่มลงทุนในสินทรัพย์ใด ๆ เราต้องตอบคำถามนี้ให้ได้เสียก่อนว่าจริง ๆ แล้วเราลงทุนไปเพื่ออะไรกันแน่ เพราะหากเป้าหมายการลงทุนของคุณไม่ชัดเจนก็คงยากที่จะลงทุนให้ประสบความสำเร็จดั่งใจหวัง หรือไม่บางท่านอาจจะมีเป้าหมายการลงทุนในใจอยู่แล้ว เช่น เก็บเงินล้านแรก ซื้อบ้าน ซื้อรถ แต่ไม่ว่าจะลงทุนเท่าไรก็ยังไม่ถึงเป้าหมายนั้นเสียที เนื่องจากเป้าหมายการลงทุนของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน ที่ปรึกษาการลงทุนส่วนตัวจึงจะเข้ามาเป็นผู้ช่วยวางแผนและออกแบบพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมกับสไตล์ ความเสี่ยง และเป้าหมายของนักลงทุนแต่ละท่าน ทำให้คุณมองเห็นเป้าหมายการลงทุนได้ชัดเจนขึ้น พร้อมเดินทางไปด้วยกันจนกว่าจะส่งคุณถึงทุกเป้าหมายในโลกการลงทุน 5. ไม่รู้จะเชื่อใคร เห็นโอกาสการลงทุนมาอยู่ตรงหน้าแต่ก็ยังไม่มั่นใจ ลังเลไม่กล้าลงทุน หรือไปฟังมาจากเพื่อนบอกบ้าง คนรู้จักบอกบ้าง พ่อแม่พี่น้องญาติผู้ใหญ่ไลน์มาบอกในกลุ่มบ้าง แต่ก็ไม่รู้ว่าไปเอาแหล่งข่าวมาจากไหน เชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด เกิดคำถามมากมายขึ้นในหัวจนว้าวุ่นไปหมด แต่หันซ้ายหันขวาก็ไม่รู้ว่าจะถามใครดี
5.ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1232
Finance
การลงทุนในกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในต่างประเทศ จำเป็นต้องแลกเงินเป็นสกุลต่างประเทศก่อนหรือไม่
null
ไม่จำเป็น เหตุผล: - กองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในต่างประเทศ โดยทั่วไปจะจัดการเรื่องการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศให้กับผู้ลงทุนโดยอัตโนมัติ - ผู้ลงทุนไม่จำเป็นต้องไปแลกเงินเอง - ผู้ลงทุนสามารถซื้อขายหน่วยลงทุนของกองทุนรวมได้โดยใช้เงินบาท - กองทุนรวมจะทำการแลกเปลี่ยนเงินบาทเป็นสกุลต่างประเทศตามสัดส่วนการลงทุนในต่างประเทศของกองทุน - ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนเป็นเงินบาท ข้อดีของการลงทุนในกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในต่างประเทศ: - มีโอกาสรับผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงกว่าการลงทุนในประเทศ - ช่วยกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน - ลงทุนได้โดยไม่ต้องมีความรู้เรื่องการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ข้อควรระวัง: - อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศมีความผันผวน - ผลตอบแทนจากการลงทุนอาจได้รับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ - ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับกองทุนรวมและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ตัวอย่าง: กองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นต่างประเทศ 100% จะทำการแลกเปลี่ยนเงินบาทเป็นสกุลต่างประเทศ 100% ของมูลค่าหน่วยลงทุน ผู้ลงทุนซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนรวม 10,000 บาท กองทุนรวมจะทำการแลกเปลี่ยนเงินบาทเป็นสกุลต่างประเทศ 10,000 บาท หากมูลค่าของเงินบาทอ่อนค่าลง ผลตอบแทนจากการลงทุนของผู้ลงทุนอาจได้รับผลกระทบ สรุป: การลงทุนในกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในต่างประเทศ ไม่จำเป็นต้องแลกเงินเป็นสกุลต่างประเทศก่อน กองทุนรวมจะจัดการเรื่องการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศให้กับผู้ลงทุนโดยอัตโนมัติ ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับกองทุนรวมและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1234
Finance
ช่วยสรุปเรื่อง "ข้อจำกัดของธุรกิจสาธารณูปโภค" ให้หน่อยค่ะ
ข้อจำกัดของธุรกิจสาธารณูปโภคก็คือ มันเป็นธุรกิจที่มักจะถูกควบคุมอย่างใกล้ชิดจากรัฐโดยเฉพาะในด้านของการกำหนดราคาขายที่ไม่สามารถทำกำไร “เกินกว่าปกติ” ได้ แต่ในขณะเดียวกัน มันก็มีข้อดีที่ว่ารัฐมักจะ “การันตีผลตอบแทน” ที่จะได้รับในระดับหนึ่งที่เหมาะสมกับการลงทุนหรือต้นทุนของคนที่นำเงินมาลงทุน ตัวอย่างเช่น ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผน สามารถขายบริการได้ตามเป้าหมายบวกลบไม่เกิน 20% คนที่ลงทุนก็จะได้ผลตอบแทน 12-15% ต่อปีเป็นเวลา 25 ปี เป็นต้น และนั่นก็เป็นสิ่งที่กิจการสาธารณูปโภคในตลาดหลักทรัพย์ทำหลาย ๆ ปีมาแล้ว และก็ยังจะทำต่อไปโดยที่เงื่อนไขก็คงต้องเปลี่ยนไปบ้างโดยเฉพาะในเรื่องของผลตอบแทนหรือที่ในวงการสัมปทานเรียกว่า IRR ของโครงการอาจจะต้องลดลงเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงมากของเวียดนาม
ข้อจำกัดของธุรกิจสาธารณูปโภค คือ การถูกรัฐบาลควบคุมอย่างใกล้ชิดในเรื่องการกำหนดราคาขายที่ไม่สามารถทำกำไรเกินกว่าปกติ แต่มีข้อดีคือ รัฐบาลการันตีผลตอบแทนที่เหมาะสมกับต้นทุนของคนที่นำเงินมาลงทุน
2.ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,10.กฎหมายการเงิน,8.การวิเคราะห์ทางการเงิน
Summarization
cc-by-nc-4.0
Finance_1235
Finance
จากการสำรวจการคาดการณ์แนวโน้มผลประกอบการงวด 4Q64 ของ Consensus จำแนกกลุ่มหุ้นออกมาได้อย่างไรบ้าง
หาหุ้นงบเด่น ประกิต สิริวัฒนเกตุ 27 ม.ค. 65 หาหุ้นงบเด่น ฤดูกาลการประกาศงบกำลังเริ่มขึ้น ด้วยภาพการฟื้นตัวของหลาย ๆ บริษัทจะเป็นตัวช่วยหนุนให้ SET Index ยังคงรักษาแนวโน้มและขึ้นทดสอบ 1,750 จุดได้ภายในไตรมาส 1 ของปี 2565 โดยกลุ่มหุ้นที่มีผลประกอบการงวด 4Q64 โดดเด่นน่าจะเคลื่อนไหวได้ดีกว่าตลาด จากการสำรวจการคาดการณ์แนวโน้มผลประกอบการงวด 4Q64 ของ Consensus จำแนกออกมาได้ดังนี้ 1. กลุ่มหุ้นที่จะมีการรายงานผลประกอบการเติบโตเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 4Q63 (+YoY) และ เติบโตเมื่อเทียบกับไตรมาส 3Q64 (+QoQ) ประกอบไปด้วย กลุ่มธนาคารฯ TISCO* TTB* กลุ่มวัสดุก่อสร้าง DCC SCC* DRT* กลุ่มปิโตรเคมี IVL* PTTGC* กลุ่มพลังงาน UBE* BAFS BANPU* BCP* ESSO* IRPC* PTT* SPRC* กลุ่มค้าปลีก COM7* HMPRO* HUMAN* MAKRO* SINGER* กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ DELTA HANA* KCE* กลุ่มการเงิน BAM* JMT* TIDLOR* KTC* MTC* SAWAD* ASK* AUCT* กลุ่มอาหาร MINT* OSP RBF SAPPE* ZEN* TU* กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม AMATA* WHA* กลุ่มอสังหาฯ AP* ORI* AWC กลุ่มขนส่ง AAV AOT BEM BTS DMT กลุ่มสื่อสาร JMART* SYNEX* กลุ่มโรงแรม ERW* CENTEL* SHR* กลุ่มยานยนต์ SAT* กลุ่มบรรจุภัณฑ์ SMPC* BGC* กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค SABINA TOG* กลุ่มกระดาษ UTP กลุ่มประกัน BLA* THRE THREL TQM* กลุ่มโรงไฟฟ้า BGRIM* GPSC* GULF* กลุ่ม MAI IIG* NETBAY* SFT* TNP* SPA TACC* XO* LEO* IP* FSMART WINNER 2. กลุ่มหุ้นที่จะมีการรายงานผลประกอบการเติบโตเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 4Q63 (+YoY) แต่หดตัวเมื่อเทียบกับไตรมาส 3Q64 (-QoQ) ประกอบไปด้วย กลุ่มธนาคาร BBL* KKP* KTB* SCB* TCAP* กลุ่มพลังงาน PTTEP กลุ่มค้าปลีก DOHOME* GLOBAL* กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ SVI กลุ่มอาหาร SUN กลุ่มโรงพยาบาล BDMS BCH* BH CHG* EKH* LPH* RJH* IMH* กลุ่มบันเทิง BEC* PLANB* RS* VGI* กลุ่มขนส่ง KEX AMA PSL* TTA* WICE* กลุ่มสื่อสาร INTUCH กลุ่มการเงิน CHAYO* ECL* กลุ่มบรรจุภัณฑ์ SFLEX* กลุ่มเหล็ก MCS* TMT* กลุ่มวัสดุก่อสร้าง SKN* TPIPL*VNG* กลุ่มสินค้าวัสดุ SNC* กลุ่มสาธารณูปโภค TTW* กลุ่ม MAI HL* VCOM 3. กลุ่มหุ้นที่จะมีการรายงานผลประกอบการ หดตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 4Q63 (-YoY) แต่เติบโตเมื่อเทียบกับไตรมาส 3Q64 (+QoQ) ประกอบไปด้วย กลุ่มรับเหมาฯ STEC กลุ่มอสังหา LALIN ANAN* LH LPN PSH QH SF SPALI* กลุ่มสื่อสาร ADVANC DTAC THCOM กลุ่มปิโตรเคมี GGC* กลุ่มค้าปลีก CPALL BJC CPN* MC CRC กลุ่มพลังงาน PTG TOP* กลุ่มอาหาร CBG CPF* GFPT M* TKN กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค TSR KISS กลุ่มเกษตร STA* กลุ่มบรรจุภัณฑ์ AJ กลุ่มบันเทิง MONO* กลุ่มขนส่ง NYT* กลุ่มอาหาร TFG NRF กลุ่มการเงิน THANI กลุ่ม MAI SMD 4. กลุ่มหุ้นที่จะมีการรายงานผลประกอบการ หดตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 4Q63 (-YoY) และหดตัวเมื่อเทียบกับไตรมาส 3Q64 (-QoQ) ประกอบไปด้วย กลุ่มการเงิน AEONTS กลุ่มธนาคาร KBANK* กลุ่มค้าปลีก OR* KAMART* กลุ่มบันเทิง MAJOR* กลุ่มสื่อสาร TRUE AMR SIS*กลุ่มบริการ SISB กลุ่มยานยนต์ AH* กลุ่มอสังหา ALL กลุ่มพลังงาน AI SGP* กลุ่มวัสดุก่อสร้าง COTTO* EPG* เกษตร NER* กลุ่มโรงพยาบาล VIBHA* กลุ่มบรรจุภัณฑ์SCGP * คือบริษัทที่จะมีการรายงานผลประกอบการปี 2564 เติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2563 (+YoY) ประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์
จากการสำรวจการคาดการณ์แนวโน้มผลประกอบการงวด 4Q64 ของ Consensus จำแนกออกมาได้ดังนี้ 1. กลุ่มหุ้นที่จะมีการรายงานผลประกอบการเติบโตเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 4Q63 (+YoY) และ เติบโตเมื่อเทียบกับไตรมาส 3Q64 (+QoQ) ประกอบไปด้วย กลุ่มธนาคารฯ TISCO* TTB* กลุ่มวัสดุก่อสร้าง DCC SCC* DRT* กลุ่มปิโตรเคมี IVL* PTTGC* กลุ่มพลังงาน UBE* BAFS BANPU* BCP* ESSO* IRPC* PTT* SPRC* กลุ่มค้าปลีก COM7* HMPRO* HUMAN* MAKRO* SINGER* กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ DELTA HANA* KCE* กลุ่มการเงิน BAM* JMT* TIDLOR* KTC* MTC* SAWAD* ASK* AUCT* กลุ่มอาหาร MINT* OSP RBF SAPPE* ZEN* TU* กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม AMATA* WHA* กลุ่มอสังหาฯ AP* ORI* AWC กลุ่มขนส่ง AAV AOT BEM BTS DMT กลุ่มสื่อสาร JMART* SYNEX* กลุ่มโรงแรม ERW* CENTEL* SHR* กลุ่มยานยนต์ SAT* กลุ่มบรรจุภัณฑ์ SMPC* BGC* กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค SABINA TOG* กลุ่มกระดาษ UTP กลุ่มประกัน BLA* THRE THREL TQM* กลุ่มโรงไฟฟ้า BGRIM* GPSC* GULF* กลุ่ม MAI IIG* NETBAY* SFT* TNP* SPA TACC* XO* LEO* IP* FSMART WINNER 2. กลุ่มหุ้นที่จะมีการรายงานผลประกอบการเติบโตเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 4Q63 (+YoY) แต่หดตัวเมื่อเทียบกับไตรมาส 3Q64 (-QoQ) ประกอบไปด้วย กลุ่มธนาคาร BBL* KKP* KTB* SCB* TCAP* กลุ่มพลังงาน PTTEP กลุ่มค้าปลีก DOHOME* GLOBAL* กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ SVI กลุ่มอาหาร SUN กลุ่มโรงพยาบาล BDMS BCH* BH CHG* EKH* LPH* RJH* IMH* กลุ่มบันเทิง BEC* PLANB* RS* VGI* กลุ่มขนส่ง KEX AMA PSL* TTA* WICE* กลุ่มสื่อสาร INTUCH กลุ่มการเงิน CHAYO* ECL* กลุ่มบรรจุภัณฑ์ SFLEX* กลุ่มเหล็ก MCS* TMT* กลุ่มวัสดุก่อสร้าง SKN* TPIPL*VNG* กลุ่มสินค้าวัสดุ SNC* กลุ่มสาธารณูปโภค TTW* กลุ่ม MAI HL* VCOM 3. กลุ่มหุ้นที่จะมีการรายงานผลประกอบการ หดตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 4Q63 (-YoY) แต่เติบโตเมื่อเทียบกับไตรมาส 3Q64 (+QoQ) ประกอบไปด้วย กลุ่มรับเหมาฯ STEC กลุ่มอสังหา LALIN ANAN* LH LPN PSH QH SF SPALI* กลุ่มสื่อสาร ADVANC DTAC THCOM กลุ่มปิโตรเคมี GGC* กลุ่มค้าปลีก CPALL BJC CPN* MC CRC กลุ่มพลังงาน PTG TOP* กลุ่มอาหาร CBG CPF* GFPT M* TKN กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค TSR KISS กลุ่มเกษตร STA* กลุ่มบรรจุภัณฑ์ AJ กลุ่มบันเทิง MONO* กลุ่มขนส่ง NYT* กลุ่มอาหาร TFG NRF กลุ่มการเงิน THANI กลุ่ม MAI SMD 4. กลุ่มหุ้นที่จะมีการรายงานผลประกอบการ หดตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 4Q63 (-YoY) และหดตัวเมื่อเทียบกับไตรมาส 3Q64 (-QoQ) ประกอบไปด้วย กลุ่มการเงิน AEONTS กลุ่มธนาคาร KBANK* กลุ่มค้าปลีก OR* KAMART* กลุ่มบันเทิง MAJOR* กลุ่มสื่อสาร TRUE AMR SIS*กลุ่มบริการ SISB กลุ่มยานยนต์ AH* กลุ่มอสังหา ALL กลุ่มพลังงาน AI SGP* กลุ่มวัสดุก่อสร้าง COTTO* EPG* เกษตร NER* กลุ่มโรงพยาบาล VIBHA* กลุ่มบรรจุภัณฑ์SCGP * คือบริษัทที่จะมีการรายงานผลประกอบการปี 2564 เติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2563 (+YoY)
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Closed QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1236
Finance
Passive Income คือการให้เงินได้ทำงานสร้างเป็นกระแสเงินสดกลับมาให้นักลงทุน ซึ่งส่วนมากนักลงทุนก็จะนึกถึงหุ้นปันผลหรือกองทุนปันผล ใช่หรือไม่
null
ใช่ Passive Income คือการให้เงินได้ทำงานสร้างเป็นกระแสเงินสดกลับมาให้นักลงทุน ซึ่งส่วนมากนักลงทุนก็จะนึกถึงหุ้นปันผลหรือกองทุนปันผลนั่นเอง ข้อดีของการลงทุนแบบได้ปันผล - กองทุนปันผลเหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการ Cash flow ไว้ใช้ในชีวิตประจำวัน - ถ้าหากตลาดเป็นขาลง การได้รับปันผลมาเก็บไว้ก่อน ก็จะช่วยให้มูลค่าเงินรวมของเราขาดทุนน้อยลง ข้อเสียของการลงทุนแบบได้ปันผล - ต้องเสียภาษีเงินปันผล 10% - เสียโอกาสจากการได้ทบต้น หากตลาดเป็นขาขึ้น โดยจะเห็นว่า NAV ของกองทุนปันผลอาจจะไม่ค่อยไปไหน หากเทียบกับกองสะสมมูลค่า เพราะกองทุนปันผล ได้มีการจ่ายเงินออกมาตลอดทางนั่นเอง อย่างไรก็ตาม ถ้าหากวัตถุประสงค์ของเราคือต้องการ Cash flow อย่างต่อเนื่องแล้ว เราก็ต้องพิจารณาเลือกกองทุนปันผลที่มี Dividend Yield สูง มีการจ่ายปันผลสม่ำเสมอ ทั้งนี้การลงทุนแบบปันผล หากลงทุนด้วยเงินจำนวนน้อย ก็จะเห็นว่าเราได้รับปันผลที่น้อยเช่นกัน แต่สำหรับใครที่ต้องการได้ Passive Income เเบบเป็นเงินก้อนมาใช้จ่ายจริงจังในชีวิตประจำวัน ก็ต้องใช้เงินต้นที่ค่อนข้างมากหน่อย สำหรับใครที่วางแผนว่าช่วงเกษียณอยากมี Passive Income ก็สามารถทำได้ โดยในช่วงที่อายุน้อย ก็ลงทุนในกองทุนสะสมมูลค่า เพื่อให้เงินลงทุนเราได้มีโอกาสทบต้น สร้างเงินก้อนใหญ่ เพื่อนำไปใช้ลงทุนในตอนเกษียณเพื่อรับปันผลอีกทีก็ได้
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-nc-4.0
Finance_1237
Finance
จงสรุปบทความเรื่อง หมูแพง..แล้วทองจะแพงด้วยไหม ให้หน่อยค่ะ
หมูแพง..แล้วทองจะแพงด้วยไหม ​ ถ้าเราย้อนกลับไปเมื่อช่วงต้นปีที่แล้ว และบอกว่าราคาสันคอหมูจะมีราคากิโลกรัมละไม่ต่ำกว่า 200 บาท ทุกคนคงไม่เชื่อแน่ ๆ แต่มันเกิดขึ้นแล้วครับในปัจจุบัน คำถามก็คือมันเกิดอะไรขึ้นกับราคาหมูและมันเกี่ยวอะไรกับทองคำ วันนี้อินเตอร์โกลด์จะมาเล่าให้ฟัง… ถ้าเราย้อนกลับไปเมื่อช่วงต้นปี ที่แล้ว และบอกว่าราคาสันคอหมูจะมี ราคากิโลกรัมละไม่ต่ำกว่า 200 บาท ทุกคนคงไม่เชื่อแน่ ๆ แต่มันเกิดขึ้นแล้วครับในปัจจุ บัน คำถามก็คือมันเกิดอะไรขึ้นกั บราคาหมูและมันเกี่ยวอะไรกั บทองคำ วันนี้อินเตอร์โกลด์จะมาเล่าให้ ฟัง… ถ้าหลาย ๆ คนได้ตามข่าวเรื่องราคาหมูบ้านเรามาบ้างก็จะรับรู้ว่าเหตุผลหลักก็คือเรื่องของโรคระบาดที่เกิดขึ้นในหมู ทำให้ปริมาณเนื้อหมูเกิดภาวะขาดตลาด ซึ่งจริง ๆ แล้วนั่นเป็นเพียงสาเหตุหนึ่งครับ แต่ถ้าเราสังเกตราคาสินค้าอื่น ๆ ด้วยเราก็จะพบว่า ราคามันก็ขึ้นเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นราคารถไฟฟ้า ราคาทางด่วน ราคาผัก ราคาไข่ ฯลฯ เราอาจจะพูดได้เลยว่า 1 ปีที่ผ่านมาสินค้าแทบทุกชนิดมีราคาสูงขึ้นมาก สถานการณ์แบบนี้กำลังเกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจกฎเหล็กสำคัญที่ทำให้ราคาสินค้าเคลื่อนไหวก่อนครับ สิ่งนั้นก็คือ Demand (ความต้องการ) และ Supply (ปริมาณ) อะไรที่มีความต้องการมากย่อมต้องมีราคาที่สูง เช่นกันกับ อะไรที่มีปริมาณน้อย ๆ ก็ต้องมีราคาสูงเช่นเดียวกัน กฎเหล็กนี้ใช้ได้กับทุกสินค้ารวมไปถึง เงิน (Money) ด้วยเช่นกัน ถ้าปริมาณเงินมีจำนวนมากขึ้นในระบบย่อมทำให้เงินด้อยค่าลง แล้วทุกคนรู้มั้ยครับว่าปริมาณเงินที่เพิ่มขึ้นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาระหว่างเกิดเหตุการณ์การแพร่ระบาดของ Covid-19 มีปริมาณมากขนาดไหน.. ดูได้ที่รูปด้านล่าง รูปแสดงปริมาณเงินในระบบในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ปริมาณเงินที่เพิ่มขึ้น 2 ปีล่าสุด ( 2020-2021 ) หลังจากเกิด Covid-19 เพิ่มขึ้นกว่า 4 เท่าจากปริมาณเงินทั้งหมดที่โลกสะสมมาก่อนเกิดวิกฤต Covid-19 ไม่ต้องแปลกใจเลยครับที่ราคาของทุกอย่างจะขึ้น ความจริงแล้วนั้นเราต้องบอกว่าเงินที่อยู่ในรูป Fiat (เงินที่เราใช้จ่ายในชีวิตประจำวันไม่ว่าจะเป็น บาท ดอลลาร์ ยูโร) นั้นด้อยค่าลงมากกว่า และข่าวร้ายก็คือนี่มันเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น ดังนั้นอย่าคิดว่าการถือเงินสดในมือนั้นจะปลอดภัยในเมื่อมันกำลังด้อยค่าลงด้วยความเร็วสูงไม่ว่าจะเป็นสกุลเงินใดก็ตาม และเมื่อถึงจุดที่ทุกคนเริ่มตระหนักได้ สิ่งแรกๆที่พวกเขานึกถึงและจะเอาเงินหนีเข้ามาย่อมต้องไม่พ้นทองคำซึ่งถือได้ว่าเป็นสินทรัพย์ที่พิสูจน์ตัวเองผ่านกาลเวลามากว่า 1000 ปีที่จะทำให้คุณป้องกันความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อที่กำลังขึ้นอย่างรวดเร็วได้อย่างแน่นอน น่าคิดนะครับว่า เมื่อมูลค่าของเงินเริ่มด้อยค่าลงเมื่อไหร่ ทองคำก็จะสามาถดันตัวเองเป็นขาขึ้นได้อีกครั้ง….หรือไม่ ถ้าหลาย ๆ คนได้ตามข่าวเรื่องราคาหมูบ้านเรามาบ้างก็จะรับรู้ว่าเหตุผลหลักก็คือเรื่องของโรคระบาดที่เกิดขึ้นในหมู ทำให้ปริมาณเนื้อหมูเกิดภาวะขาดตลาด ซึ่งจริง ๆ แล้วนั่นเป็นเพียงสาเหตุหนึ่งครับ แต่ถ้าเราสังเกตราคาสินค้าอื่น ๆ ด้วยเราก็จะพบว่า ราคามันก็ขึ้นเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นราคารถไฟฟ้า ราคาทางด่วน ราคาผัก ราคาไข่ ฯลฯ เราอาจจะพูดได้เลยว่า 1 ปีที่ผ่านมาสินค้าแทบทุกชนิดมีราคาสูงขึ้นมาก สถานการณ์แบบนี้กำลังเกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจกฎเหล็กสำคัญที่ทำให้ราคาสินค้าเคลื่อนไหวก่อนครับ สิ่งนั้นก็คือ Demand (ความต้องการ) และ Supply (ปริมาณ) อะไรที่มีความต้องการมากย่อมต้องมีราคาที่สูง เช่นกันกับ อะไรที่มีปริมาณน้อย ๆ ก็ต้องมีราคาสูงเช่นเดียวกัน กฎเหล็กนี้ใช้ได้กับทุกสินค้ารวมไปถึง เงิน (Money) ด้วยเช่นกัน ถ้าปริมาณเงินมีจำนวนมากขึ้นในระบบย่อมทำให้เงินด้อยค่าลง แล้วทุกคนรู้มั้ยครับว่าปริมาณเงินที่เพิ่มขึ้นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาระหว่างเกิดเหตุการณ์การแพร่ระบาดของ Covid-19 มีปริมาณมากขนาดไหน.. ดูได้ที่รูปด้านล่าง รูปแสดงปริมาณเงินในระบบในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ปริมาณเงินที่เพิ่มขึ้น 2 ปีล่าสุด ( 2020-2021 ) หลังจากเกิด Covid-19 เพิ่มขึ้นกว่า 4 เท่าจากปริมาณเงินทั้งหมดที่โลกสะสมมาก่อนเกิดวิกฤต Covid-19 ไม่ต้องแปลกใจเลยครับที่ราคาของทุกอย่างจะขึ้น ความจริงแล้วนั้นเราต้องบอกว่าเงินที่อยู่ในรูป Fiat (เงินที่เราใช้จ่ายในชีวิตประจำวันไม่ว่าจะเป็น บาท ดอลลาร์ ยูโร) นั้นด้อยค่าลงมากกว่า และข่าวร้ายก็คือนี่มันเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น ดังนั้นอย่าคิดว่าการถือเงินสดในมือนั้นจะปลอดภัยในเมื่อมันกำลังด้อยค่าลงด้วยความเร็วสูงไม่ว่าจะเป็นสกุลเงินใดก็ตาม และเมื่อถึงจุดที่ทุกคนเริ่มตระหนักได้ สิ่งแรกๆที่พวกเขานึกถึงและจะเอาเงินหนีเข้ามาย่อมต้องไม่พ้นทองคำซึ่งถือได้ว่าเป็นสินทรัพย์ที่พิสูจน์ตัวเองผ่านกาลเวลามากว่า 1000 ปีที่จะทำให้คุณป้องกันความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อที่กำลังขึ้นอย่างรวดเร็วได้อย่างแน่นอน น่าคิดนะครับว่า เมื่อมูลค่าของเงินเริ่มด้อยค่าลงเมื่อไหร่ ทองคำก็จะสามาถดันตัวเองเป็นขาขึ้นได้อีกครั้ง….หรือไม่ Intergold ที่มาบทความ:
เมื่อช่วงต้นปี 2564 มีการบอกว่าราคาสันคอหมูจะมีราคากิโลกรัมละไม่ต่ำกว่า 200 บาท ทุกคนคงไม่เชื่อ แต่มันเกิดขึ้นแล้ว คำถามก็คือ เกิดอะไรขึ้นกับราคาหมูและเกี่ยวอะไรกับทองคำ ถ้าหลาย ๆ คนได้ตามข่าวเรื่องราคาหมูมาบ้าง ก็จะรับรู้ว่าเหตุผลหลักก็คือ เรื่องของโรคระบาดที่เกิดขึ้นในหมู ทำให้ปริมาณเนื้อหมูเกิดภาวะขาดตลาด ซึ่งจริง ๆ แล้วเป็นเพียงสาเหตุหนึ่ง แต่ถ้าสังเกตราคาสินค้าอื่น ๆ ด้วยจะพบว่า ราคาก็ขึ้นเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นราคารถไฟฟ้า ราคาทางด่วน ราคาผัก ราคาไข่ ฯลฯ อาจจะพูดได้เลยว่า 1 ปีที่ผ่านมาสินค้าแทบทุกชนิดมีราคาสูงขึ้นมาก สถานการณ์แบบนี้กำลังเกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ ก่อนอื่นต้องเข้าใจกฎเหล็กสำคัญที่ทำให้ราคาสินค้าเคลื่อนไหวก่อน สิ่งนั้นก็คือ Demand (ความต้องการ) และ Supply (ปริมาณ) อะไรที่มีความต้องการมากย่อมต้องมีราคาที่สูง เช่นกันกับอะไรที่มีปริมาณน้อย ๆ ก็ต้องมีราคาสูงเช่นเดียวกัน กฎเหล็กนี้ใช้ได้กับทุกสินค้ารวมไปถึง เงิน (Money) ด้วยเช่นกัน ถ้าปริมาณเงินมีจำนวนมากขึ้นในระบบย่อมทำให้เงินด้อยค่าลง แล้ปริมาณเงินที่เพิ่มขึ้นในช่วงระหว่างเกิดเหตุการณ์การแพร่ระบาดของ Covid-19 มีปริมาณมากขนาดไหน ปริมาณเงินที่เพิ่มขึ้นระหว่างปี 2020-2021หลังจากเกิด Covid-19 เพิ่มขึ้นกว่า 4 เท่าจากปริมาณเงินทั้งหมดที่โลกสะสมมาก่อนเกิดวิกฤต Covid-19 ไม่ต้องแปลกใจว่าราคาของทุกอย่างจะขึ้น ความจริงแล้วเงินที่อยู่ในรูป Fiat (เงินที่ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน) นั้นด้อยค่าลงมากกว่า และข่าวร้ายคือ มันเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น ดังนั้น อย่าคิดว่าการถือเงินสดในมือนั้นจะปลอดภัย ในเมื่อมันกำลังด้อยค่าลงด้วยความเร็วสูงไม่ว่าจะเป็นสกุลเงินใดก็ตาม และเมื่อถึงจุดที่ทุกคนเริ่มตระหนักได้ สิ่งแรกๆ ที่พวกเขานึกถึงและจะเอาเงินหนีเข้ามาย่อมต้องไม่พ้นทองคำ ซึ่งถือได้ว่าเป็นสินทรัพย์ที่พิสูจน์ตัวเองผ่านกาลเวลามากว่า 1000 ปีที่จะทำให้คุณป้องกันความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อที่กำลังขึ้นอย่างรวดเร็วได้อย่างแน่นอน น่าคิดว่าเมื่อมูลค่าของเงินเริ่มด้อยค่าลงเมื่อไหร่ ทองคำก็จะสามาถดันตัวเองเป็นขาขึ้นได้อีกครั้งหรือไม่
5.ความรู้ทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1238
Finance
กองทุน ONE-MEDTECH หรือ ONE Medical Technology Fund จาก บลจ.วรรณ (ONEAM) มีนโยบายลงทุนในกองทุนใดเป็นกองทุนหลัก (Master Fund)
null
กองทุน ONE-MEDTECH หรือ ONE Medical Technology Fund จาก บลจ.วรรณ (ONEAM) มีนโยบายลงทุนใน iShares U.S. Medical Devices ETF เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ โดยกองทุน ONE-MEDTECH จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 7 กองทุนหลักมีนโยบายการลงทุน เพื่อสร้างผลตอบแทนก่อนหักค่าใช้จ่ายให้ใกล้เพียงกับดัชนี Dow Jones U.S. Select Medical Equipment Index ซึ่งเป็นตัววัดผลการดําเนินงานของกลุ่มอุตสาหกรรมภาคอุปกรณ์ทางการแพทย์ (Medical Equipment Sector) ในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาที่ประกอบไปด้วยหุ้นของบริษัทเครื่องมือทาง การแพทย์ ซึ่งรวมผู้ผลิตและผู้จําหน่ายเครื่องมือทางการแพทย์ เช่น เครื่องถ่ายภาพด้วยสนามแม่เหล็ก (MRI) สแกนเนอร์ ขาเทียม เครื่องกระตุ้นหัวใจ เครื่อง X-ray รวมถึงอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ไม่ใช่อุปกรณ์ใช้แล้วทิ้งอื่น ๆ กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: มุ่งหวังให้ผลประกอบการเคลื่อนไหวตามดัชนีชี้วัด (Passive Management / Index Tracking) จุดเด่นของกองทุน ONE-MEDTECH - ใช้กระบวนการคัดเลือกของบริษัท S&P Global ตามธุรกิจที่แท้จริงของบริษัท ไม่อ้างอิงกลุ่มอุตสาหกรรมทั่วไปตาม GICS - เน้นลงทุนในธุรกิจผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น MRI-scanners, Prosthetics, Pacemakers, เครื่อง X-ray ฯลฯ โดยหลีกเลี่ยงอุปกรณ์จำพวกใช้แล้วทิ้ง - เปิดโอกาสรับผลตอบแทนจากการเติบโตของเทคโนโลยีการแพทย์ จากหลากหลาย Megatrend เช่น สังคมผู้สูงอายุ สังคมดิจิทัล ฯลฯ
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_124
Finance
จงสรุปบทความเรื่อง "เงินเฟ้อ (Inflation) คืออะไร? เข้าใจสาเหตุพร้อมผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการลงทุน" ให้หน่อยค่ะ
เงินเฟ้อคืออะไร? ทำไมถึงมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และการลงทุน ​ 10 ตุลาคม 2566 2 นาที 10 ตุลาคม 2566 2 นาที เงินเฟ้อคืออะไร? ทำไมถึงมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และการลงทุน “ • เงินเฟ้อคือการดูว่าราคาสินค้าและบริการโดยเฉลี่ย ปรับเพิ่มขึ้น แพงกว่าเดิม มากน้อยแค่ไหน เมื่อเทียบกับปีก่อน • เงินเฟ้อทำให้กำไรของธุรกิจลดลง เพราะราคาต้นทุนวัตถุดิบเพิ่มสูงขึ้น และถ้าเป็นธุรกิจที่ขึ้นราคาสินค้าได้ยาก ก็จะยิ่งกระทบกำไรบริษัท ทำให้ช่วงเกิดเงินเฟ้อสูง นักลงทุนไม่ค่อยชอบ ตลาดหุ้นจึงปรับตัวขึ้นได้ยาก • สำหรับหลายคนที่ไม่มีเวลามานั่งติดตามตลาดการลงทุน อยากมีมืออาชีพมาคอยดูแลพอร์ตการลงทุนให้เติบโต แนะนำ กองทุนผสม “ เงินเฟ้อ หรือ Inflation เป็นคำศัพท์ที่เมื่อฟังข่าวเศรษฐกิจ ข่าวการลงทุน หรือฟังนักวิเคราะห์การลงทุนเล่า ก็เป็นคำยอดฮิตที่มักถูกพูดถึง เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง วันนี้ KWEALTH มาอธิบายให้หมดเปลือกเกี่ยวกับคำว่า “เงินเฟ้อ” แล้วสถานการณ์เงินเฟ้อ ณ ขณะนี้ ควรที่จะลงทุนอย่างไร เงินเฟ้อคืออะไร ถ้าพูดภาษาชาวบ้าน เงินเฟ้อคือการดูว่าราคาสินค้าและบริการโดยเฉลี่ย ปรับเพิ่มขึ้น แพงกว่าเดิม มากน้อยแค่ไหน เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยกลุ่มสินค้าและบริการที่ถูกนำมาคำนวณเงินเฟ้อของไทย ก็จะเป็นสินค้าและบริการที่เราใช้จ่ายอยู่เป็นประจำ เช่น กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม (ไม่รวมแอลกอฮอล์) น้ำหนักในการคำนวณเงินเฟ้ออยู่ที่ 42% ค่าเดินทาง 23% ค่าที่อยู่อาศัย 22% ความบันเทิง และการศึกษา 4% อื่นๆ อีก 9% แล้วจึงคำนวณออกมาเป็นตัวเลขเงินเฟ้อ สาเหตุของเงินเฟ้อ ปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ หรือแปลง่ายๆว่าสินค้าและบริการแพงขึ้นนั้น สาเหตุที่ทำให้สินค้าแพงขึ้นแบ่งออกเป็น 2 ปัจจัย ได้แก่ 1.ต้นทุนการผลิตสินค้าเพิ่มสูงขึ้น (Cost Push Inflation) คือภาวะที่เงินเฟ้อเกิดจากฝั่งผู้ผลิต ราคาวัตถุดิบ หรือต้นทุนการผลิตของผู้ผลิตสินค้าแพงขึ้น เช่น น้ำมันแพงทำให้ต้นทุนการผลิต การขนส่งสูงขึ้น ผู้ผลิตจึงเพิ่มราคาขายสินค้า ทำให้ราคาขายสินค้าแพงขึ้น เงินเฟ้อก็เพิ่มสูงขึ้นตาม 2.ความต้องการสินค้าสูงขึ้น (Demand Pull Inflation) คือภาวะที่เงินเฟ้อเกิดจากฝั่งผู้บริโภค ความต้องการซื้อสูง หรือต้องการซื้อจนทำให้สินค้าไม่เพียงพอต่อความต้องการ ราคาสินค้าจึงสูงขึ้น ตัวอย่างเช่น ช่วงเกิด Covid-19 หน้ากากอนามัยขาดแคลน ผลิตไม่ทัน เพราะความต้องการซื้อสูง ราคาหน้ากากอนามัยช่วงนั้นก็ปรับตัวขึ้นสูงตาม เป็นต้น ผลกระทบเงินเฟ้อ 1.มุมผู้บริโภค เงินเฟ้อทำให้เราต้องจ่ายเงินซื้อสินค้าและบริการ ในราคาที่แพงขึ้น เช่น ก๋วยเตี๋ยว 15 ปีที่แล้วชามละ 20 บาท วันนี้ก๋วยเตี๋ยวชามละ 50 บาท 2.มุมผู้ผลิต จะได้รับผลกระทบจากกำไรที่ลดลง เพราะราคาต้นทุนวัตถุดิบเพิ่มสูงขึ้น และถ้าเป็นธุรกิจที่ขึ้นราคาสินค้าได้ยาก ก็จะยิ่งกระทบกำไรบริษัท ทำให้ช่วงเกิดเงินเฟ้อสูง นักลงทุนไม่ค่อยชอบ ตลาดหุ้นจึงปรับตัวขึ้นได้ยาก เงินเฟ้อไม่ได้แย่เสมอไป หากใครติดตามข่าวเศรษฐกิจในช่วงนี้น่าจะเคยได้ยินคำว่า “กรอบเงินเฟ้อเป้าหมาย” ซึ่งเป็นเป้าที่หลายประเทศ ตั้งใจจะลดเงินเฟ้อที่อยู่ระดับสูงก่อนหน้านี้ลงมาอยู่ระดับอ่อนๆ เช่น สหรัฐฯ ตั้งเป้าหมายเงินเฟ้อให้ลงมาอยู่ที่ 2% ไทยตั้งกรอบเงินเฟ้อเป้าหมายที่ 1-3% เพราะการเกิดเงินเฟ้อแบบอ่อนๆ เป็นผลบวกต่อเศรษฐกิจ ความต้องการสินค้าเพิ่มขึ้น สินค้าราคาสูงขึ้นตามความต้องการ ผู้ผลิตได้กำไรมากขึ้น เกิดการขยายธุรกิจ ลงทุนซื้อเครื่องจักร ลงทุนสร้างโรงงาน ซื้อวัตถุดิบมาผลิต จ้างแรงงานเพิ่มขึ้น คนมีเงินมาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ทำให้เศรษฐกิจประเทศเติบโตมากขึ้น ไม่อยากปวดหัว ให้มืออาชีพช่วยดูแล สำหรับหลายคนที่ไม่มีเวลามานั่งติดตามตลาดการลงทุน อยากมีมืออาชีพมาคอยดูแลพอร์ตการลงทุนให้เติบโต แนะนำลงทุนที่กระจายการลงทุนหลากหลายสินทรัพย์ มีจังหวะปรับเพิ่มหรือลดตามสถานการณ์ที่เหมาะสม ไม่ว่าตลาดจะเป็นอย่างไร หรือเงินเฟ้อจะสูง ต่ำ หรือมีความน่ากังวลแค่ไหน โดยให้ลงทุนผ่านกองทุนผสม ตัวอย่างกองทุนผสมหลากหลายสินทรัพย์ที่น่าสนใจ และมีการจัดการที่ดี คือ กองทุน Wealth Plus ที่นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนแบบ DCA ลงทุนแบบสม่ำเสมอเท่ากันทุกเดือน หรือจะเลือกลงทุนตามโอกาสที่ต้องการสะสมเงินลงทุนเป็นรายครั้งได้ นอกจากนี้ในระหว่างการลงทุนจะมีผู้เชี่ยวชาญมาคอยปรับสัดส่วนการลงทุนให้เข้ากับสภาวะช่วงนั้น โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ว่าจะมีเป้าหมายการลงทุนอย่างไร Wealth Plus ก็ช่วยวางแผน ช่วยเลือกกองทุนที่เหมาะสมกับเราได้ ง่าย ครบ จบในตัวเดียว เงินเฟ้อ หรือ Inflation เป็นคำศัพท์ที่เมื่อฟังข่าวเศรษฐกิจ ข่าวการลงทุน หรือฟังนักวิเคราะห์การลงทุนเล่า ก็เป็นคำยอดฮิตที่มักถูกพูดถึง เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง วันนี้ KWEALTH มาอธิบายให้หมดเปลือกเกี่ยวกับคำว่า “เงินเฟ้อ” แล้วสถานการณ์เงินเฟ้อ ณ ขณะนี้ ควรที่จะลงทุนอย่างไร เงินเฟ้อคืออะไร ถ้าพูดภาษาชาวบ้าน เงินเฟ้อคือการดูว่าราคาสินค้าและบริการโดยเฉลี่ย ปรับเพิ่มขึ้น แพงกว่าเดิม มากน้อยแค่ไหน เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยกลุ่มสินค้าและบริการที่ถูกนำมาคำนวณเงินเฟ้อของไทย ก็จะเป็นสินค้าและบริการที่เราใช้จ่ายอยู่เป็นประจำ เช่น กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม (ไม่รวมแอลกอฮอล์) น้ำหนักในการคำนวณเงินเฟ้ออยู่ที่ 42% ค่าเดินทาง 23% ค่าที่อยู่อาศัย 22% ความบันเทิง และการศึกษา 4% อื่นๆ อีก 9% แล้วจึงคำนวณออกมาเป็นตัวเลขเงินเฟ้อ สาเหตุของเงินเฟ้อ ปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ หรือแปลง่ายๆว่าสินค้าและบริการแพงขึ้นนั้น สาเหตุที่ทำให้สินค้าแพงขึ้นแบ่งออกเป็น 2 ปัจจัย ได้แก่ 1.ต้นทุนการผลิตสินค้าเพิ่มสูงขึ้น (Cost Push Inflation) คือภาวะที่เงินเฟ้อเกิดจากฝั่งผู้ผลิต ราคาวัตถุดิบ หรือต้นทุนการผลิตของผู้ผลิตสินค้าแพงขึ้น เช่น น้ำมันแพงทำให้ต้นทุนการผลิต การขนส่งสูงขึ้น ผู้ผลิตจึงเพิ่มราคาขายสินค้า ทำให้ราคาขายสินค้าแพงขึ้น เงินเฟ้อก็เพิ่มสูงขึ้นตาม 2.ความต้องการสินค้าสูงขึ้น (Demand Pull Inflation) คือภาวะที่เงินเฟ้อเกิดจากฝั่งผู้บริโภค ความต้องการซื้อสูง หรือต้องการซื้อจนทำให้สินค้าไม่เพียงพอต่อความต้องการ ราคาสินค้าจึงสูงขึ้น ตัวอย่างเช่น ช่วงเกิด Covid-19 หน้ากากอนามัยขาดแคลน ผลิตไม่ทัน เพราะความต้องการซื้อสูง ราคาหน้ากากอนามัยช่วงนั้นก็ปรับตัวขึ้นสูงตาม เป็นต้น ผลกระทบเงินเฟ้อ 1.มุมผู้บริโภค เงินเฟ้อทำให้เราต้องจ่ายเงินซื้อสินค้าและบริการ ในราคาที่แพงขึ้น เช่น ก๋วยเตี๋ยว 15 ปีที่แล้วชามละ 20 บาท วันนี้ก๋วยเตี๋ยวชามละ 50 บาท 2.มุมผู้ผลิต จะได้รับผลกระทบจากกำไรที่ลดลง เพราะราคาต้นทุนวัตถุดิบเพิ่มสูงขึ้น และถ้าเป็นธุรกิจที่ขึ้นราคาสินค้าได้ยาก ก็จะยิ่งกระทบกำไรบริษัท ทำให้ช่วงเกิดเงินเฟ้อสูง นักลงทุนไม่ค่อยชอบ ตลาดหุ้นจึงปรับตัวขึ้นได้ยาก เงินเฟ้อไม่ได้แย่เสมอไป หากใครติดตามข่าวเศรษฐกิจในช่วงนี้น่าจะเคยได้ยินคำว่า “กรอบเงินเฟ้อเป้าหมาย” ซึ่งเป็นเป้าที่หลายประเทศ ตั้งใจจะลดเงินเฟ้อที่อยู่ระดับสูงก่อนหน้านี้ลงมาอยู่ระดับอ่อนๆ เช่น สหรัฐฯ ตั้งเป้าหมายเงินเฟ้อให้ลงมาอยู่ที่ 2% ไทยตั้งกรอบเงินเฟ้อเป้าหมายที่ 1-3% เพราะการเกิดเงินเฟ้อแบบอ่อนๆ เป็นผลบวกต่อเศรษฐกิจ ความต้องการสินค้าเพิ่มขึ้น สินค้าราคาสูงขึ้นตามความต้องการ ผู้ผลิตได้กำไรมากขึ้น เกิดการขยายธุรกิจ ลงทุนซื้อเครื่องจักร ลงทุนสร้างโรงงาน ซื้อวัตถุดิบมาผลิต จ้างแรงงานเพิ่มขึ้น คนมีเงินมาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ทำให้เศรษฐกิจประเทศเติบโตมากขึ้น ไม่อยากปวดหัว ให้มืออาชีพช่วยดูแล สำหรับหลายคนที่ไม่มีเวลามานั่งติดตามตลาดการลงทุน อยากมีมืออาชีพมาคอยดูแลพอร์ตการลงทุนให้เติบโต แนะนำลงทุนที่กระจายการลงทุนหลากหลายสินทรัพย์ มีจังหวะปรับเพิ่มหรือลดตามสถานการณ์ที่เหมาะสม ไม่ว่าตลาดจะเป็นอย่างไร หรือเงินเฟ้อจะสูง ต่ำ หรือมีความน่ากังวลแค่ไหน โดยให้ลงทุนผ่านกองทุนผสม ตัวอย่างกองทุนผสมหลากหลายสินทรัพย์ที่น่าสนใจ และมีการจัดการที่ดี คือ กองทุน Wealth Plus ที่นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนแบบ DCA ลงทุนแบบสม่ำเสมอเท่ากันทุกเดือน หรือจะเลือกลงทุนตามโอกาสที่ต้องการสะสมเงินลงทุนเป็นรายครั้งได้ นอกจากนี้ในระหว่างการลงทุนจะมีผู้เชี่ยวชาญมาคอยปรับสัดส่วนการลงทุนให้เข้ากับสภาวะช่วงนั้น โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ว่าจะมีเป้าหมายการลงทุนอย่างไร Wealth Plus ก็ช่วยวางแผน ช่วยเลือกกองทุนที่เหมาะสมกับเราได้ ง่าย ครบ จบในตัวเดียว เงินเฟ้อ หรือ Inflation เป็นคำศัพท์ที่เมื่อฟังข่าวเศรษฐกิจ ข่าวการลงทุน หรือฟังนักวิเคราะห์การลงทุนเล่า ก็เป็นคำยอดฮิตที่มักถูกพูดถึง เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง วันนี้ KWEALTH มาอธิบายให้หมดเปลือกเกี่ยวกับคำว่า “เงินเฟ้อ” แล้วสถานการณ์เงินเฟ้อ ณ ขณะนี้ ควรที่จะลงทุนอย่างไร เงินเฟ้อคืออะไร เงินเฟ้อคืออะไร ถ้าพูดภาษาชาวบ้าน เงินเฟ้อคือการดูว่าราคาสินค้าและบริการโดยเฉลี่ย ปรับเพิ่มขึ้น แพงกว่าเดิม มากน้อยแค่ไหน เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยกลุ่มสินค้าและบริการที่ถูกนำมาคำนวณเงินเฟ้อของไทย ก็จะเป็นสินค้าและบริการที่เราใช้จ่ายอยู่เป็นประจำ เช่น กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม (ไม่รวมแอลกอฮอล์) น้ำหนักในการคำนวณเงินเฟ้ออยู่ที่ 42% ค่าเดินทาง 23% ค่าที่อยู่อาศัย 22% ความบันเทิง และการศึกษา 4% อื่นๆ อีก 9% แล้วจึงคำนวณออกมาเป็นตัวเลขเงินเฟ้อ สาเหตุของเงินเฟ้อ สาเหตุของเงินเฟ้อ ปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ หรือแปลง่ายๆว่าสินค้าและบริการแพงขึ้นนั้น สาเหตุที่ทำให้สินค้าแพงขึ้นแบ่งออกเป็น 2 ปัจจัย ได้แก่ 1.ต้นทุนการผลิตสินค้าเพิ่มสูงขึ้น (Cost Push Inflation) คือภาวะที่เงินเฟ้อเกิดจากฝั่งผู้ผลิต ราคาวัตถุดิบ หรือต้นทุนการผลิตของผู้ผลิตสินค้าแพงขึ้น เช่น น้ำมันแพงทำให้ต้นทุนการผลิต การขนส่งสูงขึ้น ผู้ผลิตจึงเพิ่มราคาขายสินค้า ทำให้ราคาขายสินค้าแพงขึ้น เงินเฟ้อก็เพิ่มสูงขึ้นตาม 2.ความต้องการสินค้าสูงขึ้น (Demand Pull Inflation) คือภาวะที่เงินเฟ้อเกิดจากฝั่งผู้บริโภค ความต้องการซื้อสูง หรือต้องการซื้อจนทำให้สินค้าไม่เพียงพอต่อความต้องการ ราคาสินค้าจึงสูงขึ้น ตัวอย่างเช่น ช่วงเกิด Covid-19 หน้ากากอนามัยขาดแคลน ผลิตไม่ทัน เพราะความต้องการซื้อสูง ราคาหน้ากากอนามัยช่วงนั้นก็ปรับตัวขึ้นสูงตาม เป็นต้น ผลกระทบเงินเฟ้อ ผลกระทบเงินเฟ้อ 1.มุมผู้บริโภค เงินเฟ้อทำให้เราต้องจ่ายเงินซื้อสินค้าและบริการ ในราคาที่แพงขึ้น เช่น ก๋วยเตี๋ยว 15 ปีที่แล้วชามละ 20 บาท วันนี้ก๋วยเตี๋ยวชามละ 50 บาท 2.มุมผู้ผลิต จะได้รับผลกระทบจากกำไรที่ลดลง เพราะราคาต้นทุนวัตถุดิบเพิ่มสูงขึ้น และถ้าเป็นธุรกิจที่ขึ้นราคาสินค้าได้ยาก ก็จะยิ่งกระทบกำไรบริษัท ทำให้ช่วงเกิดเงินเฟ้อสูง นักลงทุนไม่ค่อยชอบ ตลาดหุ้นจึงปรับตัวขึ้นได้ยาก เงินเฟ้อไม่ได้แย่เสมอไป เงินเฟ้อไม่ได้แย่เสมอไป หากใครติดตามข่าวเศรษฐกิจในช่วงนี้น่าจะเคยได้ยินคำว่า “กรอบเงินเฟ้อเป้าหมาย” ซึ่งเป็นเป้าที่หลายประเทศ ตั้งใจจะลดเงินเฟ้อที่อยู่ระดับสูงก่อนหน้านี้ลงมาอยู่ระดับอ่อนๆ เช่น สหรัฐฯ ตั้งเป้าหมายเงินเฟ้อให้ลงมาอยู่ที่ 2% ไทยตั้งกรอบเงินเฟ้อเป้าหมายที่ 1-3% เพราะการเกิดเงินเฟ้อแบบอ่อนๆ เป็นผลบวกต่อเศรษฐกิจ ความต้องการสินค้าเพิ่มขึ้น สินค้าราคาสูงขึ้นตามความต้องการ ผู้ผลิตได้กำไรมากขึ้น เกิดการขยายธุรกิจ ลงทุนซื้อเครื่องจักร ลงทุนสร้างโรงงาน ซื้อวัตถุดิบมาผลิต จ้างแรงงานเพิ่มขึ้น คนมีเงินมาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ทำให้เศรษฐกิจประเทศเติบโตมากขึ้น ไม่อยากปวดหัว ให้มืออาชีพช่วยดูแล ไม่อยากปวดหัว ให้มืออาชีพช่วยดูแล สำหรับหลายคนที่ไม่มีเวลามานั่งติดตามตลาดการลงทุน อยากมีมืออาชีพมาคอยดูแลพอร์ตการลงทุนให้เติบโต แนะนำลงทุนที่กระจายการลงทุนหลากหลายสินทรัพย์ มีจังหวะปรับเพิ่มหรือลดตามสถานการณ์ที่เหมาะสม ไม่ว่าตลาดจะเป็นอย่างไร หรือเงินเฟ้อจะสูง ต่ำ หรือมีความน่ากังวลแค่ไหน โดยให้ลงทุนผ่านกองทุนผสม ตัวอย่างกองทุนผสมหลากหลายสินทรัพย์ที่น่าสนใจ และมีการจัดการที่ดี คือ กองทุน Wealth Plus ที่นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนแบบ DCA ลงทุนแบบสม่ำเสมอเท่ากันทุกเดือน หรือจะเลือกลงทุนตามโอกาสที่ต้องการสะสมเงินลงทุนเป็นรายครั้งได้ นอกจากนี้ในระหว่างการลงทุนจะมีผู้เชี่ยวชาญมาคอยปรับสัดส่วนการลงทุนให้เข้ากับสภาวะช่วงนั้น โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ว่าจะมีเป้าหมายการลงทุนอย่างไร Wealth Plus ก็ช่วยวางแผน ช่วยเลือกกองทุนที่เหมาะสมกับเราได้ ง่าย ครบ จบในตัวเดียว บทความโดย K WEALTH Trainer มนัสวี เด็ดอนันต์กุล AFPT K WEALTH Trainer มนัสวี เด็ดอนันต์กุล AFPT
เงินเฟ้อ คือ การดูว่าราคาสินค้าและบริการโดยเฉลี่ย ปรับเพิ่มขึ้น แพงกว่าเดิม มากน้อยแค่ไหน เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านๆ มา โดยกลุ่มสินค้าและบริการที่ถูกนำมาคำนวณเงินเฟ้อของไทย จะเป็นสินค้าและบริการที่ใช้จ่ายอยู่เป็นประจำ เช่น กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม (ไม่รวมแอลกอฮอล์) น้ำหนักในการคำนวณเงินเฟ้ออยู่ที่ 42% ค่าเดินทาง 23% ค่าที่อยู่อาศัย 22% ความบันเทิง และการศึกษา 4% อื่นๆ อีก 9% แล้วจึงคำนวณออกมาเป็นตัวเลขเงินเฟ้อ สำหรับปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ แบ่งออกเป็น 2 ปัจจัย ได้แก่ 1. ต้นทุนการผลิตสินค้าเพิ่มสูงขึ้น (Cost Push Inflation) คือ ภาวะที่เงินเฟ้อเกิดจากฝั่งผู้ผลิต ราคาวัตถุดิบ หรือต้นทุนการผลิตของผู้ผลิตสินค้าแพงขึ้น เช่น น้ำมันแพงทำให้ต้นทุนการผลิต การขนส่งสูงขึ้น ผู้ผลิตจึงเพิ่มราคาขายสินค้า ทำให้ราคาขายสินค้าแพงขึ้น เงินเฟ้อก็เพิ่มสูงขึ้นตาม 2. ความต้องการสินค้าสูงขึ้น (Demand Pull Inflation) คือ ภาวะที่เงินเฟ้อเกิดจากฝั่งผู้บริโภค ความต้องการซื้อสูง หรือต้องการซื้อจนทำให้สินค้าไม่เพียงพอต่อความต้องการ ราคาสินค้าจึงสูงขึ้น ตัวอย่างเช่น ช่วงเกิด Covid-19 หน้ากากอนามัยขาดแคลน ผลิตไม่ทัน เพราะความต้องการซื้อสูง ราคาหน้ากากอนามัยช่วงนั้นก็ปรับตัวขึ้นสูงตาม เป็นต้น ในส่วนของผลกระทบเงินเฟ้อ แบ่งออกเป็น 2 มุมมอง ได้แก่ 1. มุมผู้บริโภค เงินเฟ้อทำให้ต้องจ่ายเงินซื้อสินค้าและบริการ ในราคาที่แพงขึ้น เช่น ก๋วยเตี๋ยว 15 ปีที่แล้วชามละ 20 บาท วันนี้ก๋วยเตี๋ยวชามละ 50 บาท 2. มุมผู้ผลิต จะได้รับผลกระทบจากกำไรที่ลดลง เพราะราคาต้นทุนวัตถุดิบเพิ่มสูงขึ้น และถ้าเป็นธุรกิจที่ขึ้นราคาสินค้าได้ยาก ก็จะยิ่งกระทบกำไรบริษัท ทำให้ช่วงเกิดเงินเฟ้อสูง นักลงทุนไม่ค่อยชอบ ตลาดหุ้นจึงปรับตัวขึ้นได้ยาก
4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Summarization
cc-by-nc-4.0
Finance_1240
Finance
กลยุทธ์การลงทุนในปี 2022 ที่น่าสนใจมีอะไรบ้าง?
null
กลยุทธ์การลงทุนในปี 2022 ที่น่าสนใจ: 1. ลงทุนในหุ้นกลุ่ม Defensive หุ้นกลุ่ม Defensive คือกลุ่มที่ไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจถดถอย เช่น กลุ่ม Consumer Staples (สินค้าอุปโภคบริโภคจำเป็น) กลุ่ม Utilities (สาธารณูปโภค) และกลุ่ม Healthcare (การแพทย์) หุ้นกลุ่มนี้มักมีผลประกอบการที่มั่นคง จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการความเสี่ยงต่ำ 2. ลงทุนในหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ หุ้นกลุ่ม Cyclicals (กลุ่มที่เคลื่อนไหวตามสภาวะเศรษฐกิจ) เช่น กลุ่ม Banks (ธนาคาร) กลุ่ม Energy (พลังงาน) และกลุ่ม Industrials (อุตสาหกรรม) หุ้นกลุ่มนี้มีโอกาสเติบโตสูงเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว เหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ 3. ลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีมีแนวโน้มเติบโตสูงในระยะยาว เน้นเลือกหุ้นที่มีนวัตกรรม และ disrupts ธุรกิจแบบดั้งเดิม เหมาะกับนักลงทุนที่มีมุมมองระยะยาว และรับความเสี่ยงได้สูง 4. ลงทุนในทองคำ ทองคำมักถูกมองเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในยามที่เศรษฐกิจไม่แน่นอน เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยง 5. ลงทุนในกองทุนรวม เหมาะกับนักลงทุนที่ไม่มีเวลาศึกษาข้อมูลหุ้นด้วยตัวเอง เลือกกองทุนที่เหมาะกับเป้าหมายการลงทุน ระดับความเสี่ยง และระยะเวลาลงทุน ข้อควรระวัง: ศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน กระจายความเสี่ยง ลงทุนระยะยาว ใจเย็น ไม่รีบร้อน ติดตามข่าวสารเศรษฐกิจ และนโยบายการเงินการคลัง ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน สรุป: กลยุทธ์การลงทุนที่ดีที่สุด ขึ้นอยู่กับเป้าหมายการลงทุน ระดับความเสี่ยง และระยะเวลาลงทุน ของนักลงทุนแต่ละคน
3.ตลาดการเงิน,4.เครื่องมือทางการเงิน,5.กลยุทธ์การลงทุน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1242
Finance
ช่วยสรุปบทความ กองทุนปันผล Best in Class 3 ปีย้อนหลัง (2019-2021)
กองทุนปันผลเหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการ Cash flow ไว้ใช้ในชีวิตประจำวัน หรือถ้าหากในสภาวะตลาดขาลง การได้รับปันผลมาเก็บไว้ก่อน ก็จะช่วยให้มูลค่าเงินรวมของเราขาดทุนน้อยลงนั่นเอง ถ้าวัตถุประสงค์ของเราคือต้องการ Cash flow อย่างต่อเนื่องแล้ว เราก็ต้องพิจารณาเลือกกองทุนปันผลที่มี Dividend Yield สูง มีการจ่ายปันผลสม่ำเสมอ ทั้งนี้การที่กองทุนจ่ายปันผลออกมามากก็ไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป เพราะเงินปันผลนั้นถูกจ่ายออกมาจากกำไรที่กองทุนทำได้ เสมือนกำไรที่จ่ายออกมาจากหุ้น ถ้าหากบริษัทใดจ่ายปันผลมาก ก็จะมีเงินที่นำกลับไปลงทุนเพื่อขยายกิจการน้อยลง เช่นเดียวกันกับกองทุน ถ้ากองทุนจ่ายปันผลออกมามาก เงินที่เหลือในกองทุนก็จะน้อยลง และส่งผลให้มีโอกาสที่เงินจะทบต้นในกองทุนน้อยลงนั่นเอง นอกจากนี้ต้องไม่ลืมว่าปันผลที่เราได้ออกมานั้นต้องเสียภาษี 10% ด้วย และเงินปันผลที่เอาออกมานั้นเป็นส่วนที่จะไม่ได้ทำให้เงินต้นเรางอกเงยเพิ่มจากกฎการทบต้นอย่างที่กล่าวไปแล้ว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้าพิจารณาถึงวัตถุประสงค์ของการเลือกกองทุนปันผลแล้วว่าเราต้องการอะไร ก็จะเข้าใจว่าต้องได้อย่างเสียอย่าง แต่อย่างไรก็ตามก็มีหลายกองทุนที่มีการจ่ายปันผลออกมาได้เยอะ และมูลค่าปัจจุบันของกองทุนก็ยังมากอยู่ เมื่อรวมปันผลด้วยแล้วยังกำไร จึงเป็นที่มาของการรวบรวมกองทุนปันผล Best in Class ที่เรานำมาเสนอในวันนี้
กองทุนปันผลเหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการรับเงินสดในชีวิตประจำวันหรือป้องกันความเสี่ยงในตลาดลง เลือกกองทุนที่มี Dividend Yield สูงสม่ำเสมอ เพื่อรักษามูลค่าเงินในกรณีที่ตลาดลดลง อย่างไรก็ตาม การจ่ายปันผลมากไม่ดีเสมอจะส่งผลให้เงินทุนลดลงและเพิ่มความเสี่ยงในการลงทุนในระยะยาว การได้รับปันผลจะต้องเสียภาษี 10% และเงินนี้ไม่ทำให้เงินต้นเพิ่ม เลือกกองทุนปันผลต้องพิจารณาวัตถุประสงค์ และมีหลายกองทุนที่มีการจ่ายปันผลมาก ๆ และมูลค่าปัจจุบันยังมาก เป็นที่มาของกองทุนปันผล Best in Class การได้รับปันผลจะต้องเสียภาษี 10% และเงินนี้ไม่ทำให้เงินต้นเพิ่ม เลือกกองทุนปันผลต้องพิจารณาวัตถุประสงค์ และมีหลายกองทุนที่มีการจ่ายปันผลมาก ๆ และมูลค่าปัจจุบันยังมาก เป็นที่มาของกองทุนปันผล Best in Class
2.ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.กลยุทธ์การลงทุน,6.การบริหารสินทรัพย์,7.การจัดการการเงินส่วนบุคคล
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1245
Finance
ถ้าหุ้นมี ROE ไม่น้อยกว่ากี่% จะถือว่าเป็นหุ้นที่สร้างกำไรได้สูงโดยไม่ต้องใช้ส่วนของผู้ถือหุ้นเยอะ
a. 12% b. 13% c. 15% d. 18%
ข้อที่ถูกต้องได้แก่ c. เพราะว่า นักลงทุนทุกคนคงอยากจะหาหุ้นที่ให้ผลตอบแทนดีกันใช่ไหมครับ หุ้นที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกับนักลงทุนควรจะเป็นหุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานดีและผลประกอบการเติบโตอย่างต่อเนื่อง หนึ่งในอัตราส่วนทางการเงินที่ใช้ในการพิจารณาประกอบการลงทุนคือ ROE (Return on Equity) ROE คืออะไร? • ROE คือ Net Profit (กำไรสุทธิ) หารด้วย Equity (ส่วนของผู้ถือหุ้น) เมื่อคำนวณออกมาแล้วจะได้เป็นอัตราส่วนทางการเงิน ซึ่งถ้าหุ้นนั้น ๆ มี ROE ไม่น้อยกว่า 15% จะถือว่าเป็นหุ้นที่สร้างกำไรได้สูงโดยไม่ต้องใช้ส่วนของผู้ถือหุ้นเยอะ
6.ข้อมูลการเงินรายบริษัท,5.ความรู้ทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_1247
Finance
นักลงทุนสาย The Expert มีลักษณะอย่างไร
null
นักลงทุนสาย The Expert ซึ่งพบได้ในนักลงทุนรุ่นเก๋ามีประสบการณ์ในตลาดมาอย่างโชกโชน บ้างก็เป็นผู้บริหารระดับสูง บ้างก็มาถึงช่วงชีวิตที่กลายมาเป็นเจ้าของธุรกิจเป็นหลักเป็นแหล่ง เริ่มพอใจกับชีวิต มีรายได้ที่ตอบโจทย์ตามวัยแล้ว หรือบางคนก็อาจจะมีภาระที่ต้องดูแล เช่น ลูก หนี้สินต่าง ๆ ค่างวดบ้านหรือรถยุโรปสุดหรูที่กำลังผ่อนอยู่ นักลงทุนกลุ่มนี้อาจจะเคยติดดอยหุ้นวัฏจักรหรือหุ้นร้อนแรงเมื่อปี 40 โดนผู้บริหารหรือโบรกเกอร์ปั่นให้ซื้อหุ้นของบริษัทตอนที่ตลาดกำลังร้อนแรงสุด ๆ และหุ้นก็ไม่เคยมาเหยียบ ณ จุด ๆ นั้นอีกเลย นักลงทุนประเภทนี้เริ่มมีความรู้ในระดับที่น่านับถือ คุยการลงทุนเชิงลึกเริ่มเป็นล่ำเป็นสัน รู้ว่าตลาดไม่ได้ง่ายและอาจจะไม่ได้ยากถ้าตั้งใจศึกษาพัฒนาระดับจิตใจและความรู้ให้แกร่งเพียงพอ แต่บางตนอาจพอใจกับชีวิตเรียบร้อยแล้วและเลือกที่จะศึกษาต่อไปเรื่อย ๆ นักลงทุนประเภท Expert เป็นผู้ที่ผ่านประสบการณ์และมีความเข้าใจทางด้านการลงทุนและความไม่แน่นอนของตลาดมาเรียบร้อยแล้ว บางคนอาจจะเริ่มคิดว่าการลงทุนระยะยาวแบบไม่ต้องไปยุ่งหรือให้ผู้เชี่ยวชาญดูแลน่าจะตอบโจทย์และช่วยให้บรรลุเป้าหมายทางการเงิน นักลงทุนประเภทนี้อาจเริ่มสร้างผลตอบแทนที่ดีพอสมควรจากการลงทุนในระยะยาว แต่บางคนอาจจะคิดว่ามันน่าจะดีกว่านี้ได้อีกและอาจเริ่มหาตัวช่วยที่มีศักยภาพในการสร้างการเติบโตของผลตอบแทน สิ่งที่จะมาช่วยได้คือ ที่ปรึกษาการลงทุนส่วนตัวมากความสามารถ มีกลยุทธ์ทางเลือกในรูปแบบที่หลากหลายน่าสนใจให้เลือกสรรได้อย่างตอบโจทย์ความต้องการ ซึ่งจะช่วยให้พอร์ตเติบโตได้มากกว่าเดิมยิ่ง ๆ ขึ้นไป
5.ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_125
Finance
หลังสัญญาณดอกเบี้ยขาลงในปี2566 นักลงทุนควรเลือกลงทุนแบบใด
เงินฝากที่มีแนวโน้มไม่สูงไปมากกว่านี้ หรือแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่อาจลดลงในอนาคต ตราสารหนี้จะได้ประโยชน์จากราคาตราสารหนี้ที่ปรับตัวขึ้น และนักวิเคราะห์หลายแห่งให้ความเห็นตรงกันว่า เป็นการดีที่จะลงทุนในตราสารหนี้ โดยเฉพาะการลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น ซึ่งมีหลายแบบ เช่น กองทุนตราสารหนี้ K-CASH, K-SF-A, K-CBOND-A, K-PLAN1 ของ K-bank เลือกให้เหมาะกับระยะเวลาที่สามารถลงทุนได้ และถือให้ครบตามระยะเวลาที่แนะนำของแต่ละกองทุนเพื่อลดความผันผวน ตราสารหนี้ คือ ตราสารทางการเงินชนิดหนึ่งที่รัฐบาลหรือบริษัทเอกชนออกขายให้กำบนักลงทุน โดยที่ผู้ซื้อจะได้รับผลตอบแทนในรูปแบบ "ดอกเบี้ย" กลับคืนมาตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ และจะได้รับ"เงินต้น" คืนเมื่อครบกำหนดอายุตราสาร โดยการฝากเงินยังคงเป็นทางเลือกในการเก็บเงินสำหรับคนที่รับความเสี่ยงได้น้อย ได้ดอกเบี้ยแน่นอน และเงินต้นไม่หาย ช่วงที่ผ่านมาจะเห็นว่าหลายธนาคารเริ่มทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ทั้งเงินฝากออมทรัพย์และเงินฝากประจำ โดยปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ยที่ 0.05%-0.30% ต่อปี หลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 25 ม.ค. 66 ที่ผ่านมา ซึ่งคณะกรรมการฯ มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี มาอยู่ที่ 1.50% ต่อปี โดยกนง. มองว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มลดลง ด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า กนง.มีแนวโน้มสูงที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกเพียง 1 ครั้งที่ 0.25% ภายใน ไตรมาสแรกของปีนี้ ซึ่งจะมีการประชุม กนง. ครั้งถัดไปในวันที่ 29 มี.ค. 66 และอาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.75% ต่อปีไปตลอดทั้งปี 2566 ขณะที่เงินเฟ้อจะค่อยๆ ปรับลดลงสู่เป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ 1%-3% ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ซึ่งจากสถานการณ์ดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นและแนวโน้มดอกเบี้ยตลอดทั้งปี 2566 ส่งผลให้ หลังจากไตรมาสแรก ดอกเบี้ยเงินฝากมีแนวโน้มจะไม่สูงไปมากกว่านี้ เนื่องจากมีแนวโน้มสูงที่ กนง. จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกเพียงแค่ 1 ครั้ง โดยหลังจากไตรมาสแรกไปจนถึงสิ้นปี 66 ดอกเบี้ยเงินฝากจะคงที่ ซึ่งปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารกสิกรไทย ณ 30 ม.ค. 66 ในส่วนของเงินฝากออมทรัพย์อยู่ที่ 0.25% ต่อปี ส่วนเงินฝากประจำ 3 เดือน – 36 เดือน อยู่ที่ 0.67%-1.60% ต่อปี ขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการฝากและจำนวนเงินที่ฝาก สำหรับเงินฝากประจำทวีทรัพย์ 24 เดือนอยู่ที่ 1.90% ต่อปี • และอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูง โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนม.ค. 66 อยู่ที่ 5.02% ส่วนอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยปี 65 อยู่ที่ 6.08% ซึ่งยังสูงกว่าเป้าหมายเงินเฟ้อของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ 1%-3% ค่อนข้างมาก ดังนั้น ดอกเบี้ยเงินฝากจะโตไม่ทันเงินเฟ้อ ทำให้มูลค่าของเงินลดลง แต่จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่คงที่และอาจลดลงในอนาคต ตราสารหนี้จะได้ประโยชน์จากราคาตราสารหนี้ที่ปรับตัวขึ้น ทำให้ผู้ลงทุนตราสารหนี้ได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น โดยตลาดตราสารหนี้ไทยปัจจุบันได้สะท้อนโอกาสการปรับขึ้นดอกเบี้ยสู่ระดับต่ำกว่า 2% ในปีนี้ และปรับขึ้นสู่ระดับ 2.20%-2.50% ในปีหน้า ทำให้ภาพรวมตลาดตราสารหนี้อยู่ในระดับที่สามารถลงทุนได้ ซึ่งการลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นจะได้ประโยชน์ในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นจากตราสารที่ครบกำหนดจะนำไปลงทุนต่อที่ให้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น แต่หากรับความเสี่ยงได้มากขึ้นก็สามารถเข้าลงทุนในตราสารหนี้ระยะกลาง-ยาวได้ ซึ่งอาจมีความผันผวนอยู่บ้าง แต่ก็มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่า ซึ่งแนะนำให้ลงทุนในตราสารหนี้จากอัตราตอบแทนที่น่าดึงดูดใจและอัตราตอบแทนพันธบัตรที่ชะลอตัวลง กองทุนตราสารหนี้ในประเทศเป็นกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงต่ำ ระดับความเสี่ยงของกองทุนอยู่ที่ระดับ 1-4 โอกาสในการขาดทุนจึงน้อยมาก โดยกองทุนตราสารหนี้จะนำเงินของผู้ลงทุนไปลงทุนในเงินฝากและตราสารหนี้ในประเทศ โดยเฉพาะตราสารหนี้ภาครัฐ เช่น พันธบัตรรัฐบาล ที่มีความน่าเชื่อถือสูงมาก และหุ้นกู้ของภาคเอกชนที่มีความน่าเชื่อถือในระดับที่สามารถลงทุนได้ โอกาสในการผิดนัดชำระหนี้จึงน้อยมาก ทำให้ผู้ลงทุนมีความสบายใจมากขึ้นในการนำเงินมาลงทุน ซึ่งกองทุนตราสารหนี้สามารถแบ่งออกเป็น 1. กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น 2. กองทุนตราสารหนี้ระยะกลาง และ3. กองทุนตราสารหนี้ระยะยาว ขึ้นอยู่กับอายุเฉลี่ยของตราสารหนี้ที่กองทุนนำเงินไปลงทุน ซึ่งความสั้นยาวของกองทุนตราสารหนี้จะส่งผลทั้งด้านความเสี่ยง ความผันผวน และผลตอบแทนของกองทุน โดยกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นที่ลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุเฉลี่ยไม่เกิน 1 ปี จะมีความเสี่ยงต่ำกว่า และผันผวนน้อยกว่ากองทุนตราสารหนี้ระยะยาว แต่โอกาสได้รับผลตอบแทนก็ต่ำกว่าด้วยเช่นกัน การลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นจะได้ประโยชน์ในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นจากตราสารที่ครบกำหนดจะนำไปลงทุนต่อที่ให้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น แต่หากรับความเสี่ยงได้มากขึ้นก็สามารถเข้าลงทุนในตราสารหนี้ระยะกลาง-ยาวได้ ซึ่งอาจมีความผันผวนอยู่บ้าง แต่ก็มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่า สำหรับกองทุนตราสารหนี้ที่แนะนำในช่วงนี้ได้แก่ กองทุน K-CASH, K-SF-A, K-CBOND-A และ K-PLAN1 โดยมีแนวทางการลงทุนดังนี้ • ในการลงทุนกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น • กองทุน K-CASH แนะนำถือลงทุนมากกว่า 3 วัน • กองทุน K-SF-A แนะนำถือลงทุนมากกว่า 3 เดือน • กองทุนตราสารหนี้ระยะกลาง • กองทุน K-CBOND-A แนะนำถือลงทุนมากกว่า 1 ปี • กองทุน K-PLAN1 แนะนำถือลงทุนมากกว่า 1 ปี การลงทุนกองทุนตราสารหนี้ในปีนี้ถือเป็นจังหวะเวลาที่เหมาะสมในการคว้าโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่าการฝากเงิน หากเราเปิดใจ เริ่มต้นเรียนรู้สิ่งใหม่ ศึกษาทำความเข้าใจ โดยแบ่งเงินบางส่วนมาลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ที่เหมาะกับความเสี่ยงที่รับได้ ระยะเวลาที่สามารถลงทุนได้ และถือได้ครบตามระยะเวลาที่แนะนำของแต่ละกองทุน เพียงเท่านี้เงินต้นที่มีก็สามารถงอกเงยได้มากขึ้นและโตเร็วขึ้นกว่าเดิม หลักสำคัญคือ ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน
เลือกลงทุนกองทุนตราสารหนี้ เพราะ: 1. มีโอกาสได้ผลตอบแทนดีกว่าเงินฝาก : ซึ่งจากสถานการณ์ดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นและแนวโน้มดอกเบี้ยตลอดทั้งปี 2566 ส่งผลให้ หลังจากไตรมาสแรก ดอกเบี้ยเงินฝากมีแนวโน้มจะไม่สูงไปมากกว่านี้ เนื่องจากมีแนวโน้มสูงที่ กนง. จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกเพียงแค่ 1 ครั้ง โดยหลังจากไตรมาสแรกไปจนถึงสิ้นปี 66 ดอกเบี้ยเงินฝากจะคงที่ ซึ่งปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารกสิกรไทย ณ 30 ม.ค. 66 ในส่วนของเงินฝากออมทรัพย์อยู่ที่ 0.25% ต่อปี ส่วนเงินฝากประจำ 3 เดือน – 36 เดือน อยู่ที่ 0.67%-1.60% ต่อปี ขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการฝากและจำนวนเงินที่ฝาก สำหรับเงินฝากประจำทวีทรัพย์ 24 เดือนอยู่ที่ 1.90% ต่อปี และอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูง โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนม.ค. 66 อยู่ที่ 5.02% ส่วนอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยปี 65 อยู่ที่ 6.08% ซึ่งยังสูงกว่าเป้าหมายเงินเฟ้อของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ 1%-3% ค่อนข้างมาก ดังนั้น ดอกเบี้ยเงินฝากจะโตไม่ทันเงินเฟ้อ ทำให้มูลค่าของเงินลดลง แต่จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่คงที่และอาจลดลงในอนาคต ตราสารหนี้จะได้ประโยชน์จากราคาตราสารหนี้ที่ปรับตัวขึ้น ทำให้ผู้ลงทุนตราสารหนี้ได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น 2. กองทุนตราสารหนี้ในประเทศเป็นกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงต่ำ : - ระดับความเสี่ยงของกองทุนอยู่ที่ระดับ 1-4 โอกาสในการขาดทุนจึงน้อยมาก - โดยกองทุนตราสารหนี้จะนำเงินของผู้ลงทุนไปลงทุนในเงินฝากและตราสารหนี้ในประเทศ โดยเฉพาะตราสารหนี้ภาครัฐ เช่น พันธบัตรรัฐบาล ที่มีความน่าเชื่อถือสูงมาก และหุ้นกู้ของภาคเอกชนที่มีความน่าเชื่อถือในระดับที่สามารถลงทุนได้ โอกาสในการผิดนัดชำระหนี้จึงน้อยมาก ทำให้ผู้ลงทุนมีความสบายใจมากขึ้นในการนำเงินมาลงทุน ซึ่งกองทุนตราสารหนี้สามารถแบ่งออกเป็น : 1. กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น 2. กองทุนตราสารหนี้ระยะกลาง และ 3. กองทุนตราสารหนี้ระยะยาว ขึ้นอยู่กับอายุเฉลี่ยของตราสารหนี้ที่กองทุนนำเงินไปลงทุน ซึ่งความสั้นยาวของกองทุนตราสารหนี้จะส่งผลทั้งด้านความเสี่ยง ความผันผวน และผลตอบแทนของกองทุน โดยกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นที่ลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุเฉลี่ยไม่เกิน 1 ปี จะมีความเสี่ยงต่ำกว่า และผันผวนน้อยกว่ากองทุนตราสารหนี้ระยะยาว แต่โอกาสได้รับผลตอบแทนก็ต่ำกว่าด้วยเช่นกัน
2.ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,4.เครื่องมือทางการเงิน,5.กลยุทธ์การลงทุน,8.การวิเคราะห์ทางการเงิน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1250
Finance
ที่มีของคำว่าหุ้น Blue Chip มาจากอะไร
null
ที่มีของคำว่าหุ้น Blue Chip มาจากเกม Poker ซึ่ง Chip สีน้ำเงินจะมีมูลค่าสูงสุด เพราะคิดว่าอย่างน้อย บริษัทเหล่านี้จะไม่หายไปแน่ ๆ และต่อให้มันแพงเกินไปบ้าง เดี๋ยวสักพักบริษัทก็จะทำกำไรได้มากขึ้น จนราคาที่ซื้อแพงตอนนี้ สมเหตุสมผลเองในอนาคต นักลงทุนสถาบันมองว่า การซื้อหุ้น Blue Chip นี่เองที่แก้ปัญหาในชีวิตพวกเขาได้ ความน่าเชื่อถือและการเติบโตที่ได้รับการพิสูจน์มาแล้ว ทำให้พวกเขาไม่ต้องคอยตอบคำถามกับหัวหน้าหรือผู้ร่วมงาน ถึงเหตุผลในการตัดสินใจ นอกจากนี้การเข้าซื้อทีละมาก ๆ ยังไม่ส่งผลกระทบต่อราคาของหุ้นใหญ่ ทำให้เกิด trend การซื้อหุ้นครั้งเดียว ถือยาวตลอดชีวิตในช่วงนั้น เงินจำนวนมากไหลเข้าหุ้นกลุ่ม Nifty 50 ซึ่งรวม 50 หุ้นที่ใหญ่ที่สุดในตลาด New York ไว้ จนหุ้นกลุ่ม Nifty 50 ซื้อขายกันที่ P/E 50-90 เท่า ความเชื่อมั่นของนักลงทุนถือยาวอยู่ได้ 3-4 ปี แล้วก็จบแบบเดิม จากนักลงทุนบางกลุ่มเริ่มเห็นโอกาสในการลงทุนอย่างอื่นที่ดูคุ้มค่ากว่า แล้วเริ่มลุกออกจากวง ก่อนจะมีคนกลุ่มอื่นลุกตามมาเรื่อย ๆ ทำให้ตลาดหุ้นเข้าสู่สภาพขาลงอีกครั้งเป็นเวลาเกือบ 10 ปี (1973-1982) ก่อนจะกลับเป็นขาขึ้นอีกครั้ง ซึ่งเป็นยุคที่เทคโนโลยีต่าง ๆ ที่คนในยุค 60-70 วาดฝันไว้เริ่มทำได้จริง (ซึ่งจริง ๆ ก็มี ฟองสบู่ไบโอเทค เกิดขึ้นอีกในยุค 80 เรื่องก็เหมือนลอกฟองสบู่ Tronics มาเลย) เรื่องฟองสบู่ทั้ง 2 ครั้ง กินระยะเวลารวมกันกว่า 20 ปี ในยุคที่เงินทั่วโลกไม่ได้ไหลไปมาได้อย่างอิสระ ขนาดตลาดไม่ได้ใหญ่ ผู้เล่นในตลาดไม่ได้เยอะเหมือนทุกวันนี้ ในขณะที่โลกโลกาภิวัฒน์ในปัจจุบัน เงินสามารถไหลไปรวมกันได้อย่างรวดเร็ว ทั่วโลกสามารถรับรู้ข่าวสารได้ในระยะเวลาที่ต่างกันไม่ถึงหลักชั่วโมง และใคร ๆ ก็ต่างลงทุนกันทั้งนั้น ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเท่าไรที่ทรัพย์สินที่ได้รับความสนใจ จะสามารถทำกำไรได้มหาศาล จากหลักร้อยเปอร์เซ็นต์ในช่วง ปี 60-70 เป็นหลักพัน หลักหมื่นเปอร์เซ็นต์ในปัจจุบัน ไม่มีใครคาดเดาตอนจบของเรื่องได้อย่างถูกต้องทั้งหมด สิ่งที่ทำได้มีเพียงลงทุนด้วยความระมัดระวัง มองอดีตเป็นบทเรียน บริหารความเสี่ยงและเตรียมพร้อมกับสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต เพราะไม่แน่ว่าในอนาคต ทุกคนก็อาจเป็นบทเรียนที่เจ็บปวด ให้รุ่นลูก รุ่นหลานได้เรียนรู้
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1251
Finance
เฟดเข้ม 2022 คืออะไร
null
ประเด็นนี้กดดันให้สินทรัพย์เสี่ยงแทบทุกอย่างปรับฐานอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นบอนด์ หุ้น และคริปโทฯ หลายกองทุนคืนกำไรในปีที่ผ่านมาออกมาหมด จนนักลงทุนต่างตั้งคำถามว่า “ทำไมตลาดถึงอ่อนไหวกับนโยบายการเงินขนาดนี้ อะไรกำลังจะเกิดขึ้น และเราควรเตรียมตัวอย่างไรบ้าง” สิ่งแรกที่ต้องเข้าใจ คือเฟดมีหน้าที่ควบคุมระดับราคาและเฟดก็เข้มงวดขึ้น ช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ตลาดไม่ได้สนใจบทบาทการกำหนด Price Stability ของเฟดเท่าไหร่ เพราะสถานการณ์ “จำเป็น” ที่จะต้องเข้มงวดเกิดขึ้นไม่บ่อย ครั้งล่าสุดยังต้องย้อนกลับถึงทศวรรษ 1990 หรือก่อนวิกฤติ Dot Com ที่ Alan Greenspan ประธานเฟดสมัยนั้น มองว่าเงินเฟ้อและระดับราคาสินทรัพย์ในตลาดสูงอย่างไม่มีเหตุผล (Irrational Exuberance) จึงทยอยขึ้นดอกเบี้ยเพื่อปรับสมดุล แม้ครั้งนี้ต่างกันที่ตลาดการเงินไม่ใช่เป้าหมาย แต่การที่เฟดเปลี่ยนมุมมองอย่างรวดเร็ว จากกลางปีที่ชี้ว่า การขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกจะเกิดขึ้นในปี 2023 มาเป็นขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรก ณ สิ้นไตรมาสแรกปี 2022 ก็ยากที่ดัชนี S&P500 บนระดับ Long-term P/E 37 เท่า สูงใกล้ช่วงวิกฤติ Dot Com จะไหวตัวทัน นอกจากนั้น แม้ชาวโลกการเงินจะรู้ว่าระดับราคาปัจจุบันผิดปรกติ ก็ไม่มีใครรู้ว่าระดับที่ถูกต้องควรอยู่ที่ไหน เป็นความจริงที่ทั้งเฟดและตลาดรู้ว่านโยบายการเงินผ่อนคลายเกินไป แต่ไม่มีใครรู้จริงว่าจุดไหนเหมาะสม เช่นในปัจจุบัน วัดระดับดอกเบี้ยแท้จริงระยะยาวจากยีลด์สหรัฐอายุ 10 ปีลบด้วยเงินเฟ้อระยะยาว (Breakeven Inflation 10 ปี) จะติดลบอยู่ 0.8-1.0% ถ้าต้องปรับดอกเบี้ยนโยบายจนดอกเบี้ยแท้จริงเป็นบวก ก็อาจต้องเห็นยีลด์ 10 ปีที่ 2.5% ซึ่งช่วงหลายปีที่ผ่านมา S&P500 ซื้อขายในระดับ LT P/E เพียง 21 เท่า ยิ่งถ้าตั้งเป้าคุมเงินเฟ้อยิ่งน่ากลัว เพราะในทศวรรษ 1990 เฟดต้องขึ้นดอกเบี้ยจาก 1.00% ไปถึง 5.25% กว่าที่เงินเฟ้อจะปรับตัวลง และ S&P 500 เคยซื้อขายที่ LT P/E แค่ 15 เท่า เหนือสิ่งอื่นใด ครั้งนี้ไม่ใช่แค่ดอกเบี้ยแต่เป็น “เงิน” ที่อัดฉีดกระตุ้นตลาดก็จะต้องหายไปพร้อมกัน ขนาดงบดุลของเฟดที่ขยายขึ้นในช่วงวิกฤติโควิดมีขนาดถึง 4 ล้านล้านดอลลาร์ เงินเหล่านี้อาจต้องหยุดเพิ่มขึ้น “ก่อน” ขึ้นดอกเบี้ย หรืออาจต้อง “ลดขนาด” งบดุลลงในอนาคต ส่งผลกับมุมมองตลาดหลายเรื่อง 1.การลงทุนกลุ่มเทคโนโลยีแห่งอนาคตที่เปรียบเสมือนลอตเตอรี่ มีไว้ลุ้นกำไรมหาศาลด้วยสภาพคล่องส่วนเกินจะต้องหยุด 2.ต่อให้ลงทุนมีกำไร แต่เมื่อสภาพคล่องไม่เพิ่ม เหตุผลว่าการลงทุนควรมี P/E กี่เท่า ต้องมองว่าธุรกิจเหล่านี้จะอยู่กับตลาดไปได้ถึงจุดคืนทุนหรือไม่ด้วย 3.ถ้าเทคโนโลยีที่เป็นองค์ประกอบใหญ่ของตลาดปรับฐาน ก็ยากที่ตลาดโดยรวมจะสามารถยืนแดนบวกได้ แม้ท่าทีของเฟดจะไม่ได้เป็น “คำมั่นสัญญา” ว่าการขึ้นดอกเบี้ยหรือลดงบดุลจะต้องเกิดขึ้นแน่ แต่ก็ทำให้เกิดเหตุการณ์ที่เป็นไปได้เพิ่มขึ้น เช่น - หยุด EQ เร็วขึ้นตั้งแต่ไตรมาสแรก มีโอกาสกว่า 80% ที่เฟดจะประกาศลด QE เร็วขึ้นใน FOMC วันที่ 27 ม.ค.นี้ การลงทุนที่ต้องระวังคือสินทรัพย์เสี่ยงที่แพงโดยไม่มีพื้นฐาน - ขึ้นดอกเบี้ยทันทีในการประชุม FOMC 16 มี.ค. ตลาดมองโอกาสเกิด 70% ด้วยทิศทางเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้น ผมเห็นด้วยว่าเฟดอาจต้องทำอะไรซักอย่าง ทุกสินทรัพย์ในตลาดมีโอกาสปรับฐาน ที่ต้องจับตาต่อ คือยีลด์ระยะยาวจะขึ้นเพราะมองว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยต่อ หรือจะลงเพราะตลาดหาที่หลบภัย - ขึ้นดอกเบี้ยต่ออีก 2 ครั้ง ภายในปี 2022 ผมมองโอกาสต่ำกว่า 50% เป็นกรณีที่เสี่ยงที่สุดของตลาดก็จริง แต่ครึ่งหลังปีนี้น่าจะเป็นช่วงที่เงินเฟ้อผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว ยิ่งถ้าตลาดปรับฐานแรงโอกาสเข้มงวดต่อเนื่องยิ่งน้อย - ลดขนาดงบดุลในไตรมาส 4 ปัจจุบันเป็นเพียงการคาดเดา จึงมีโอกาสเพียง 25% ตลาดยังไม่รับข่าว แต่ถ้ามองจากปริมาณ QE ที่ทำไปในช่วงโควิดและอายุคงเหลือของตราสารที่เฟดซื้อ ถ้าไม่มีการซื้อใหม่ งบดุลของเฟดก็จะทยอยลดลงราวเดือนละ 5 หมื่นล้านดอลลาร์ กดดันบอนด์ระยะสั้นและสกุลเงิน EM ด้วยความเป็นไปได้เหล่านี้ ถ้าใครไม่เคยกลัวเฟดก็ควรกลัวบ้าง เพราะระดับราคาของตลาดไม่ได้อยู่ในจุดที่มั่นคงเสียเลย แต่ถ้าใครกลัวมาก ก็ควรลดความกลัวลง เพราะไม่ใช่ทุกเหตุการณ์จะเกิดขึ้นและหลายเรื่องตลาดก็รับข่าวไปแล้ว
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1253
Finance
ช่วยสรุปบทความ พาส่องกองทุนที่ได้รับประโยชน์จากเทรนด์ Metaverse
กลุ่ม Metaverse Ecosystem M-META นโยบายการลงทุน: ลงทุนใน Roundhill Ball Metaverse ETF เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ โดยกองทุน M-META จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6 กองทุนหลักมีวัตถุประสงค์ในการลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนของกองทุน (ก่อนหักค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่าย) ให้ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี Ball Metaverse Index (ดัชนีอ้างอิง) ซึ่งเป็นดัชนีที่ติดตามผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน ทั่วโลกที่มีส่วนร่วมในกิจกรรมหรือการจัดหาผลิตภัณฑ์ บริการ เทคโนโลยี หรือความสามารถทาง เทคโนโลยีเพื่อเข้าถึง Metaverse รวมถึงบริษัทที่ได้รับประโยชน์จากการสร้างรายได้ที่เกี่ยวข้องกับ Metaverse โดยจะคัดเลือกหุ้นที่อยูในธุรกิจที่จัดอยู่ใน Metaverse Market Map 7 ประเภท จากการวิจัย และการวิเคราะห์เชิงลึกของ Expert Council ที่มีความรู้ความชำนาญ ทั้งนี้ กองทุนหลักอาจถือครองหลักทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียนที่มีธุรกิจและการดำเนินกิจการที่เกี่ยวข้องกับ Cryptocurrency แต่จะไม่ลงทุนโดยตรงใน Cryptocurrency
กลุ่ม Metaverse Ecosystem M-META กองทุนหลักคือ Roundhill Ball Metaverse ETF โดยลงทุนเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ มีระดับความเสี่ยงระดับ 6 (M-META) มีวัตถุประสงค์ในการลงทุนให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนี Ball Metaverse Index ซึ่งติดตามผลการดำเนินงานของบริษัททั่วโลกที่มีส่วนร่วมในกิจกรรม Metaverse โดยคัดเลือกหุ้นจาก Metaverse Market Map 7 ประเภท โดยไม่ลงทุนโดยตรงใน Cryptocurrenc
4.เครื่องมือทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1255
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ความหมายของหุ้น Super Stock
null
หุ้น Super Stock เป็นหุ้นที่มีคุณสมบัติที่ต่างจากหุ้นที่เราเห็นทั่ว ๆ ไป หุ้นประเภทนี้ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นอุตสาหกรรมหรือหุ้นเมกาเทรนด์ ที่มีการเติบโตที่รวดเร็วและยาวนานจนโตขึ้นจากจุดเดิมหลายเท่า เงื่อนไขของหุ้น ได้แก่ ผู้ผลิตสินค้าหรือให้บริการที่มักจะถูกใช้โดยคนที่ร่ำรวยขึ้น, บริษัทหต้องเป็นผู้ชนะที่มีส่วนแบ่งทางตลาดสูงกว่าคู่แข่งและโตได้เรื่อย ๆ, มักมีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน, ต้องไม่ถูกทำลายโดยเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน และราคาของหุ้นต้องไม่แพงเกินไป โดยวัดจากอัตราส่วนมาตรฐาน บทเรียนจากย่อหน้านี้ หุ้น Super Stock มักจะมีคุณสมบัติที่แตกต่างจากหุ้นทั่วไปก็คือ มันมักจะอยู่ในอุตสาหกรรมหรือธุรกิจที่กำลังเป็น “เมกาเทรนด์” คือมีการเติบโตที่รวดเร็วและมักจะยาวนานจนโตขึ้นจากจุดเดิมเป็นหลายเท่า ดังนั้น จึงเป็นผู้ผลิตหรือให้บริการสินค้าที่มักจะถูกใช้โดยคนที่อายุน้อยกว่าหรือคนที่กำลังร่ำรวยขึ้นที่จะมีเงินเพิ่มและใช้ผลิตภัณฑ์มากขึ้น นั่นคือเงื่อนไขประการแรก ข้อที่สองก็คือ บริษัทหรือหุ้นนั้นจะต้องเป็น “ผู้ชนะ” มีส่วนแบ่งทางตลาดสูงกว่าคู่แข่งและโตไปเรื่อย ๆ ตามอุตสาหกรรม ประการที่สามก็คือ ผู้ชนะนั้นมักจะมี “ความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน” เช่นมียี่ห้อสินค้าที่ดีมาก มีต้นทุนที่ต่ำกว่าเนื่องจากมีขนาดที่ใหญ่กว่า มีเครือข่ายหรือ Network ของผู้ใช้ที่มากกว่าคู่แข่งมาก ลูกค้ามีต้นทุนที่จะออกไปใช้บริการของคู่แข่งสูง หรือเป็นกิจการที่เป็น “ผู้ผูกขาด” โดยธรรมชาติหรือที่ไม่ได้ถูกควบคุมทางด้านราคาจากรัฐมากนัก เป็นต้น นอกจากนั้น Super Stock จะต้องไม่ถูก Disrupt หรือถูกทำลายโดยเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นมากในปัจจุบัน และสุดท้ายที่อาจจะสำคัญที่สุดก็คือ ราคาของหุ้นจะต้องไม่แพงเกินไปวัดจากอัตราส่วนมาตรฐานต่าง ๆ เช่นค่า PE เป็นต้น อย่างไรก็ตาม บ่อยครั้ง โดยเฉพาะที่เป็นช่วงเริ่มต้นของการเป็นหุ้น Super Stock ที่กิจการยังไม่ค่อยมีกำไรเพราะยังต้องขยายกิจการอย่างรวดเร็ว การวัดว่าหุ้นถูกหรือแพงจะต้องดูจาก Market Cap. หรือมูลค่าตลาดของหุ้นทั้งหมด ในกรณีแบบนี้ก็จะมีความยากเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในธุรกิจยุคใหม่ที่เป็นดิจิทัลหรือไฮเทคที่ยังไม่มีตัวอย่างจากตลาดอื่นให้เปรียบเทียบ
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1256
Finance
ข้อมูลจาก Bloomberg คาดการณ์ว่า ปี 2565 Metaverse จะมีมูลค่าตลาดที่เท่าไหร่
โดยข้อมูลจาก Bloomberg คาดการณ์ว่า ปี 2565 Metaverse จะมีมูลค่าตลาดที่ 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา และในปี 2568 จะมีมูลค่าตลาดที่ระดับ 476 ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา หรือเพิ่มขึ้น 4 เท่าตัว และระยะยาวไปจนถึงปี 2573 มูลค่าของตลาดนี้จะอยู่ที่ราว 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ซึ่งการเติบโตก้าวกระโดดนี้เอง ธนาคารทิสโก้จึงมองว่า นี่คือโอกาสน่าสนใจของการลงทุน ทั้งนี้กลุ่มกองทุนธุรกิจดาวเด่นในธีม Metaverse ที่ธนาคารทิสโก้เลือก มี 4 กลุ่มได้แก่ 1. Cyber Security กองทุนที่เน้นลงทุนธุรกิจเกี่ยวข้องกับการป้องกันอาชญากรรมบนโลกไซเบอร์ ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตดี โดยมีการคาดการณ์ว่า ในปี 2564 – 2568 ค่าใช้จ่ายด้านการป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ (Cybersecurity) ทั่วโลก จะมีมูลค่ารวมกว่า 1.75 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา หรือเพิ่มขึ้น 15% ต่อปี 2. Cloud Computing กองทุนที่เน้นลงทุนธุรกิจเบื้องหลังความสำเร็จของ Metaverse ประกอบด้วย Software as a Service, Platform as a Service, Infrastructure as a Service 3. Esports กองทุนที่เน้นลงทุนธุรกิจเกมออนไลน์ ซึ่งปัจจุบันเกมออนไลน์ได้ถูกยกระดับขึ้นเป็นการแข่งขันกีฬา ซึ่งกำลังได้รับความนิยมจากทั่วโลก 4. Metaverse ecosystem กองทุนที่ลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Metaverse หลากหลายรูปแบบ เช่น Hardware, Software, ทรัพย์สินดิจิทัลต่าง ๆ บนระบบ และ Platform Metaverse เป็นต้น ซึ่งจะช่วยให้กระจายการลงทุนดียิ่งขึ้น
ธุรกิจ Metaverse เป็นหนึ่งใน Megatrend ที่มีแนวโน้มเติบโตดีในระระยาว โดยข้อมูลจาก Bloomberg คาดการณ์ว่า ปี 2565 Metaverse จะมีมูลค่าตลาดที่ 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา และในปี 2568 จะมีมูลค่าตลาดที่ระดับ 476 ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา หรือเพิ่มขึ้น 4 เท่าตัว และระยะยาวไปจนถึงปี 2573 มูลค่าของตลาดนี้จะอยู่ที่ราว 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ซึ่งการเติบโตก้าวกระโดดนี้เอง ธนาคารทิสโก้จึงมองว่า นี่คือโอกาสน่าสนใจของการลงทุน ทั้งนี้กลุ่มกองทุนธุรกิจดาวเด่นในธีม Metaverse ที่ธนาคารทิสโก้เลือก มี 4 กลุ่มได้แก่ 1. Cyber Security กองทุนที่เน้นลงทุนธุรกิจเกี่ยวข้องกับการป้องกันอาชญากรรมบนโลกไซเบอร์ ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตดี โดยมีการคาดการณ์ว่า ในปี 2564 – 2568 ค่าใช้จ่ายด้านการป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ (Cybersecurity) ทั่วโลก จะมีมูลค่ารวมกว่า 1.75 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา หรือเพิ่มขึ้น 15% ต่อปี 2. Cloud Computing กองทุนที่เน้นลงทุนธุรกิจเบื้องหลังความสำเร็จของ Metaverse ประกอบด้วย Software as a Service, Platform as a Service, Infrastructure as a Service 3. Esports กองทุนที่เน้นลงทุนธุรกิจเกมออนไลน์ ซึ่งปัจจุบันเกมออนไลน์ได้ถูกยกระดับขึ้นเป็นการแข่งขันกีฬา ซึ่งกำลังได้รับความนิยมจากทั่วโลก 4. Metaverse ecosystem กองทุนที่ลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Metaverse หลากหลายรูปแบบ เช่น Hardware, Software, ทรัพย์สินดิจิทัลต่าง ๆ บนระบบ และ Platform Metaverse เป็นต้น ซึ่งจะช่วยให้กระจายการลงทุนดียิ่งขึ้น
1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1257
Finance
หลักในการพิจารณากองทุนรวมมีคุณลักษณะ 4 ประการ ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง
ขอเริ่มจากเกณฑ์ที่ใช้ในการประเมินกองทุนแบบ Rule of Thumb กันก่อนว่าเป็นอย่างไร ดังนี้ โดยทั่วไป มักจะถือไว้ประมาณ 3 ปีหรือนานกว่านั้น ถ้าคุณลงทุนแบบนี้ควรดูตัวเลือกการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนสูงเป็นอันดับต้นๆ ในระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมาหรือนานกว่านั้น เพราะมักจะมีโอกาสทำกำไรใน 3 ปีถัดไป ซึ่งดีกว่ากองทุนรวมที่มีผลตอบแทนต่ำกว่า ดังนั้นทางออกของปัญหาว่าจะเลือกลงทุนกองทุนไหนดีนั้นแทบจะหมดไปหากลงทุนยาวหน่อย โดยเลือกลงทุนกองทุนรวมที่มีผลตอบแทนดีๆ ในช่วงระยะเวลาเท่ากับหรือนานกว่าช่วงเวลาที่คุณวางแผนจะถือ นอกจากนี้ แนะนำให้พิจารณากองทุนรวมที่มีคุณลักษณะ 4 ประการ คือ ประการหนึ่ง อย่าเลือกกองทุนตัวที่มีผลประกอบการในปีใดปีหนึ่งหรือมากกว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา สูงกว่าค่าเฉลี่ยของกองทุนรวมในกลุ่มเดียวกันมากจนเกินไป เนื่องจากจากอดีตที่ผ่านมา แทบจะไม่มีกองทุนใดที่สามารถชนะตลาดแบบทิ้งขาดมากๆ มากกว่า 1 ปี หากประเมินในช่วงระยะเวลาทั้งหมด 5 ปี ประการที่สอง อย่าเลือกกองทุนรวมที่อยู่ในโซนที่โหล่รั้งท้ายคือในช่วงอันดับร้อยละ 10 จากข้างล่าง เช่นหากมีกองทุน 50 กอง อย่าเลือกกองที่เคยได้อันดับ 46-50 ประการที่สาม อย่าเลือกกองทุนที่ครองแชมป์ติดต่อกัน 2-3 ปี เพราะเสี่ยงว่าจะซื้อของแพง ประการที่สี่ ให้เลือกกองทุนรวมที่ติดอันดับครึ่งแรกของตารางตลอด 5 ปี หรือถ้าดีกว่านั้น ได้ติดอันดับหนึ่งในสี่ของตารางตลอด 5 ปี
ประการหนึ่ง อย่าเลือกกองทุนตัวที่มีผลประกอบการในปีใดปีหนึ่งหรือมากกว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา สูงกว่าค่าเฉลี่ยของกองทุนรวมในกลุ่มเดียวกันมากจนเกินไป เนื่องจากจากอดีตที่ผ่านมา แทบจะไม่มีกองทุนใดที่สามารถชนะตลาดแบบทิ้งขาดมากๆ มากกว่า 1 ปี หากประเมินในช่วงระยะเวลาทั้งหมด 5 ปี ประการที่สอง อย่าเลือกกองทุนรวมที่อยู่ในโซนที่โหล่รั้งท้ายคือในช่วงอันดับร้อยละ 10 จากข้างล่าง เช่นหากมีกองทุน 50 กอง อย่าเลือกกองที่เคยได้อันดับ 46-50 ประการที่สาม อย่าเลือกกองทุนที่ครองแชมป์ติดต่อกัน 2-3 ปี เพราะเสี่ยงว่าจะซื้อของแพง ประการที่สี่ ให้เลือกกองทุนรวมที่ติดอันดับครึ่งแรกของตารางตลอด 5 ปี หรือถ้าดีกว่านั้น ได้ติดอันดับหนึ่งในสี่ของตารางตลอด 5 ปี
5.ความรู้ทางการเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1259
Finance
หุ้น Tongcheng-Elong จดทะเบียนในตลาดใด
1. ตลาดฮ่องกง 2. ตลาดญี่ปุ่น 3. ตลาดจีน 4. ตลาดไทย
คำตอบคือ 1. เพราะว่า เราจะขอเล่าถึงหุ้นไซซ์เล็กขนาดเพียง $5bn ที่ชื่อ “Tongcheng-Elong” จดทะเบียนในตลาดฮ่องกงรหัส 0780 Tongcheng-Elong เกิดจากการรวมตัวของแอปจองตั๋วการเดินทาง (เครื่องบิน, รถไฟ) มารวมกับแอปจองโรงแรม โดยเน้นการเติบโตไปกับแอพ WeChat ที่แนะนำผู้ใช้งานใหม่ให้ ซึ่ง Tencent ก็เข้ามาถือหุ้น 21% ตามสูตรขอแลกหุ้นกับช่วยเพิ่มผู้ใช้งานใหม่ที่ใช้กับ Meituan, JD, Pinduoduo จนดังเป็นพลุแตก ช่วงปี 2019 ก่อนเกิดการระบาด แอป Tongcheng-Elong มียอดผู้ใช้งานเกิน 200 ล้านคนไปแล้ว แม้จะสะดุดไปช่วงปีที่แล้วแต่ล่าสุดด้วย demand ความอยากเที่ยวของคนจีนก็ดันให้ทั้งจำนวนผู้ใช้งานและรายได้ของ Tongcheng-Elong ฟื้นตัวต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 3 ปีที่แล้วต่อเนื่องถึงปัจจุบัน และแอปกำลังอยู่ในจุดที่ดีมากเพราะเน้นระบบจองการท่องเที่ยวในประเทศมาตั้งแต่แรก เรื่องที่จะดันการเติบโตให้แอปอีกทางก็เป็นเรื่องรัฐบาลจีนกำลังเร่งลดความเหลื่อมล้ำรายได้คนเมืองใหญ่กับเมืองเล็ก ซึ่งเป็นประโยชน์กับ Tongcheng-Elong เพราะผู้ใช้งานส่วนใหญ่อยู่ในเมืองรองและเมืองเล็ก (ไม่ใช่ first-tier cities) และอีกเรื่องคือการออกกฎหมายลดการผูกขาด Big Tech จะช่วยให้แอพขนาดกลางและเล็กมีช่องว่างการให้เติบโตได้
4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_126
Finance
จงเสนอไอเดีย เช็กลิสต์อะไรบ้าง ถ้ากองทุน LTF ของเรากำลังครบกำหนดในปีนี้ แล้วเราควรขายหรือถือต่อดี
null
เช็กลิสต์ผ่านคำถาม 3 ข้อสำคัญนี้ 1. เช็กผลตอบแทนและเงินปันผลของกองทุน ถ้าผลตอบแทนยังดีในระยะยาว แนะนำให้ถือ LTF ต่อ เพื่อรับผลตอบแทนเหมือนเดิมได้ แต่ถ้าผลตอบแทนต่ำกว่าที่คาดไว้ สามารถทยอยแบ่งขาย LTF บางส่วน แล้วนำเงินมาพักในกองทุนความเสี่ยงต่ำ อย่างกองทุนตราสารหนี้แทนได้ “อย่าลืม : ในแง่ของผลตอบแทน เราควรนับรวม เงินปันผล ด้วย เพราะถ้ากองทุนที่เราลงทุนยังติดลบอยู่ แต่กองทุนนั้นจ่ายเงินปันผลให้เราอย่างสม่ำเสมอ รวมๆแล้ว เราอาจจะไม่ได้ขาดทุนอย่างที่คิดก็ได้” 2. เรารีบใช้เงิน หรือมีความจำเป็นต้องใช้เงินไหม ถ้าเป็นเงินเย็น สามารถถือ LTF ต่อ เพื่อรอจังหวะขายทำกำไรในอนาคต หรือถือเพื่อรอรับปันผล หากกองทุนที่เราลงทุน มีนโยบายจ่ายเงินปันผล เราจะได้มีเงินใช้ระหว่างลงทุนด้วย 3. เป้าหมายการลงทุนคืออะไร หรือ แผนการเงินของเราเป็นอย่างไร ถ้าเป้าหมายหลักของเราคือ การสะสมเงินก้อน ไว้ใช้จ่ายในอนาคต เราก็สามารถลงทุน LTF ต่อไปได้ แต่ถ้าเป้าหมายของเราคือ ต้องการลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษี ก็สามารถแบ่งขาย LTF บางส่วน แล้วไปถือ SSF หรือ RMF ให้เต็มสิทธิ์แทนได้ ซึ่งมีให้เลือกหลากหลายนโยบายตามความเสี่ยงที่รับได้ อย่างเช่น กองทุน K-SF-SSF และ RMF กองทุนความเสี่ยงต่ำ ที่มีนโยบายลงทุนในเงินฝาก ตราสารหนี้ภาครัฐ และเอกชน โอกาสรับผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝาก หรือ กองทุน K-GINCOME-SSF และ RMF ที่มีความเสี่ยง ปานกลาง กระจายการลงทุนในหุ้น และตราสารหนี้ทั่วโลก และ K-GINCOME-SSF ยังมีนโยบายจ่ายปันผล ปีละ ไม่เกิน 4 ครั้ง หรือใครรับความเสี่ยงได้สูง และอยากเติบโตไปกับหุ้นจีนระยะยาว ก็ลงทุนผ่านกองทุน K-CHINA-SSF และ RMF ได้เช่นกัน 3 คำถามสำคัญนี้ น่าจะทำให้เราตอบตัวเองได้ว่า เราจะจัดการกับ LTF ที่มีอยู่อย่างไรดี
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Finance_1260
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ สรุปข่าวสำคัญ 17 เหตุการณ์เด่นปี 2021
null
ในปี 2021 มีข่าวสำคัญที่เกิดขึ้นมากมาย เราจึงขอมาสรุปว่าในปีที่ผ่านมามีข่าวอะไรบ้าง เริ่มต้นวันที่ 6 มกราคม 2654 กลุ่มผู้ชุมนุมที่สนับสนุนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ บุกอาคารแคปปิตอล ที่ตั้งของสภาคองเกรสในสหรัฐอเมริกา เพื่อหยุดการรับรองผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2563 วันที่ 20 มกราคม 2654 มีพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาของโจ ไบเดน วันที่ 25 มกราคม 2564 ผู้ป่วยโควิด-19 ทั่วโลกเกิน 100 ล้านคน วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 กองทัพเมียนมา เข้ายึดอำนาจการปกครองจากออง ซาน ซูจี วันที่ 19 มีนาคม 2564 เกาหลีเหนือตัดความสัมพันธ์ทางการฑูตกับมาเลเซีย เพราะพลเมืองถูกส่งตัวไปสหรัฐฯ เพื่อเผชิญข้อหาการฟอกเงิน วันที่ 23 มีนาคม 2564 เรือบรรทุกคอนเทนเนอร์ Ever Given เกยตื้นและกีดขวางคลองสุเอซ วันที่ 29 พฤษภาคม 2564 ทีมฟุตบอลเชลซีคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 2021 วันที่ 3 กรกฎาคม 2564 เกิดไฟป่าในเขตแคนาดาตะวันตก เนื่องจากฟ้าผ่า วันที่ 8 กรกฎาคม 2564 ผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 มากกว่า 4 ล้านคน วันที่ 15 กรกฎาคม 2564 หลายประเทศในยุโรปเผชิญกับอุทกภัยที่รุนแรง วันที่ 4 สิงหาคม 2564 ผู้ป่วยโควิด-19 ทั่วโลกเกิน 200 ล้านคน วันที่ 15 สิงหาคม 2564 ตาลีบันบุกยึดกรุงคาบูล อัฟกานิสถาน วันที่ 7 กันยายน 2564 เอลซัลวาดอร์เป็นประเทศแรกของโลกที่ยอมรับสกุลเงินคริปโทฯ Bitcoin อย่างเป็นทางการ วันที่ 3 พฤศจิกายน 2564 เฟดประกาศปรับลดวงเงิน QE เป็นเดือนละ 15,000 ล้านดอลลาร์ วันที่ 11 พฤศจิกายน 2564 เงินเฟ้อในสหรัฐอเมริกา พุ่งสูงสุดในรอบ 30 ปี วันที่ 29 พฤศจิกายน 2564 กำเนิดโควิดสายพันธุ์ใหม่นามว่า โอมิครอน และวันที่ 16 ธันวาคม 2564 เฟดประกาศลดการทำ QE เร็วขึ้น 2 เท่า จาก 15,000 ล้านดอลลาร์ เป็น 30,000 ล้านดอลลาร์
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1266
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับกองทุน I-10
null
กองทุน I-10 อยู่ในกลุ่มหุ้นทั่วโลก มีนโยบายการลงทุนด้วยการกระจายเงินลงทุนในหุ้น ตราสารหนี้ หรือเงินฝาก โดยกองทุน I-10 จะเน้นการลงทุนในหลักทรัพย์เกี่ยวกับพลังงานแบบดั้งเดิม และพลังงานทางเลือก อัตราหุ้นจะสวนทางกับการลงทุนในต่างประเทศโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีมากกว่า 80% ของมูลค่าทรัพยสินสุทธิ มีกลยุทธ์การลงทุนคือ มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด เป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 8 และมีความเสี่ยงจากการกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรมพลังงาน และความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน บทเรียนจากย่อหน้านี้ กองทุน I-10 อยู่ในกลุ่มหุ้นทั่วโลก นโยบายกองทุน: กระจายเงินลงทุนในหุ้น ตราสารหนี้ และหรือเงินฝาก ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน ตลอดจนหลักทรัพย์และทรัพย์สินอื่น โดยเน้นลงทุนในหลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับพลังงานแบบดั้งเดิม และพลังงานทางเลือก (Traditional Energy and Alternative Energy) ทั้งทางตรงและทางอ้อม รวมทั้งลงทุนในกองทุน ETF เช่น กองทุน PowerShares DB Oil Fund ซึ่งเป็นกองทุนที่ลงทุนในสัญญาฟิวเจอร์สของนํ้ามันดิบ (WTI) เป็นต้น โดยมีอัตราสวนการลงทุนในต่างประเทศโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพยสินสุทธิ โดยกองทุน I-10 จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 8 กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management) ปัจจัยความเสี่ยงที่ควรทราบ: ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในหมวดอุตสาหกรรมพลังงาน และประเทศสหรัฐอเมริกา, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน) - มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: 10,000 บาท - มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: 1,000 บาท
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1272
Finance
เขียนโฆษณาแคมเปญเกี่ยวกับ : "สมาร์ทอินเวสต์: พลิกโฉมการลงทุนด้วย SSF RMF สุดจี๊ด" ให้หน่อย
null
"เตรียมพร้อมเพื่อการลงทุนที่แสนสะดวก กับโครงการพิเศษ 'ซื้อได้แล้ววันนี้!' จากบลจ. บัวหลวง'' "เปิดโอกาสการลงทุนที่สุดพิเศษ! รีบเข้าร่วมก่อนเสียใจ! วันนี้เราพร้อมที่จะให้คุณสัมผัสประสบการณ์การลงทุนที่ไม่เหมือนใคร! ด้วยโพยกองทุน SSF และ RMF สุดเจ๋งจาก บริษัทชั้นนำ บลจ. บัวหลวง" "ท้าให้ลงทุนทุกที่ทุกเวลา! สร้างฐานนิติบุคคลทางการเงินของคุณได้อย่างมั่นใจด้วยโพยกองทุน SSF และ RMF ที่มาพร้อมความเป็นเลิศและเสถียรภาพจากบลจ. บัวหลวง" "ไม่ต้องรอนาน! วันนี้เป็นเวลาที่ดีที่สุดในการเริ่มต้นการลงทุนของคุณ! รวมกองทุน SSF และ RMF ที่มีความเท่าเทียมกับความฝันของคุณไว้ในที่เดียว กับ บลจ. บัวหลวง" "เข้าสู่โลกของการลงทุนที่ทันสมัยและปลอดภัย! รับประสบการณ์การลงทุนที่ไม่เหมือนใครด้วยโพยกองทุน SSF และ RMF ที่มาพร้อมความมั่นคงจากบลจ. บัวหลวง" กองทุน SSF สุดจี๊ดจากบลจ.บัวหลวง 1. B-CHINESSF นโยบายกองทุน: ลงทุนใน กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นจีน (B-CHINE-EQ) เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ โดยกองทุน B-CHINESSF จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6 2. B-FUTURESSF นโยบายกองทุน: ลงทุนใน กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นเพื่อคนรุ่นใหม่ (B-FUTURE) เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ โดยกองทุน B-FUTURESSF จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6 กองทุน RMF สุดจี๊ดจากบลจ.บัวหลวง 1. B-CHINAARMF นโยบายกองทุน: ลงทุนในกองทุน Allianz China A-Shares – Class PT (USD) เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ โดยกองทุน B-CHINAARMF จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6 2. B-VIETNAMRMF นโยบายกองทุน: ลงทุนในหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประเทศเวียดนาม และ/หรือ บริษัทที่ดำเนินธุรกิจหรือได้รับประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศเวียดนาม และ/หรือหุ้นของผู้ประกอบการเวียดนามที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประเทศอื่น รวมทั้งหน่วย CIS และ/หรือกองทุน ETF ที่เน้นลงทุนในตราสารทุนประเทศเวียดนาม โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ โดยกองทุน B-VIETNAMRMF จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6 3. B-INNOTECHRMF นโยบายกองทุน: ลงทุนในกองทุน Fidelity Funds – Global Technology Fund – Class Y (USD) เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ โดยกองทุน B-INNOTECHRMF จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 7 **โฆษณาแคมเปญ "ซื้อได้แล้ววันนี้! รวมโพยกองทุน SSF RMF สุดจี๊ด จากบลจ. บัวหลวง" เน้นการเรียกให้คนที่สนใจการลงทุนเข้าร่วมโอกาสที่สุดพิเศษในการลงทุนกองทุน SSF และ RMF จาก บลจ. บัวหลวง ซึ่งสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าด้วยคุณภาพและเสถียรภาพของกองทุน โดยเน้นคำว่า "สุดจี๊ด" เพื่อเน้นความเป็นเลิศของกองทุน และเรียกผู้สนใจให้รีบเข้าร่วมก่อนจะพลาดโอกาสดีๆ ในการลงทุนในวันนี้ทันที!
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1274
Finance
บทสนทนาระหว่าง ชัญญาและมอลลี่ ในเรื่อง '' เสวนาการร่วมมือเพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจที่มั่นคง "
null
เรื่องนี้เป็นบทสนทนาที่มีลักษณะเป็นการอภิปรายเกี่ยวกับเรื่อง "นัย" จากสัปดาห์การประชุมธนาคารกลางโลกระหว่างชัญญาและมอลลี่ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากเนื่องจากมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างมาก ดังนั้น ขอนำเสนอบทสนทนาดังต่อไปนี้ ชัญญา : สวัสดีค่ะ มอลลี่ วันนี้เรามาพูดถึงเรื่อง "นัย" ที่สัปดาห์การประชุมธนาคารกลางโลก ซึ่งเป็นเรื่องที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างมาก เธอคิดยังไงกับเรื่องนี้บ้าง? มอลลี่ : สวัสดีชัญญา ในที่สุดเรื่อง "นัย" ก็กลายเป็นเรื่องราวที่คนทั่วไปก็ต้องสนใจกันอยู่แล้วนะคะ มันมีผลกระทบที่สำคัญต่อการเงินและเศรษฐกิจของหลายประเทศอย่างแน่นอน เรา ควรมีการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่างประเทศเพื่อหาทางแก้ไขปัญหาทางการเงินที่เกิดขึ้น เช่นการส่งเสริมการควบคุมสกุลเงิน เพื่อลดความผันผวนทางการเงิน และการเพิ่มความมั่นคงให้กับตลาดการเงิน ชัญญา : ใช่เลย!! น่าสนใจมากค่ะ การประชุมครั้งนี้มีเป้าหมายที่จะสร้างความเข้าใจร่วมกันเกี่ยวกับเรื่อง "นัย" และมีมาตรการในการแก้ไขปัญหาทางการเงินต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เราควรมีแนว ทางการแก้ไขอย่างไร? การมีความร่วมมือระหว่างประเทศจะเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจโลกได้อย่างแท้จริง เราควรทำงานร่วมกันอย่างเต็มที่ มอลลี่ : เราควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการทางการเงินและลดความเสี่ยงในอนาคต การมีการพัฒนาทั้งด้านการทำงานร่วมกันระหว่างประเทศและการนำเทคโนโลยีมาใช้ให้เหมาะสมจะช่วยเพิ่มความเสถียรให้กับระบบการเงินและเศรษฐกิจในอนาคต รักษาความโปร่งใสในการดำเนินการทางการเงินอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดการเงินและผู้ลงทุน ชัญญา : ดีมากเลย การพัฒนาเทคโนโลยีจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้เราเตรียมความพร้อมในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในระบบการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ การมีการทำงานร่วมกันและการใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้เราเตรียมความพร้อมในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในระบบการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นไปตามที่บอกคะ ความโปร่งใสและความเชื่อมั่นในตลาดการเงินเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยเพิ่มความมั่นคงให้กับเศรษฐกิจโลกได้อย่างแท้จริง มอลลี่ : ใช่ ดังนั้น เราควรรักษาความโปร่งใสและความเชื่อมั่นในตลาดการเงินอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับเศรษฐกิจโลก ชัญญา : ขอบคุณมากกับคำแนะนำดีๆ การรักษาความโปร่งใสและความเชื่อมั่นในตลาดการเงินจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยเพิ่มความมั่นคงให้กับเศรษฐกิจโลกได้อย่างแท้จริง มอลลี่ : ไม่เป็นไรค่ะ การรักษาความโปร่งใสและความเชื่อมั่นในตลาดการเงินเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เรามีเศรษฐกิจที่มั่นคงและเจริญรุ่งเรืองได้อย่างยั่งยืน ชัญญา : ถูกต้อง ขอบคุณมากครับ มันเป็นการพูดคุยที่น่าสนใจและสอดคล้องกับเรื่อง "นัย" อย่างแท้จริง มอลลี่ : ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณที่มาพูดคุยกันค่ะ มันเป็นประสบการณ์ที่น่าสนใจและมีประโยชน์มากๆ ค่ะ **บทสนทนาด้านบนเป็นตัวอย่างของการอภิปรายเกี่ยวกับเรื่อง "นัย" ระหว่างชัญญาและมอลลี่ ในสัปดาห์การประชุมธนาคารกลางโลก ซึ่งเน้นให้ความสำคัญกับความเสถียรภาพทางการเงินและการทำงานร่วมกันของประเทศในการแก้ไขปัญหาทางการเงินในอนาคต
5.ความรู้ทางการเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1275
Finance
แนะนำหน่อยว่า หุ้น Mercado Libre คือหุ้นอะไร
null
Mercado Libre ได้รับการยอมรับว่าเป็นเหมือน Alibaba ของทวีปอเมริกาใต้ มีธุรกิจครอบคลุมทั้ง E-Commerce และ FinTech พร้อมสเกลโตต่ออีกหลายเท่า Mercado Libre (NASDAQ: MELI) เป็นบริษัทอีคอมเมิร์ซที่ใหญ่ที่สุดในลาตินอเมริกา โดยบริษัทเป็นหนึ่งในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากสถานการณ์โควิดที่ผ่านมาเนื่องจาก ผู้คนต้องหันมาซื้อของออนไลน์มากขึ้นทำให้รายได้ของบริษัทเติบโตอย่างก้าวกระโดด ซึ่งปัจจุบัน Mercado libre มีผู้ใช้งานกว่า 79 ล้านรายในแพลตฟอร์ม Mercado Libre ประกอบธุรกิจหลัก ๆ ด้วยกัน 6 อย่าง Mercado Libre → แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ (คล้าย Amazon) Mercado Pago → ผู้ให้บริการเครื่องชำระเงินแบบดิจิตอลสำหรับร้านค้าผ่านเครื่องรูดบัตร POS รวมถึงแพลตฟอร์ม Digital Wallet (คล้าย Square) Mercado Envios → ผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ Mercado Shops → ผู้ให้บริการสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการหน้าร้านค้าออนไลน์เป็นของตัวเอง (คล้าย Shopify) Mercado Libra Publicitat → แพลตฟอร์มเกี่ยวกับสื่อโฆษณาออนไลน์ Mercado Credito → ผู้ให้บริการปล่อยสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการและลูกค้า รายได้ Mercado Libre เติบโตแบบก้าวกระโดด ปี 2018 มีรายได้ 1,440 ล้านดอลลาร์ ปี 2019 มีรายได้ 2,296 ล้านดอลลาร์ ปี 2020 มีรายได้ 3,973 ล้านดอลลาร์ โอกาสการเติบโต E-Commerce Penetration ใน Latin America ยังต่ำ เราเชื่อว่าธุรกิจอีคอมเมิร์ซในประเทศแทบ Latin America ยังมีโอกาสเติบโตอีกมากถึงแม้ว่าจะมีดีมานด์ที่เพิ่มสูงขึ้นมากไปแล้วในช่วงสถานการณ์โควิด โดยถ้าเราดูจาก E-commerce Penetration ของประเทศในแทบนี้อย่าง Brazil Mexico หรือ Chile จะเห็นได้ว่ายังอยู่ในระดับที่ต่ำมากที่ประมาณ 8-12% เทียบกับประเทศอย่างอเมริกาที่กว่า 20% และอย่างจีนที่เกือบ 30%
6.ข้อมูลการเงินรายบริษัท
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1276
Finance
5 ปัจจัยที่น่าจับตามองในการลงทุนปี 2022 มีอะไรบ้าง?
null
1. โอมิครอน และการกลายพันธ์ุของโควิด ผลกระทบทางเศรษฐกิจจะลดน้อยลงเรื่อย ๆ ถึงแม้ความรุนแรงจะลดลงเรื่อย ๆ แต่มันก็มีผลต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจทั่วโลกอย่างแน่นอน โอกาสที่เฟดจะกลับมาใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกครั้งก็มีความเป็นไปได้ ซึ่งอาจจะส่งผลบวกต่อราคาทองคำในปีหน้า 2. เงินเฟ้อพุ่งสู่ระดับสูงสุดในรอบ 40 ปี เพราะมองไปรอบตัวเราตอนนี้ถึงเศรษฐกิจจะไม่ค่อยดีแต่ข้าวของไม่ได้มีทีท่าว่าจะถูกลงเลย การที่เงินเฟ้อพุ่งแรงจนเศรษฐกิจโตตามไม่ทันจะทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าตัวเองกำลังซื้อของได้น้อยลง หรือจนลงนั่นเองทำให้ไม่อยากใช้จ่าย จนส่งผลต่อเศรษฐกิจถดถอยได้ มีโอกาส 50 / 50 ที่เงินเฟ้อจะถูกควบคุมไว้ได้ในกลางปีหน้า เพราะสหรัฐฯ อาจใช้อำนาจบางอย่างในการควบคุมราคาน้ำมันก็ได้ และหากทำสำเร็จเงินเฟ้อก็จะถูกควบคุมได้ไม่ยาก ถ้าควบคุมเงินเฟ้อได้ภายในกลางปีหน้า แบบนี้ส่งผลลบต่อราคาทองคำ อาจทำให้ทองคำเป็นขาลงได้เลย และในกรณีนี้หุ้นทั่วโลกจะได้รับผลบวกเต็ม ๆ 3. เศรษฐกิจจีนหยุดชะงักจากปัญหาวิกฤติอสังหาริมทรัพย์ การขาดแคลนพลังงาน และการคุมเข้มของรัฐบาลจีน อาจมองว่าจีนกำลังเข้าสู่เศรษฐกิจถดถอย จากวิกฤติอสังหาริมทรัพย์ แต่จีนยังมีอาวุธทางการเงินอีกเยอะ เช่น อัตราดอกเบี้ยของจีนยังอยู่ที่ระดับ 3% กว่า ยังมีช่องว่างให้กดลงเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจได้อีกเยอะ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อทองคำมาก ๆ เพราะในจังหวะที่เศรษฐกิจจีนถดถอย ก็จะทำให้เศรษฐกิจโลกถดถอยไปด้วย 4. ความวุ่นวายทางการเมืองในยุโรป จากการเลือกตั้ง ปธน.อิตาลี และปธน.ฝรั่งเศส ในช่วงต้นปีหน้า ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจอยู่ในความเครียด มักมาคู่กับการเมืองที่อ่อนแอ การเลือกตั้ง ปธน. ของ 2 ประเทศนี้ อาจมีส่วนทำให้เกิดเศรษฐกิจถดถอยได้ แต่อาจไม่กระทบทั่วโลกมากนักเพราะไม่ใช้มหาอำนาจอย่างจีน อาจส่งผลต่อราคาทองในระยะสั้นเท่านั้น 5. ความเลื่อมล้ำทางการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ทำให้บางประเทศค่าเงินเสื่อมค่าอย่างรุนแรง นำไปสู่ประเด็นทางการเมือง เช่น ความวุ่นวายทางการเมืองในบราซิล, ประเด็นจีน-ไต้หวัน ในปี 2022 สาเหตุที่สกุลเงินในประเทศที่อ่อนแอจะถูกซ้ำเติม เนื่องจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในประเทศที่มีบริษัทเทคโนโลยีเยอะ ๆ จะฟื้นตัวได้ไวกว่า ส่วนประเทศที่ไม่มีธุรกิจยุคใหม่เลย จะเจอปัญหาหนี้ที่ทำให้การเติบโตหรือจะกู้เพิ่มขึ้นเป็นเรื่องยาก ดังนั้นเงินทุนจะไหลเข้าสู่ประเทศที่มีธุรกิจเทคฯ ยุคใหม่มากขึ้น เนื่องจากบริษัทเหล่านี้หนี้น้อย ต่อให้ปีหน้าเฟดขึ้นดอกเบี้ย 3 steps จริง ๆ ก็ไม่กระทบผลประกอบการบริษัทเทคฯ เท่าไหร่ แต่ในทางกลับกัน ธุรกิจยุคเก่าที่เต็มไปด้วยนี้ จะถูกกดดันอย่างมากจากการที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยมากขึ้นหลายเท่า ซึ่งปัญหานี้จะเกิดขึ้นพร้อมกันทั่วโลก เมื่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจไม่เท่ากันก็จะส่งผลให้ค่าเงินของประเทศที่ฟื้นช้าเกิดการอ่อนค่า ซึ่งหลายประเทศในโลกก็จะค่าเงินเสือมค่า เพราะส่วนใหญ่เติบโตมาด้วยธุรกิจยุคเก่าเป็นหลัก ทำให้ประชาชนในประเทศเหล่านั้นจะเข้าซื้อทองคำเพื่อหลบออกจากการเสื่อมค่าของสกุลเงินนั้นๆ
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1278
Finance
เขียนแคมเปญเกี่ยวกับเรื่อง "เรียนรู้และใช้สิทธิลดหย่อนภาษีอย่างเต็มประสิทธิภาพ"
null
แนวคิดของแคมเปญ "5 ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสิทธิลดหย่อนภาษี" จะเน้นการแก้ความเข้าใจที่ผิดเกี่ยวกับสิทธิพิเศษในการลดหย่อนภาษีของประชากร โดยมุ่งเน้นที่การเพิ่มความเข้าใจให้กับประชากรทั่วไปเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากสิทธิพิเศษดังกล่าวได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ดังนั้น แนวคิดหลักของแคมเปญอาจประกอบด้วยข้อความดังนี้ 1. ไม่ใช่ทุกคนสามารถใช้สิทธิลดหย่อนได้ : การเข้าใจผิดว่าสิทธิลดหย่อนภาษีนั้นมีเงื่อนไขและข้อจำกัด ไม่ใช่ทุกคนสามารถใช้ได้โดยอัตโนมัติ เช่น การมีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด หรือการมีรายได้จากงานอิสระ ที่อาจไม่มีสิทธิลดหย่อนเท่ากับการทำงานในสถานประกอบการตามปกติ 2. เงินบริจาคสามารถลดหย่อนได้ทุกกรณี : มีความเข้าใจผิดว่าการบริจาคเงินเสมอจะสามารถลดหย่อนภาษีได้ทุกกรณี แต่ความจริงแล้วมีเงื่อนไขและข้อบังคับที่ต้องปฏิบัติ เช่น การบริจาคให้กับหน่วยงานที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 3. การลดหย่อนภาษีคือการหลีกเลี่ยงภาระภาษีอย่างไม่ถูกต้อง : ความเข้าใจผิดว่าการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเป็นการหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอย่างไม่ถูกต้อง แต่จริงๆ แล้วการลดหย่อนภาษีเป็นสิทธิที่รัฐบาลให้แก่ประชาชนเพื่อส่งเสริมกิจกรรมที่มีประโยชน์ต่อสังคม เช่น การลงทุนในกิจการที่สร้างงาน 4. สิทธิลดหย่อนภาษีมีแค่หนึ่งวิธี : มีความเข้าใจผิดว่าสิทธิลดหย่อนภาษีมีแค่หนึ่งวิธีเท่านั้น เช่นการลดหย่อนด้านรายได้เท่านั้น แต่ความจริงแล้วยังมีวิธีอื่นๆ อีกมากมาย เช่น การลดหย่อนด้านค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น การลดหย่อนค่าฝุ่นละออง หรือการลดหย่อนด้านการลงทุนในกลุ่มเสี่ยง 5. การใช้สิทธิลดหย่อนภาษีมีความซับซ้อน: บางครั้งมีความเข้าใจผิดว่าการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและยุ่งยาก แต่จริงๆ แล้วหลายๆ สิทธิลดหย่อนมีขั้นตอนและเงื่อนไขที่ไม่ซับซ้อนมากนัก และสามารถเข้าถึงข้อมูลเพิ่มเติมได้จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือการปรึกษาทางการเงิน ด้วยการทำแคมเปญเช่นนี้ จะช่วยเพิ่มความเข้าใจและการรับรู้เกี่ยวกับสิทธิลดหย่อนภาษีในประชากร และส่งเสริมให้ประชาชนนำสิทธิพิเศษดังกล่าวไปใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและถูกต้องตามกฎหมายที่กำหนดไว้ ทำให้มีการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นประโยชน์ต่อทั้งส่วนตัวและสังคมอย่างยั่งยืน
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1282
Finance
ข้อใดไม่ใช่ 5 ธนาคารกลางหลักของโลก ตามขนาดของเศรษฐกิจ ปี 2564
ก. ธนาคารกลางสหรัฐ ข. ธนาคารกลางญี่ปุ่น ค. ธนาคารกลางยุโรป ง. ธนาคารกลางแห่งประเทศไทย
คำตอบที่ถูกต้องคือ ง. เพราะว่า วันนี้ โลกแห่งธนาคารกลาง กำลังถูกแบ่งออกเป็น 2 ขั้ว นั่นคือ ขั้วที่ยังคงกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการเงินผ่อนคลายต่อไปหรือมากขึ้นอีก กับ ขั้วที่ได้เปลี่ยนหรือเตรียมจะเปลี่ยนเข้าสู่โหมดการทำให้นโยบายการเงินตึงตัว บทความนี้ จะลองมาไล่เลียงกันใน 5 ธนาคารกลางหลักของโลก ตามขนาดของเศรษฐกิจ ดังนี้ 1. ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด ซึ่งในขณะนี้ ได้เปลี่ยนเข้าสู่โหมดการทำให้นโยบายการเงินตึงตัวมากขึ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยในการประชุมเฟดครั้งล่าสุดเดือนธันวาคม ที่ผ่านมา เจย์ พาวเวล ประธานเฟด ได้ประกาศเพิ่มความเร็วในการลด QE ให้เร็วขึ้น มาสิ้นสุดการซื้อพันธบัตรในเดือนมีนาคม ปี 2022 รวมถึง Dot plot หรือความเห็นของสมาชิกเฟดต่ออัตราดอกเบี้ยและเศรษฐกิจในอนาคต ปรากฏว่าเสียงส่วนใหญ่ของผู้ว่าเฟดในรัฐต่างๆประเมินว่าการขึ้นดอกเบี้ยร้อยละ 0.75 ในปีหน้า โดยที่ยังมองว่าเงินเฟ้อที่ขึ้นมาจากการที่อุปทานเกิดติดขัด (Supply Disruption) ซึ่งจะจบลงได้เองในที่สุด โดยมองอัตราเงินเฟ้อรวมในปีนี้ เพิ่มจากร้อยละ 4.2 เป็นร้อยละ 5.3 และ อัตราเงินเฟ้อรวมที่ไม่รวมอาหารและพลังงานในปีนี้ เพิ่มจากร้อยละ 3.7 เป็นร้อยละ 4.4 ส่วนในปีหน้า มองไว้ที่ร้อยละ 2.6 และ 2.7 ตามลำดับ 2. ธนาคารกลางยุโรป หรืออีซีบี ซึ่งอยู่ในขั้วที่ยังคงกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการเงินต่อไปหรือมากขึ้นอีกนั้น คริสติน ลาการ์ด ประธานอีซีบี มองว่าแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อในฟากของยุโรปนั้น มีความแตกต่างจากฝั่งสหรัฐ โดยอีซีบีมองว่าแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อยุโรปมีลักษณะที่เป็นแบบที่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราว โดยคาดว่าจะลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญในช่วงกลางปีหน้า ดังนั้นอีซีบีจึงประเมินว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของยุโรปจะยังคงอยู่ในระดับต่ำไปอย่างน้อยจนถึงต้นปี 2023 เป็นอย่างเร็วสุด รวมถึงมีความเป็นไปได้ว่าจะยังคงนโยบายการเงินที่ใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณหรือ QE ต่อไปอีกในปีหน้า อย่างไรก็ดี จากการที่เฟดซึ่งเป็นธนาคารกลางที่ทรงอิทธิพลที่สุดของโลกได้เปลี่ยนมาใช้นโยบายการเงินแบบตึงตัวมากขึ้นแล้วนั้น จึงจำเป็นที่การสื่อสารในส่วนของนโยบายการเงินของตนเองต้องทำในรูปแบบที่ไม่แสดงถึงความแตกต่างกับโทนของเฟดให้มากเกินไป ซึ่งตรงนี้ ถือเป็นความท้าทายที่คริสติน ลาการ์ด ต้องยืนอยู่ที่จุดกึ่งกลางของแนวทางทั้งสองประการให้พอดี ซึ่งถือว่าไม่ใช่เรื่องง่ายสักเท่าไรนัก 3. ธนาคารกลางญี่ปุ่น จากการที่ ฟูมิโอ คิชิดะ นายกรัฐมนตรีท่านใหม่ของญี่ปุ่น มีนโยบายเน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ อันประกอบด้วย มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการคลังและการเงิน ซึ่งจะยังคงอัตราภาษีการบริโภคและนโยบายเงินเฟ้อเป้าหมายที่ร้อยละ 2 เอาไว้ รวมถึงขยายขอบเขตของนโยบายอะเบโนมิคส์ให้หมายรวมถึงการช่วยเหลือบริษัทขนาดเล็กและการเพิ่มระดับค่าจ้างนั้น นั่นมีนัยยะว่าได้ไฟเขียวให้ ฮารูอิโกะ คูโรดา ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น ดำเนินนโยบายการเงินแบบที่ผ่อนคลายให้เต็มที่ ซึ่งจากการที่ญี่ปุ่นเองไม่มีปัญหาอัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้นเหมือนประเทศอื่น ๆ จึงทำให้คูโรดาสามารถใส่เกียร์กระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายต่อได้ แบบไม่มีอะไรจะกังวลมากนักในช่วงระยะสั้น 4. ธนาคารกลางอังกฤษ ต้องถือว่าเป็นแบงก์ชาติเดียว ในตอนนี้ ที่มีความกดดันจากปัจจัย 2 ประการที่มีความขัดแย้งกัน โดยในทางหนึ่ง เศรษฐกิจอังกฤษ ล่าสุด ตัวเลขจีดีพีเดือนตุลาคม ออกมาเติบโตเพียงร้อยละ 1 โดยขนาดเศรษฐกิจยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าช่วงก่อนโควิดอยู่ร้อยละ 0.5 โดยขนาดจีดีพีสหรัฐได้สูงกว่าช่วงก่อนโควิดไปตั้งแต่กลางปีแล้ว ในขณะที่ตัวเลขเงินเฟ้อ CPI อังกฤษ เดือนพฤศจิกายน ออกมาเติบโต 5.1% เทียบกับปีที่แล้ว (Core CPI ซึ่งไม่รวมอาหารและพลังงานออกมาเติบโต 4%) ซึ่งถือว่าสูงสุดในรอบ 10 ปี ตรงนี้ จึงทำให้ธนาคารกลางอังกฤษ ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบว่าจะเปลี่ยนมาขั้วที่ทำให้นโยบายการเงินตึงตัวขึ้น หรือขึ้นดอกเบี้ยนโยบายซึ่งตอนนี้อยู่ที่ร้อยละ 0.1 ในช่วงเวลาใดในระยะเวลาอันใกล้นี้ ถึงจะมีความเหมาะสมที่สุด 5. ธนาคารกลางอินเดีย อยู่ในสถานการณ์ที่มีความกึ่งกลางระหว่าง 2 ขั้ว ว่าจะไปทางไหนต่อดี โดยมีโอกาสที่จะเปลี่ยนมาขั้วที่ทำให้นโยบายการเงินตึงตัวขึ้น ในระยะเวลาต่อไปมากกว่า โดยโจทย์ของธนาคารกลางอินเดีย คือ ทำให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ในกรอบระหว่างร้อยละ 2-6 ให้ได้ โดยที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม หากพิจารณาจากคาดการณ์เงินเฟ้อและภาวะเศรษฐกิจของธนาคารกลางอินเดีย จะพบว่าอัตราเงินเฟ้อในช่วงอีก 1 ปีข้างหน้า จะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 6 ดังรูป ในขณะที่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ จะอยู่ที่เกือบร้อยละ 7 โดยมองว่าอาจจะขึ้นไปได้มากกว่านี้ได้เล็กน้อยนั้น อาจจะมีความเป็นไปได้ว่าธนาคารกลางอินเดียอาจจะขยับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 4 ในช่วงปลายไตรมาสแรกจนถึงกลางปีหน้า
4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_1285
Finance
นับตั้งแต่ปี 2563 ซึ่งเป็นช่วงแรกที่ COVID–19 ระบาด หุ้นกลุ่ม Cloud Computing สร้างผลตอบแทนได้เท่าไหร่ ระหว่าง 84.25% หรือ 77.08%
null
77.08% เพราะนับตั้งแต่ปี 2563 ซึ่งเป็นช่วงแรกที่ COVID–19 ระบาด หุ้นกลุ่ม Cloud Computing สร้างผลตอบแทนได้ถึง 77.08% ส่วน 84.25% เป็นผลตอบแทนที่สร้างได้จากหุ้นกลุ่ม Video Games และ Esports กระแสความร้อนแรงของ Metaverse ที่มีชื่อเรียกในภาษาไทยว่า “จักรวาลนฤมิต” นั้น เป็นเทรนด์การลงทุนที่ธนาคารทิสโก้แนะนำให้โฟกัสเป็นพิเศษ นั่นก็เป็นเพราะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธีมการลงทุนนี้ นอกจากจะมีความน่าสนใจและจะมีบทบาทอย่างมากในโลกอนาคตแล้ว สำหรับในระยะใกล้นี้เอง ก็มีความโดดเด่นไม่แพ้กัน หากหลังจากนี้ประเทศต่าง ๆ ต้องตัดสินใจ Lockdown อีกครั้ง จากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID–19 ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Metaverse ก็จะยังสามารถเติบโตสวนทางกับธุรกิจกลุ่มวัฏจักรเศรษฐกิจ (Cyclical) เช่น หุ้นกลุ่มพลังงาน (Energy) กลุ่มธุรกิจการเงิน (Financials) กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม (Industrials) และกลุ่มสายการบิน (Airlines) ซึ่งมีแนวโน้มปรับตัวลดลงจากไวรัสได้ โดยธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Metaverse ซึ่งธนาคารทิสโก้แนะนำให้ลงทุน ได้แก่ “Esports” ธุรกิจด้านเกมและกีฬาอิเล็กทรอนิกส์ และ “Cloud Computing” ธุรกิจเบื้องหลังความสำเร็จของเทคโนโลยีแห่งอนาคต เนื่องจากที่ผ่านมาทั้ง 2 ธุรกิจนี้ได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่า สามารถสร้างผลตอบแทนได้เป็นอย่างดี แม้จะต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของไวรัส เห็นได้จากข้อมูลในอดีตนับตั้งแต่ปี 2563 ซึ่งเป็นช่วงแรกที่ COVID–19 ระบาด หุ้น “Esports” และ “Cloud Computing” ก็สามารถสร้างผลตอบแทนก้าวกระโดด โดยหุ้นกลุ่ม Video Games และ Esports สร้างผลตอบแทนได้สูงถึง 84.25% และหุ้นกลุ่ม Cloud Computing สร้างผลตอบแทนได้ถึง 77.08%
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1286
Finance
Semiconductor Manufacturing International (SMIC) คืออะไร
null
Semiconductor Manufacturing International (SMIC) คือ ผู้ผลิต chip หรือ Semiconductor รายใหญ่ที่สุดของจีนที่ถูกก่อตั้งมากว่า 20 ปี และที่สำคัญเป็นบริษัทที่เทคโนโลยีการผลิตล้ำหน้าที่สุดในจีน เหนือกว่าโรงงานอื่น ๆ มาก (SMIC พวก processor ต่าง ๆ เช่น CPU ในคอมพิวเตอร์ หรือ chip อื่น ๆ ที่ใช้ในมือถือ) พูดว่าล้ำหน้าที่สุด แต่ยังคงตามหลังไต้หวันเกินกว่า 5 ปี และไปต่อไม่ได้ โดยหากวัดความล้ำหน้าทางเทคโนโลยีด้วยขนาด chip ที่ผลิตได้ (ยิ่งเล็ก ยิ่งดี) SMIC ยังค้างเติ่งที่ 14nm เนื่องจากถูกแบน ส่วนทาง TSMC ของไต้หวันผลิต 5nm กันแล้ว) รัฐบาลจีนจึงผลักดันสุด ๆ ร่วมทุนตั้งโรงงานกันเลย เมื่อย้อนดูรายได้ของ SMIC ที่ผ่านมา ปี 2018 มีรายได้ประมาณ 3,360 ล้านดอลลาร์ ปี 2019 มีรายได้ประมาณ 3,120 ล้านดอลลาร์ ปี 2020 มีรายได้ประมาณ 3,910 ล้านดอลลาร์ จนมาก้าวกระโดดในปี 2021 คาดจะปิดปี ได้ราว 5,450 ล้านดอลลาร์ งบไตรมาส 3 ปี 2021 เติบโตดี Margin เพิ่ม แต่ SMIC ประกาศรายได้อยู่ที่ $1,415.3 million +30.7% YoY และมีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ $467.9 million +78.6% YoY โดยสาเหตุที่เติบโตขึ้นมาจากการที่บริษัทมีสัดส่วนรายได้ที่มาจากชิป 55/65 nm และ 0.15/0.18 micron chip เพิ่มสูงขึ้นเพราะราคาของ Semiconductor สูงขึ้น (เทคโนโลยีเก่า โรงงานสร้างใหม่ ๆ ก็เลยไม่ผลิตสินค้าพวกนี้ แต่ demand ซื้อยังมีอยู่ เลยรับส้มหล่นไปเต็ม ๆ) บริษัทให้ Guidance รายได้ในไตรมาส 4 ปี 2021 ที่ $1,570 – 1,598 million เติบโตขึ้น 11-13% QoQ โดยมี Gross Margin ที่ประมาณ 31-33% ซึ่งบริษัทเชื่อว่าปัญหา Capacity Shortage ที่มีไม่พอกับความต้องการของลูกค้าจะยังคงเกิดขึ้นไปจนถึงปี 2022 และการเติบโตของปี 2022 จะขึ้นอยู่กับการขยายกำลังการผลิตของปี 2021 โดยบริษัทได้ประกาศลงทุนสร้างโรงงานขนาดใหญ่ที่สุดของตัวเอง มูลค่า $8.9 billion
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน,6.ข้อมูลการเงินรายบริษัท
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1288
Finance
การทดสอบ Moving Average ในการลงทุนใน ETF โดยใช้ Moving Average แบบ Exponential ที่ 150 วันเป็นตัวทดสอบนั้น มีการทดสอบอย่างไร
1. ETF ตัวเดียว การทดสอบจะใช้ SPY ETF ซึ่งเป็นเปรียบได้กับการลงทุนใน S&P500 Index จากการทดสอบจะเห็นว่า แม้ว่า ผลตอบแทนรวมของการใช้ Moving Average จะน้อยว่าผลตอบแทนรวมของการไม่ได้ใช้ แต่ผลดี คือ ความผันผวนจะลดลงต่ำลงมาก ส่งผลให้ Share Ratio (ผลตอบแทนต่อความเสี่ยง) ของการใช้ Moving Average สูงกว่า ไม่ได้ใช้ Moving Average ในปี 2020 ปีที่เจอ COVID-19 และ ปี 2008 ที่เจอวิกฤติสินเชื่อซับไพรม์ จะเห็นว่าการใช้ Moving Average ที่ 150 วัน จะช่วยปัองกันการเกิด Max Drawdown ยามเกิดวิกฤติของตลาดหุ้น 2. พอร์ตการลงทุนแบบหุ้นแบบ Global ETF เป็นการลงทุนใน ETF ที่จะกระจายทั่วโลก แต่สัดส่วนยังคงเป็นหุ้นอเมริกา ทดสอบทั้งไม่มี Moving Average (buy and hold) และ มี Moving Average ผลการทดสอบก็ได้เหมือนข้อที่ 1 คือ การใช้ค่า Moving Average 150 วันที่ช่วยเรื่องความผันผวนและก็จะต้องเจอ Max Drawdown อย่างมีนัยยะสำคัญ ส่งผลต่อ Sharpe Ratio ด้วยเช่นกัน ในปี 2020 ปีที่เจอ COVID-19 และปี 2008 ที่เจอวิกฤติสินเชื่อซับไพรม์ จากการทดสอบในปีที่เกิดวิกฤติของตลาดหุ้น จะพบว่า การใช้ Moving Average จะใช้ป้องกัน Max Draw ได้ดี และทำให้ความผันผวนต่ำกว่ากลยุทธ์ที่ไม่มี 3. บทสรุปของกลยุทธ์เส้นค่าเฉลี่ย ข้อดีที่ชัดเจนในการเพิ่มกลยุทธ์เส้นค่าเฉลี่ย คือ ลด Max Drawdown และความผันผวนของพอร์ตการลงทุน ไม่ใช่เป็นเรื่องเพิ่มผลตอบแทนแต่อย่างใด ดังนั้น ถ้าเป็นนักลงทุนที่ระยะยาวที่ไม่รู้สึกหวั่นไหวต่อความผันผวนและ Max Drawdown จำนวนมาก กรณีถ้าเกิดวิกฤติขึ้น ก็ไม่จำเป็นต้องใช้กลยุทธ์นี้ก็ได้เป็นโอกาสดีเสียอีกที่จะลงทุนเพิ่มตอนตลาดหุ้นตกหนัก
การทดสอบ Moving Average ในการลงทุนใน ETF โดยใช้ Moving Average แบบ Exponential ที่ 150 วันเป็นตัวทดสอบ 1. ETF ตัวเดียว การทดสอบจะใช้ SPY ETF ซึ่งเป็นเปรียบได้กับการลงทุนใน S&P500 Index จากการทดสอบจะเห็นว่า แม้ว่า ผลตอบแทนรวมของการใช้ Moving Average จะน้อยว่าผลตอบแทนรวมของการไม่ได้ใช้ แต่ผลดี คือ ความผันผวนจะลดลงต่ำลงมาก ส่งผลให้ Share Ratio (ผลตอบแทนต่อความเสี่ยง) ของการใช้ Moving Average สูงกว่า ไม่ได้ใช้ Moving Average ในปี 2020 ปีที่เจอ COVID-19 และ ปี 2008 ที่เจอวิกฤติสินเชื่อซับไพรม์ จะเห็นว่าการใช้ Moving Average ที่ 150 วัน จะช่วยปัองกันการเกิด Max Drawdown ยามเกิดวิกฤติของตลาดหุ้น 2. พอร์ตการลงทุนแบบหุ้นแบบ Global ETF เป็นการลงทุนใน ETF ที่จะกระจายทั่วโลก แต่สัดส่วนยังคงเป็นหุ้นอเมริกา ทดสอบทั้งไม่มี Moving Average (buy and hold) และ มี Moving Average ผลการทดสอบก็ได้เหมือนข้อที่ 1 คือ การใช้ค่า Moving Average 150 วันที่ช่วยเรื่องความผันผวนและก็จะต้องเจอ Max Drawdown อย่างมีนัยยะสำคัญ ส่งผลต่อ Sharpe Ratio ด้วยเช่นกัน ในปี 2020 ปีที่เจอ COVID-19 และปี 2008 ที่เจอวิกฤติสินเชื่อซับไพรม์ จากการทดสอบในปีที่เกิดวิกฤติของตลาดหุ้น จะพบว่า การใช้ Moving Average จะใช้ป้องกัน Max Draw ได้ดี และทำให้ความผันผวนต่ำกว่ากลยุทธ์ที่ไม่มี 3. บทสรุปของกลยุทธ์เส้นค่าเฉลี่ย ข้อดีที่ชัดเจนในการเพิ่มกลยุทธ์เส้นค่าเฉลี่ย คือ ลด Max Drawdown และความผันผวนของพอร์ตการลงทุน ไม่ใช่เป็นเรื่องเพิ่มผลตอบแทนแต่อย่างใด ดังนั้น ถ้าเป็นนักลงทุนที่ระยะยาวที่ไม่รู้สึกหวั่นไหวต่อความผันผวนและ Max Drawdown จำนวนมาก กรณีถ้าเกิดวิกฤติขึ้น ก็ไม่จำเป็นต้องใช้กลยุทธ์นี้ก็ได้เป็นโอกาสดีเสียอีกที่จะลงทุนเพิ่มตอนตลาดหุ้นตกหนัก
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Closed QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1289
Finance
ในปี 2021 ตลาดทายผิดแทบทั้งหมด เป็นผลมาจากอะไร ระหว่าง นโยบายที่กลับทิศ หรือ เงินดอลลาร์จะแข็งค่า
null
นโยบายที่กลับทิศ เพราะในปี 2021 ตลาดทายผิดแทบทั้งหมด เป็นผลมาจากนโยบายที่กลับทิศ และประมาทกับเงินเฟ้อ ปลายปี 2020 Consensus ทายว่าหุ้นทั่วโลกจะปรับตัวขึ้นนำโดย EM ยีลด์จะสูงไม่เกิน 1.2% และดอลลาร์จะอ่อนซึ่งผิดทั้งหมด ดีกว่าตลาดเล็กน้อยที่พยากรณ์ว่ายีลด์จะสูงกว่านั้น แต่ก็ผิดเรื่องการฟื้นตัวของจีน จนต้องกลับคำแนะนำตั้งแต่ต้นปีเช่นกัน ปัญหาหลักของตลาด คือ “Recency Bias” หรือการอิงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดเป็นตัวคาดเดาอนาคตมากเกินไป เพราะที่จริง ทางการจีนส่งสัญญาณเตือนตั้งแต่ช่วงปลายปี 2020 ว่าจะมีการควบคุมธุรกิจเทคโนโลยีมากขึ้นและกระตุ้นเศรษฐกิจน้อยลง แต่ตลาดกลับไม่เชื่อว่าทางการจีนจะเลือกปรับสมดุลในช่วงที่เศรษฐกิจพึ่งฟื้นไข้ ขณะเดียวกัน ด้วยความที่ไม่เคยเจอภาวะเงินเฟ้อสูงมาตลอด 30 ปีจึงทำให้ไม่เชื่อว่าการอัดฉีดเงินเข้าในระบบจะสามารถเร่งเงินเฟ้อได้ บทเรียนที่ควรเรียนรู้สำหรับปี 2021 คือ อย่าเชื่อนโยบายของภาครัฐมากเกินไป และต้องลด Recency Bias ลงให้มาก ส่วนเงินดอลลาร์จะแข็งค่า เป็นการพยากรณ์ตลาดการเงิน โดยตลาดกลับด้าน กลายเป็นมองว่า DM จะฟื้นตัวดีกว่า EM นโยบายการเงินจะเข้มงวดขึ้น และดอลลาร์จะแข็งค่า Consensus ประเมินกำไรของบริษัทใน S&P500 และ STOXX 600 จะเพิ่มขึ้นอีก 15-25% สวนทางกับฝั่ง EM ที่คาดว่ารายได้จะโตไม่ถึงสองหลัก บอนด์ยีลด์สหรัฐอายุสิบปีจะปรับขึ้นไปที่ระดับ 2.1% (บวก 60bps) และเงินดอลลาร์แข็งค่า เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-nc-4.0
Finance_1290
Finance
ช่วยสรุปบทความ ใครต้องการคาสิโน?
คนจำนวนมากอาจจะบอกว่าการซื้อขายคริปโตหรือเหรียญต่าง ๆ นั้นไม่ใช่การพนันแต่เป็นการลงทุนในธุรกิจหรือในทรัพย์สินดิจิทัลที่กำลัง “เปลี่ยนโลก” ซึ่งเป็นภารกิจที่ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ จะเรียกว่าเป็นการพนันที่ไม่ได้ก่อให้เกิดสิ่งดี ๆ ได้อย่างไร ข้อนี้ผมคงไม่เถียง ว่าที่จริงผมก็ไม่รู้ว่าคริปโตตัวไหนจะเป็นสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้น ผมเพียงแต่รู้ว่าคริปโตส่วนใหญ่นั้นในที่สุดก็คงจะ “เจ๊ง” ไป คืออาจจะแทบไม่มีค่า ราคาตกลงไปใกล้ศูนย์บาท คริปโตบางตัวซึ่งน่าจะมีจำนวนน้อยมากก็อาจจะยังมีค่ามหาศาลเพราะมีคนใช้ประโยชน์ได้จำนวนมากในอนาคต แต่สิ่งที่ผมไม่รู้อีกอย่างหนึ่งก็คือ มันจะมีค่ามากกว่าราคาในวันนี้หรือไม่ พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าเราลงทุน เราอาจจะไม่สามารถคาดการณ์ได้อย่างมีโอกาสถูกต้องสูงว่าคริปโตตัวไหนจะขึ้นหรือลงในระยะยาว สิ่งที่เราเห็นในปัจจุบันก็คือ ราคาของคริปโตส่วนใหญ่จะขึ้นลงรุนแรงและเร็วมากขนาดที่ว่าภายในเวลาเพียง 2-3 เดือน ราคาอาจจะขึ้นได้เป็น 100% หรือลงมา 50% ได้ ดังนั้น คนที่เข้าไปซื้อขายแบบ “เทรด” อาจจะขาดทุนและกำไรได้มหาศาลเช่นเดียวกับ “การพนัน” อย่างอื่นที่ไม่ได้ก่อให้เกิดสิ่งดี ๆ แก่โลกเลย
การลงทุนในคริปโตไม่ถือเป็นการพนัน แต่เป็นการลงทุนในทรัพย์สินดิจิทัลที่มีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงโลก ผู้คนบอกว่าไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าคริปโตไหนจะมีค่ามากขึ้น แต่รู้ว่าไม่ใช่คริปโตทุกตัวมีค่า การซื้อขายมีความเสี่ยงทางการลงทุน และราคาคริปโตมีการเปลี่ยนแปลงมาก ซึ่งอาจทำให้ผู้เทรดได้กำไรหรือขาดทุน ดังนั้นการลงทุนต้องพิจารณาความเสี่ยงและอาจไม่สามารถทำนายได้อย่างแม่นยำในระยะยาว การเทรดอาจมีผลกำไรหรือขาดทุนมหาศาล เหมือนการพนันทั่วไปที่ไม่ได้ก่อให้เกิดสิ่งดี ๆ แก่โลกเลย
1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,5.ความรู้ทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1291
Finance
จากการสำรวจของ บลจ. อเบอร์ดีน (ประเทศไทย) สำหรับมุมมองการลงทุนปี 2022 ข้อใดไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อการลงทุนในปี 2022
a. คาดการณ์ว่าในปีหน้า ผลประกอบการของบริษัทต่าง ๆ จะออกมาดี แต่ต้องระมัดระวังเรื่องปัจจัยแทรกแซง เช่น ไวรัสสายพันธุ์ใหม่ b. ตอนนี้อาจเร็วเกินไปที่จะประเมินผลกระทบจากโอไมครอน แต่เบื้องต้นมองว่าผลกระทบไม่มาก เห็นได้จากการที่สถาบันการเงินส่วนใหญ่ยังไม่ปรับตัวเลขคาดการณ์ GDP c. การดำรงตำแหน่งประธาน Fed สมัยที่ 2 ของเจอโรม พาวเวลล์ เป็นมุมมองเชิงลบต่อตลาด d. เงินเฟ้อคือความเสี่ยงที่ต้องระมัดระวัง และอาจไม่ใช่แค่เรื่องชั่วคราว
ข้อที่ถูกต้องได้แก่ c. เนื่องจาก ใกล้สิ้นปี 2564 บลจ. อเบอร์ดีน (ประเทศไทย) พาสำรวจมุมมองการลงทุนปี 2022 ด้วย 3 ธีมการลงทุนในต่างแดนที่สร้างผลตอบแทนโดดเด่นเหนือดัชนี Benchmark พร้อมแนะนำกองทุน SSF เพื่อให้นักลงทุนได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ไปพร้อมกับโอกาสการลงทุนในต่างประเทศ ประเด็นสำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อการลงทุนในปี 2022 • เงินเฟ้อคือความเสี่ยงที่ต้องระมัดระวัง และอาจไม่ใช่แค่เรื่องชั่วคราว • การดำรงตำแหน่งประธาน Fed สมัยที่ 2 ของเจอโรม พาวเวลล์ เป็นมุมมองเชิงบวกต่อตลาด • คาดการณ์ว่าในปีหน้า ผลประกอบการของบริษัทต่าง ๆ จะออกมาดี แต่ต้องระมัดระวังเรื่องปัจจัยแทรกแซง เช่น ไวรัสสายพันธุ์ใหม่ • ตอนนี้อาจเร็วเกินไปที่จะประเมินผลกระทบจากโอไมครอน แต่เบื้องต้นมองว่าผลกระทบไม่มาก เห็นได้จากการที่สถาบันการเงินส่วนใหญ่ยังไม่ปรับตัวเลขคาดการณ์ GDP คำแนะนำสำหรับนักลงทุน • การลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมีความผันผวนเกิดขึ้นได้ในระยะสั้น ดังนั้น นักลงทุนต้องคัดสรร (Selective) สินทรัพย์ที่จะลงทุนมากขึ้น • นักลงทุนควรเลือกธีมการลงทุนให้ชัดเจน เพื่อตอบโจทย์วัตถุประสงค์ในการลงทุน • การกระจายการลงทุนในหลายสินทรัพย์ (Asset Allocation) เป็นเรื่องสำคัญ
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_1292
Finance
จงสรุปบทความเรื่อง รีวิวกองทุน AFMOAT-H: กองทุนปราการเหล็ก ทนทานทุกสภาวะตลาด ให้หน่อยค่ะ
ในช่วงที่สภาวะตลาดกลืนไม่เข้าคายไม่ออกที่เราหันไปหาเงินฝากผลตอบแทนก็ต่ำเตี้ยเรี่ยดินเสียเหลือเกิน ในขณะที่หากเราต้องการหาผลตอบแทนที่มากขึ้นผ่านการลงทุนในสินทรัพย์อย่างหุ้นก็กลัวการปรับฐาน เพราะ มูลค่าก็ดูแพงหลุดโลก กองทุน AFMOAT-H จึงเป็นกองทุนที่น่าจะตอบโจทย์ภาวะดังกล่าว เพราะ ลงทุนในธุรกิจที่มีปราการเหล็กแข็งแกร่งอย่าง Moat หรือคูเมืองทางธุรกิจที่ยากจะโค่นล้มไม่ว่าในอนาคตจะเกิดวิกฤตขั้นรุนแรงใด ๆ มาดูกันว่า AFMOAT-H มีดีอะไร ทำไมถึงน่าลงทุน โปรโมชั่นพิเศษสำหรับลูกค้าใหม่ เปิดบัญชีลงทุนครั้งแรกกับ FINNOMENA รับหน่วยลงทุน PCASH มูลค่า 100 บาท ตั้งแต่วันที่ 16 มี.ค. – 31 พ.ค. 65 คลิก สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนในกองทุน AFMOAT-H สามารถซื้อขายผ่านแอป FINNOMENA ได้แล้ววันนี้ในรูปแบบสะสมมูลค่า AFMOAT-HA สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนในกองทุน AFMOAT-H สามารถซื้อขายผ่านแอป FINNOMENA ได้แล้ววันนี้ในรูปแบบสะสมมูลค่า AFMOAT-HA Moat คืออะไร? ทำไมหุ้นสุดแข็งแกร่งต้องมี Moat หากแปลตรง ๆ ก็คือ “คูเมือง” ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยปกป้องเมืองในยุคโบราณ เพราะ ช่วยให้ข้าศึกบุกเข้าประชิดกำแพงเมืองได้ยากซึ่งมีตัวอย่างให้เห็นในหนังสงครามย้อนยุคทั่วไปที่ผู้คนมักจะขุดหลุมรอบเมืองทำเป็นคูให้น้ำไหลผ่านหรือเป็นหลุมที่ทำไม้แหลม ๆ ดักรอไว้ให้ยากต่อการเข้าใกล้ตัวเมืองของข้าศึก ในเชิงธุรกิจบริษัทที่มี Moat เปรียบได้กับบริษัทที่มีข้อได้เปรียบที่ยากจะเลียนแบบ เช่น Coca Cola ที่มีสูตรการผลิตเฉพาะตัวซึ่งต่อให้จะมี Pepsi หรือบริษัทอื่น ๆ ที่จะหันมาทำโคล่าแข่งก็สามารถทำได้ยาก เพราะ มีสูตรลับจดเป็นสิทธิบัตรและถึงแม้คนจะรู้กระบวนการทำอย่างละเอียดก็ไม่สามรถนำมาก้อปปี้ดื้อ ๆ ได้เช่นกัน เพราะฉะนั้นธุรกิจเหล่านี้จึงมีความแข็งแกร่ง สร้างรายได้ได้ต่อเนื่องจากการที่คู่แข่งเข้ามาเจาะทำลายธุรกิจได้ยากนั่นเอง Moat ทางธุรกิจมีในรูปแบบไหนบ้าง ในที่นี้ขออนุญาตใช้ Moat ตามความหมายของ Morningstar นะครับ เนื่องจากผมมองว่าค่อนข้างตอบโจทย์สำหรับหุ้นสมัยใหม่ รูปแบบที่ 1: Switching Cost (ต้นทุนในการเปลี่ยนใจ) Switching costs (ต้นทุนในการเปลี่ยนใจ) คือ ต้นทุนที่ผู้บริโภคสินค้าหรือใช้บริการต้องเจอเมื่อตัดสินใจที่จะเปลี่ยนใจไปใช้สินค้าหรือบริการของเจ้าอื่น และด้วยสภาวะที่ทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจได้ลำบาก (อาจจะต้นทุนสูงถ้าเปลี่ยนไปใช้อย่างอื่นหรือปัญหาเยอะวุ่นวาย) จึงทำให้บริษัทมีข้อได้เปรียบในทางด้านราคา ตัวอย่างบริษัทที่มีความได้เปรียบด้าน Switching cost Salesforce ผู้ให้บริการระบบจัดการความสัมพันธ์ลูกค้า (CRM) ผ่านระบบคลาวด์ซึ่งต้องใช้เวลาในการวางระบบ ดังนั้นหากผู้ใช้บริการต้องการเปลี่ยนจากการใช้ Salesforce ไปใช้เจ้าอื่นที่ให้บริการคล้าย ๆ กัน ผู้ใช้บริการก็อาจจะต้องเผชิญต้นทุนต่าง ๆ ทั้งที่เป็นตัวเลขและไม่ใช่ตัวเลขเช่น เสียเวลาวางระบบใหม่ เสียค่าบริการในวางระบบใหม่หรือเสียผลิตภาพ (Productivity) ที่ควรทำได้ในช่วงที่กำลังวางระบบ อีกหนึ่งตัวอย่างก็คือเคสสุดคลาสสิคอย่าง Gillette ที่ขายมีดโกนหนวดที่มีความเฉพาะตัวและมีการจดสิทธิบัตร ซึ่งหากลูกค้าท่านไหนได้ซื้อมีดโกนของ Gillette มาลองสัมผัสก็อาจจะติดใจด้วยคุณภาพหรือแบรนด์ก็ตามแต่ มันก็อาจจะเป็นการยากที่จะทำให้ลูกค้าเปลี่ยนไปใช้มีดโกนเจ้าอื่นแล้วหันมาซื้อใบมีดของ Gillette เปลี่ยนแล้วใช้ซ้ำ ๆ แทน ดังนั้นธุรกิจที่มี Swithcing cost จึงมีอำนาจต่อรองทางด้านราคา เพราะ การเปลี่ยนไปใช้อย่างอื่นมีต้นทุนที่ผู้ใช้งานอาจจะต้องแบกรับและทำใจได้ลำบากหากต้องการเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะเป็นทางด้านจิตใจหรือตัวเลขที่สะท้อนความเป็นจริง รูปแบบที่ 2: Intangible Assets (สินทรัพย์ไม่มีตัวตน) Intangible assets (สินทรัพย์ไม่มีตัวตน) คือ สินทรัพย์ต่าง ๆ ที่อาจจะจับต้องไม่ได้ เช่น สิทธิบัตร (Patent) แบรนด์ เครื่องหมายการค้า ลิขสิทธิ์ ใบอนุญาตพิเศษต่าง ๆ และอื่น ๆ ซึ่งอาจจะตีมูลค่าเป็นตัวเงินได้ยาก เพราะ สิ่งที่ว่าอาจอยู่ในจิตใจหรือสมองของลูกค้า ตัวอย่างบริษัทที่มีความได้เปรียบด้าน Intangible assets Apple บริษัทที่สร้างมูลค่าในเชิงแบรนด์ได้อย่างแข็งแกร่งและเป็นบริษัทที่มี Intangible assets มากที่สุดในโลกถึง 2.15 ล้านล้านเหรียญตามการรายงานเมื่อปี 2020 ซึ่งตัวอย่างก็สังเกตได้ง่าย ๆ ผ่านการตั้งราคาของ ทิม คุก ในระดับที่สูงมากแล้วคนยังยอมใจจนถึงขนาด อีลอน มัสก์ ยังต้องแซว 2.15 ล้านล้านเหรียญตามการรายงานเมื่อปี 2020 ซึ่งตัวอย่างก็สังเกตได้ง่าย ๆ ผ่านการตั้งราคาของ ทิม คุก ในระดับที่สูงมากแล้วคนยังยอมใจจนถึงขนาด อีลอน มัสก์ ยังต้องแซว Starbucks บริษัทผู้นำด้านกาแฟแบบค้าปลีกที่มีสาขาถึงกว่า 30,000 สาขาทั่วโลก มีจุดเด่นด้าน Intangible assets อย่างแบรนด์ที่แข็งแกร่งพิสูจน์ผ่านการขยายสาขาได้ในระดับนานาชาติรวมถึงมีศักยภาพในการตั้งราคาที่สูงเช่นเดียวกัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่วัดไม่ได้ด้วยตัวเลขแต่เป็นภาพลักษณ์ที่อยู่ในหัวทุกคน มีสาขาถึงกว่า 30,000 สาขาทั่วโลก สินทรัพย์ไม่มีตัวตนเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่มีความพิเศษและสร้างความได้เปรียบให้บริษัทอยู่เหนือคู่แข่ง ซึ่งอาจอยู่ในรูปแบบของสิ่งที่จับต้องไม่ได้แต่มีมูลค่าต่อจิตใจเช่นเดียวกัน *ที่มา: thestreet.com ณ วันที่ 12 พฤศจิกายน 2020 *ที่มา: thestreet.com ณ วันที่ 12 พฤศจิกายน 2020 **ที่มา: statista.com ณ วันที่ 24 พฤศจิกายน 2021 **ที่มา: statista.com ณ วันที่ 24 พฤศจิกายน 2021 รูปแบบที่ 3: Network Effect (ผลจากความเชื่อมโยง) Network effect คือ ปรากฎการณ์ที่เกิดจากการที่มูลค่าของสินค้าหรือบริการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องหากจำนวนผู้ใช้งาน (Users) เติบโตขึ้นไปด้วย ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบที่เห็นได้ชัดในหุ้นเทคโนโลยีต่าง ๆ ในปัจจุบันที่ทำสงครามโกย Users ให้เข้ามาใช้งานผ่านฟีเจอร์หรือผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ก้าวหน้าขึ้นทุกวัน ๆ ตัวอย่างบริษัทที่มีความได้เปรียบด้าน Network effect Facebook หนึ่งในบริษัทกรณีศึกษาที่ดีด้าน Network effect เพราะหากย้อนไปสัก 10 ปีที่แล้ว ใครหลาย ๆ คนอาจเห็นคนใช้ Facebook มากขึ้นแล้วมากับประโยคที่ว่า “นี่ยังไม่เล่นเฟสอีกเหรอ” ซึ่งสิ่ง ๆ นี้เป็นสิ่งที่อธิบายเรื่อง Network effect ได้ดี เพราะ ยิ่งประโยคนี้แพร่กระจายไปหาคนมากขึ้นเท่าไร Facebook ก็มีแต่จะเติบโตขึ้นเท่านั้น เพราะยิ่งมีคนใช้งานมากขึ้นคนอื่นก็อยากใช้ตามมากขึ้นเพราะคงไม่มีใครอยากหลุดออกจากวงโคจรของสังคม Alphabet หรือ Google บริษัทที่สร้างปรากฎการณ์ Search engine ให้กับโลกจนมีประโยคอย่างเช่น “อันนี้คืออะไรเหรอ? หาในกูเกิ้ลสิ” หรือ “ทำงานแล้วลืมเซฟเหรอใช้ Google Doc สิ” ซึ่งเป็นกรณีคล้าย ๆ กับ Facebook ที่คนไปชวนคนอื่นเรื่อย ๆ สรุปแล้ว Network effect เป็นสิ่งที่ช่วยให้ธุรกิจโตต่อแบบก้าวกระโดดโดยที่บริษัทอาจไม่ต้องพยายามโกยลูกค้าแบบเหนื่อยหนักเท่าคนอื่น เพราะถ้าของเราดีเดี๋ยวคนก็ไปบอกต่อ ๆ กันเอง รูปแบบที่ 4: Cost Advantage (ความได้เปรียบทางด้านราคา) Cost advantage คือ สิ่งที่แสดงถึงบริษัทต่าง ๆ ที่มีข้อได้เปรียบทางด้านราคาผ่านต้นทุนที่ต่ำกว่าคู่แข่งจนทำให้มีอัตราการทำกำไรที่สูงกว่า และอาจนำไปสู่การตั้งราคาในระดับที่ได้เปรียบหรือถูกกว่าคู่แข่ง ตัวอย่างบริษัทที่มีความได้เปรียบด้าน Cost Advantage Walmart บริษัทค้าปลีกอันดับ 1 ในสหรัฐฯ ที่มีจุดเด่นอย่างการขายสินค้าที่มีราคาถูกมาก ๆ จนคู่แข่งรายอื่น ๆ แข่งขันได้ยาก ทำราคาได้อย่างยืดหยุ่นและทำให้คนยอมรถติดออกจากบ้านมาซื้อของได้อยู่เพราะราคาถูก ท่ามกลางการเติบโตของอีคอมเมิร์ซ รูปแบบที่ 5: Efficient Scale Leads to Natural Monopoly (การประหยัดต่อขนาดซึ่งนำไปสู่การผูกขาดโดยธรรมชาติ) Efficient scale leads to natural monopoly คือ ธุรกิจที่อยู่ในวงการที่เข้ามาแข่งขันได้ยาก เพราะ ถ้าเข้ามาแข่งแล้วอาจจะสู้เรื่องต้นทุนไม่ได้จนทำให้คู่แข่งเข้ามาแข่งขันได้ยาก โดยคนที่เข้ามาแข่งด้วยอาจต้องยอมทำธุรกิจเท่าทุนหรือยอมขาดทุนจากขนาดตลาดที่ค่อนข้างเล็กและเอื้อให้กับผู้เล่นไม่กี่ราย ตัวอย่างบริษัทที่มีความได้เปรียบด้าน Efficient Scale Leads to Natural Monopoly American Airlines สายการบินขนาดใหญ่ในอเมริกาซึ่งหากหน้าใหม่ต้องการเข้ามาแข่งขันก็อาจต้องพบกับการวางระบบเส้นทางที่ถูกต้อง รวมถึงอาจจะต้องพบกับปริมาณเที่ยวบินที่มีอยู่จำกัดซึ่งหากคนคิดเข้ามาเปิดแข่งก็อาจจะไม่คุ้ม เพราะ หากแบ่งรายได้กับเจ้าเดิมที่มีอยู่แล้วอาจทำให้ขาดทุน รู้จักกองทุน AFMOAT-H กองทุนคัดหุ้นปราการแกร่ง ทำไมกองทุน AFMOAT-H ถึงน่าลงทุน ลงทุนในบริษัทสหรัฐฯ ที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันหรือมี “Moat” วิเคราะห์หุ้นและเน้นคัดบริษัทที่มี Moat ที่แข็งแกร่งสร้างความได้เปรียบในการสร้างผลตอบแทนในระยะยาวได้ถึงกว่า 20 ปี ให้ความสำคัญในการซื้อหุ้นที่มีมูลค่าต่ำกว่าตามการประมาณการของดัชนีจาก Morningstar มีผลตอบแทนทั้งในช่วงขาขึ้นและขาลงของตลาดโดดเด่น รีวิวเซ็กเตอร์หลักที่ลงทุนของกองทุน AFMOAT-H ภาพแสดงสัดส่วนเซ็กเตอร์หลักที่ลงทุนของกองทุน VanEck Morningstar Wide Moat ETF ที่มา: VanEck Fund Factsheet วันที่: 31 ตุลาคม 2021 สัดส่วนเซ็กเตอร์เน้นหนักไปที่หุ้นเทคโนโลยีซึ่งกำลังเปลี่ยนแปลงจากเรื่องเพ้อฝันที่ใครหลาย ๆ คนพูดถึงในอดีตและกลายเป็นเรื่องใกล้ตัว อีกทั้งยังเป็นกลุ่มหุ้นที่เติบโตได้ดีรวดเร็วด้วยโมเดลธุรกิจที่คล่องตัว ตามมาด้วยกลุ่มเฮธ์แคร์ที่มีความกึ่ง ๆ เทคโนโลยีและเป็นเซ็กเตอร์การลงทุนในเชิงรับอีกรูปแบบหนึ่งจากการที่ของทางการแพทย์ที่ไม่ว่าเศรษฐกิจจะแย่แค่ไหนก็ยังต้องใช้ ตามมาด้วยหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ฟื้นตัวได้ดีในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวได้เช่นตอนนี้ และตบท้าย 2 กลุ่มสุดท้ายจาก 5 กลุ่มหลักด้วย กลุ่มสินค้าจำเป็น (Consumer staples) ที่ได้ประโยชน์จากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจตามด้วยกลุ่มการเงิน (Financials) ที่เป็นของจำเป็นสำหรับโลกทุนนิยมและอาจได้ประโยชน์หากมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยในอนาคต รีวิวหุ้นหลักของกองทุน AFMOAT-H ภาพแสดงสัดส่วนหุ้นหลักกองทุน VanEck Morningstar Wide Moat ETF ที่มา: VanEck Fund Factsheet วันที่: 31 ตุลาคม 2021 Wells Fargo (สัดส่วน 2.94%) หนึ่งในธนาคารที่ใหญ่ที่สุดติด 5 อันดับแรกในสหรัฐฯ มีตู้ ATM กว่า 12,000 ตู้ รวมถึงมีสาขาอีกราว 4,900 สาขา ให้บริการครบถ้วนทั้งการลงทุน ฝากเงินและกู้เงินทั่วไป หนึ่งในธนาคารที่ใหญ่ที่สุดติด 5 อันดับแรกในสหรัฐฯ *thebankrate.com ณ วันที่ 8 ตุลาคม 2021 *thebankrate.com ณ วันที่ 8 ตุลาคม 2021 Cheniere Energy (สัดส่วน 2.92%) บริษัท ผู้บุกเบิกการส่งออกก๊าสธรรมชาติเป็นรายแรกในสหรัฐฯ เป็นผู้ผลิตก๊าสธรรมชาติแบบเหลว (LNG) ซึ่งมีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิต เช่น นำไปเป็นแก๊สทำอาหาร รวมถึงผลิตไฟฟ้า มีลูกค้าจากทั้งบริษัทพลังงาน สาธารณูปโภค รวมถึงบริษัทซื้อขายพลังงานทั่วโลก Salesforce.com (สัดส่วน 2.92%) บริษัท ให้บริการซอฟต์แวร์จัดการความสัมพันธ์ลูกค้า (CRM) ช่วยให้บริษัททำงานได้อย่างลื่นไหลรวมข้อมูลไว้ที่เดียวสามารถตรวจสอบได้ไม่มีผิดเพี้ยนและยังสามารถนำข้อมูลมาวิเคราะห์ผู้บริโภคได้อีกด้วย ให้บริการผ่านระบบคลาวด์ในรูปแบบการ Subscribe ช่วยให้บริษัทจัดการได้อย่างคล่องตัว ลดต้นทุนและสร้างรายได้ได้สม่ำเสมอ Microsoft (สัดส่วน 2.91%) หนึ่งในบริษัทบิ๊กเทคแห่งยุคมีซอฟต์แวร์ที่ใช้กันทั่วบ้านทั่วเมืองอย่าง Microsoft Office รวมถึงมี Azure แพลตฟอร์มให้บริการคลาวด์กับองค์กรที่จะช่วยในการจัดการฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์และเครือข่ายให้มีความลื่นไหล ทำงานกันได้สะดวกและอื่น ๆ อีกมากมาย Tyler Technologies (สัดส่วน 2.89%) ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ให้กับรัฐบาลกลางสหรัฐฯ โดยเน้นไปที่ภาคท้องถิ่นเป็นหลักจึงถือเป็นหุ้นอีกหนึ่งตัวที่ไม่ควรพลาดหากมีมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริง เพราะ ถ้าจะให้รัฐรื้อซอฟต์แวร์ย้ายเจ้าจากระบบทั้งหมดในปีหรือสองปีคงเป็นไปได้ยาก ผลตอบแทนย้อนหลังเป็นอย่างไร? ภาพแสดงผลตอบแทนย้อนหลังกองทุน VanEck Morningstar Wide Moat ETF ที่มา: เว็บไซต์ vaneck.com วันที่: 30 กันยายน 2021 ผลตอบแทนย้อนหลังหากเทียบกับดัชนีหุ้นอย่าง S&P 500 นั้นถือได้ว่าส่วนใหญ่โดดเด่นทุกช่วงเวลาทั้งช่วงขาขึ้นและขาลงของตลาด ความโดดเด่นเฉพาะทางอื่น ๆ ของกองทุน AFMOAT-H ภาพแสดงศักยภาพกองทุน VanEck Morningstar Wide Moat ETF หากเทียบกับกองทุนรูปแบบ Active อื่น ๆ ที่มา: เอกสารการขายกองทุน AFMOAT-H บลจ. ทาลิส ปิดท้ายด้วยผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งติดอันดับหัวตารางกลุ่มควอไทร์แรก (กลุ่มที่มีผลงานดีเป็นกลุ่มแรก) ในช่วง 3 ปี 5 ปี 7 ปีและนับตั้งแต่จัดตั้ง ชี้ให้เห็นว่ากองทุนนี้ระยะยาวถือได้ว่าทำผลงานได้ดีมาก ๆ ในขณะที่ช่วง 1 ปีย้อนหลังกองทุนก็ยังอยู่กลุ่มที่มีผลงานดีอันดับต้น ๆ เช่นเดียวกัน ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ของกองทุน AFMOAT-H ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end fee) o.90% (พิเศษคิด 0.75% ตั้งแต่ช่วง IPO จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2021 สำหรับกองทุน AFMOAT-HA) ค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืน (Back-end fee) ยกเว้น ค่าธรรมเนียมการสับเปลี่ยนเข้า (Swtiching-in fee) 0.90% ค่าธรรมเนียมการสับเปลี่ยนออก (Swtiching-out fee) ยกเว้น ค่าธรรมเนียมรวมรายปี 1.86715% ลงทุนขั้นต่ำครั้งแรก 1,000 บาท ลงทุนขั้นต่ำครั้งถัดไป 1 บาท *กองทุนมีการป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน: ป้องกันความเสี่ยงค่าเงินไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของมูลค่าเงินลงทุนในต่างประเทศ (ทั้งหมด/เกือบทั้งหมด) ขอให้ทุกคนโชคดีครับ ขอให้ทุกคนโชคดีครับ Mr. Serotonin Mr. Serotonin สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนในกองทุน AFMOAT-H สามารถซื้อขายผ่านแอป FINNOMENA ได้แล้ววันนี้ในรูปแบบสะสมมูลค่า AFMOAT-HA สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนในกองทุน AFMOAT-H สามารถซื้อขายผ่านแอป FINNOMENA ได้แล้ววันนี้ในรูปแบบสะสมมูลค่า AFMOAT-HA สร้างแผนและเปิดบัญชีกองทุนรวมกับ FINNOMENA สะดวก รวดเร็ว เปิดออนไลน์ ไม่ต้องส่งเอกสารให้ยุ่งยาก พร้อมเลือกซื้อกองทุนกว่า 1,000 กอง จาก 22 บลจ. ครอบคลุมทุกบลจ. ในประเทศไทย สร้างแผนและเปิดบัญชี คลิก: คำเตือน ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน References เอกสารนำเสนอกองทุน AFMOAT-H บลจ. ทาลิส
ทำไมกองทุน AFMOAT-H ถึงน่าลงทุน - ลงทุนในบริษัทสหรัฐฯ ที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันหรือมี “Moat” - วิเคราะห์หุ้นและเน้นคัดบริษัทที่มี Moat ที่แข็งแกร่งสร้างความได้เปรียบในการสร้างผลตอบแทนในระยะยาวได้ถึงกว่า 20 ปี - ให้ความสำคัญในการซื้อหุ้นที่มีมูลค่าต่ำกว่าตามการประมาณการของดัชนีจาก Morningstar - มีผลตอบแทนทั้งในช่วงขาขึ้นและขาลงของตลาดโดดเด่น เซ็กเตอร์หลักที่ลงทุนของกองทุน AFMOAT-H เน้นไปที่หุ้นเทคโนโลยีซึ่งกำลังเปลี่ยนแปลงจากเรื่องเพ้อฝันที่ใครหลาย ๆ คนพูดถึงในอดีตและกลายเป็นเรื่องใกล้ตัว อีกทั้งยังเป็นกลุ่มหุ้นที่เติบโตได้ดีรวดเร็วด้วยโมเดลธุรกิจที่คล่องตัว ตามมาด้วยกลุ่มเฮธ์แคร์ที่มีความกึ่ง ๆ เทคโนโลยีและเป็นเซ็กเตอร์การลงทุนในเชิงรับอีกรูปแบบหนึ่งจากการที่ของทางการแพทย์ที่ไม่ว่าเศรษฐกิจจะแย่แค่ไหนก็ยังต้องใช้ ตามมาด้วยหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ฟื้นตัวได้ดีในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวได้เช่นกัน แล 2 กลุ่มสุดท้ายจาก 5 กลุ่มหลักด้วย กลุ่มสินค้าจำเป็น (Consumer staples) ที่ได้ประโยชน์จากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจตามด้วยกลุ่มการเงิน (Financials) ที่เป็นของจำเป็นสำหรับโลกทุนนิยมและอาจได้ประโยชน์หากมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยในอนาคต หุ้นหลักของกองทุน AFMOAT-H ได้แก่ - Wells Fargo (สัดส่วน 2.94%) หนึ่งในธนาคารที่ใหญ่ที่สุดติด 5 อันดับแรกในสหรัฐฯ มีตู้ ATM กว่า 12,000 ตู้ รวมถึงมีสาขาอีกราว 4,900 สาขา ให้บริการครบถ้วนทั้งการลงทุน ฝากเงินและกู้เงินทั่วไป - Cheniere Energy (สัดส่วน 2.92%) บริษัทบุกเบิกการส่งออกก๊าสธรรมชาติเป็นรายแรกในสหรัฐฯ เป็นผู้ผลิตก๊าสธรรมชาติแบบเหลว (LNG) ซึ่งมีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิต เช่น นำไปเป็นแก๊สทำอาหาร รวมถึงผลิตไฟฟ้า มีลูกค้าจากทั้งบริษัทพลังงาน สาธารณูปโภค รวมถึงบริษัทซื้อขายพลังงานทั่วโลก - Salesforce.com (สัดส่วน 2.92%) บริษัทให้บริการซอฟต์แวร์จัดการความสัมพันธ์ลูกค้า (CRM) ช่วยให้บริษัททำงานได้อย่างลื่นไหลรวมข้อมูลไว้ที่เดียวสามารถตรวจสอบได้ไม่มีผิดเพี้ยนและยังสามารถนำข้อมูลมาวิเคราะห์ผู้บริโภคได้อีกด้วย ให้บริการผ่านระบบคลาวด์ในรูปแบบการ Subscribe ช่วยให้บริษัทจัดการได้อย่างคล่องตัว ลดต้นทุนและสร้างรายได้ได้สม่ำเสมอ - Microsoft (สัดส่วน 2.91%) หนึ่งในบริษัทบิ๊กเทคแห่งยุคมีซอฟต์แวร์ที่ใช้กันทั่วบ้านทั่วเมืองอย่าง Microsoft Office รวมถึงมี Azure แพลตฟอร์มให้บริการคลาวด์กับองค์กรที่จะช่วยในการจัดการฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์และเครือข่ายให้มีความลื่นไหล ทำงานกันได้สะดวกและอื่น ๆ อีกมากมาย - Tyler Technologies (สัดส่วน 2.89%) ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ให้กับรัฐบาลกลางสหรัฐฯ โดยเน้นไปที่ภาคท้องถิ่นเป็นหลักจึงถือเป็นหุ้นอีกหนึ่งตัวที่ไม่ควรพลาดหากมีมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริง เพราะ ถ้าจะให้รัฐรื้อซอฟต์แวร์ย้ายเจ้าจากระบบทั้งหมดในปีหรือสองปีคงเป็นไปได้ยาก ผลตอบแทนย้อนหลังหากเทียบกับดัชนีหุ้นอย่าง S&P 500 นั้นถือได้ว่าส่วนใหญ่โดดเด่นทุกช่วงเวลาทั้งช่วงขาขึ้นและขาลงของตลาด ผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งติดอันดับหัวตารางกลุ่มควอไทร์แรก (กลุ่มที่มีผลงานดีเป็นกลุ่มแรก) ในช่วง 3 ปี 5 ปี 7 ปีและนับตั้งแต่จัดตั้ง ชี้ให้เห็นว่ากองทุนนี้ระยะยาวถือได้ว่าทำผลงานได้ดีมาก ๆ ในขณะที่ช่วง 1 ปีย้อนหลังกองทุนก็ยังอยู่กลุ่มที่มีผลงานดีอันดับต้น ๆ เช่นเดียวกัน
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1294
Finance
ช่วยสรุปบทความ LK Technology บริษัทเบื้องหลังการปั้มรถยนต์ให้ Tesla
การลดต้นทุนในการสร้างรถยนต์ไฟฟ้า เป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของ Elon Musk เพื่อหวังให้ Tesla เป็นผู้ชนะในระยะยาว การผลิตโครงสร้างรถแบบดั้งเดิมจะใช้วิธีการประกอบชิ้นส่วนต่าง ๆ ขึ้นเป็นตัวรถ ต้องใช้เวลานานในการขึ้นรูป ตัดชิ้นส่วน และเชื่อมหลายร้อยชิ้นเข้าด้วยกันเป็น Chassis หรือโครงรถยนต์เพียงชิ้นเดียว Tesla ต้องการลดเวลาและค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ ด้วยการทำให้โครงสร้างรถมีชิ้นส่วนน้อยที่สุดด้วยการใช้เครื่องจักรสั่งทำพิเศษ “Gigapress” ใช้ในการขึ้นรูป Chassis ให้เป็นชิ้นเดียว Gigapress คืออะไร? Gigapress สร้างจากบริษัทลูกของ LK Technology (HKG: 0558) เทียบง่าย ๆ คือ Gigapress เปรียบเสมือนเครื่องปั้มแผ่นโลหะขนาดยักษ์ ซึ่งกดแรงได้หลักหมื่นตัน ทำให้สามารถผลิตโครงรถยนต์สำเร็จรูปได้เลย โดย Elon Musk เคลมว่าแต่ก่อนจะต้องประกอบชิ้นส่วนราว 70 ชิ้นเพื่อให้ได้โครงรถยนต์ แต่เจ้า Gigapress ทำให้เหลือแค่ชิ้นเดียวเท่านั้น !! นอกจากนี้ ความเร็วในการผลิตจะเร็วขึ้นมาก (เพราะตัดขั้นต้อนการเชื่อมประกอบไปเกือบหมด) คาดว่าใช้เวลาเพียง 1-2 นาที จะได้โครงรถยนต์ 1 อันแล้ว พอลองคูณเลขจะพบว่าเครื่อง Gigapress 1 ตัว จะผลิตรถให้ Tesla ได้ถึง 1,000 คันต่อวัน !! เมื่อเทียบกับหุ่นยนต์แบบดั้งเดิมที่ Tesla ใช้อยู่ถึง 300 ตัว ใน 1 สายการผลิต Gigapress จะประหยัดพื้นที่ไปถึง 30% และความซับซ้อนในการดูแลก็น้อยลงด้วย จาก 300 เครื่อง เหลือเพียง 1 Game Changer Gigapress อาจถือเป็น Game Changer ในวงการยานยนต์ พอ ๆ กับการที่ Henry Ford คิดไลน์การประกอบรถยนต์ จุดเด่นที่เห็นได้ชัดคือ ความเร็วการผลิตแบบเดิมถึง 100 เท่า เร็วถึงขนาดทีมของ JP Morgan ที่ไปเยี่ยมโรงงาน Tesla ในจีน คิดคร่าว ๆ ว่า Gigapress 10 เครื่อง จะสร้างรถ Tesla Model Y ได้ถึง 350,000 คันต่อปี และต้นทุนการผลิต Chassis ลดลง 40% แน่นอนว่าทำกำไรบาน (ถ้าไม่เอาเงินไปเผาที่ธุรกิจไหนต่ออีก) บริษัทผู้ผลิต LK Technology (HKG: 0558) เป็นบริษัทผลิตเครื่องจักรนานาชนิด และหนึ่งในบริษัทลูกได้ได้ผลิต Gigapress ให้ Tesla ซึ่งพอประกาศส่งมอบเครื่องจักรได้จริง ราคาหุ้นได้วิ่งอย่างสุกสนานจากปลายปี 2020 ที่ไม่ถึง 1 ดอลลาร์ฮ่องกง พุ่งขึ้นเป็น 18.5 ดอลลาร์ฮ่องกง กำไร 10+ ใน 1 ปี
Elon Musk มุ่งหวังที่จะลดต้นทุนในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของ Tesla โดยใช้ Gigapress เครื่องจักรพิเศษในการผลิตโครงรถ ทำให้ลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการสร้าง Chassis ในรถยนต์แบบดั้งเดิมที่ต้องใช้วิธีการประกอบชิ้นส่วนหลายชิ้น Gigapress คือเครื่องปั้มโลหะขนาดยักษ์ที่สร้างขึ้นโดยบริษัทลูกของ LK Technology (HKG: 0558) เปรียบเสมือนเครื่องปั้มที่กดแรงได้หลักหมื่นตัน ทำให้สามารถผลิตโครงรถยนต์สำเร็จรูปได้ทันที นักวิจัยคาดว่า Gigapress 1 เครื่องสามารถผลิตรถยนต์ได้ถึง 1,000 คันต่อวัน ทำให้ลดพื้นที่และความซับซ้อนในการดูแล เมื่อเทียบกับหุ่นยนต์ที่ใช้ในการผลิตแบบดั้งเดิมที่ต้องใช้ถึง 300 เครื่อง Gigapress เป็น Game Changer ในวงการยานยนต์เหมือนกับความสำคัญของการประกอบรถของ Henry Ford โดยสามารถผลิตรถ Tesla Model Y ถึง 350,000 คันต่อปีด้วย Gigapress 10 เครื่อง ทำให้ลดต้นทุน Chassis ลง 40% และเพิ่มความเร็วการผลิตถึง 100 เท่าของแบบเดิม LK Technology (HKG: 0558) ผลิตเครื่องจักรนานาชนิดและผลิต Gigapress ให้ Tesla ราคาหุ้นกระโดดจากไม่ถึง 1 ดอลลาร์ฮ่องกง ปลายปี 2020 สู่ 18.5 ดอลลาร์ฮ่องกง เมื่อประกาศส่งมอบเครื่องจักร และได้กำไร 10+ ใน 1 ปี
8.การวิเคราะห์ทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1295
Finance
ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2021 มี 2 เรื่องที่ทำให้ตลาดหุ้นผันผวนหนัก คือเรื่องอะไรบ้าง?
1. คุณ Jerome Powell ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานเฟดสมัยที่สอง ตลาดทุนก็สั่นคลอนมาโดยตลอด เหตุผลหลักมาจากความกังวลว่าเป้าหมายของธนาคารกลางสหรัฐต่อจากนี้จะเป็นการ “คุมเงินเฟ้อ” มากกว่ากระตุ้นเศรษฐกิจ 2.คุณ Powell ตอกย้ำความเชื่อนี้ด้วยการเลิกใช้คำว่า “ชั่วคราว” สำหรับเงินเฟ้อ และชี้ว่าอาจลด QE เร็วกว่าที่ประกาศไว้ ตลาดแปลความหมายว่าปี 2022 เฟดสามารถขึ้นดอกเบี้ยนโยบายได้ถึง “สามครั้ง” หรือ 0.75% ทำให้นักลงทุนขายกลุ่มเทคโนโลยีและหุ้นขนาดเล็กอย่างไม่ต้องคิด ไม่จบแค่นั้น โลกลงทุนซับซ้อนขึ้นไปอีก เมื่อมีไวรัสกลายพันธุ์เข้ามาผสม แม้ยังไม่มีข้อมูลเรื่องไวรัสสายพันธ์ใหม่ Omicron มากนัก แต่ตลาดก็เลือกที่จะขายทำกำไรธีม Reopening ธีม Value และธีม Cyclical ที่ปรับตัวขึ้นเร็วในช่วงที่ผ่านมาทันที ด้าน Thematic Investing ก็ปรับฐานลงไม่น้อยหน้าการลงทุนอื่น Sustainable Energy เป็นธีมที่ย่อตัวลงด้วยเหตุผลเดียวกับตลาดถึง 8% ขณะที่ธีมที่แข็งแกร่งที่สุดของปี 2021 อย่าง Industry Revolution ก็ปรับตัวลงไปด้วยราว 3% ที่น่ากังวลคือธีม Healthcare Innovation ปรกติไม่ผันผวนไปพร้อมกับตลาด แต่กลับร่วงลงถึง 9% พร้อมกันในรอบนี้ เหตุผลหลักมาจากความกังวลเรื่องการแข่งขันที่สูง Disruption ที่เกิดบ่อยครั้งขึ้นในอุตสาหกรรม ขณะเดียวกันนักลงทุนส่วนใหญ่เชื่อว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวในปี 2022 จึงไม่เลือกลงทุนธีม Healthcare เพราะมีความ Defensive ด้วยภาพตลาดที่ผันผวน ตำแหน่ง Thematic ETF หน้าใหม่ที่โดดเด่นที่สุดของเดือนพฤศจิกายน ปี 2021 จึงควรเป็นของ SARK หรือ Tuttle Capital Short Innovation ETF SARK บริหารโดย Tuttle Capital Management ตั้งเป้าหมายทำผลงาน “สวนทางกับ ARKK” หรือ ARK Innovation ETF เพื่อเป็นทางเลือกให้นักลงทุนในจังหวะที่อนาคตของธีม Innovation ไม่สดใสเหมือนก่อน อย่างไรก็ดี บลจ. ชื่อดังอย่าง Goldman Sachs Asset Management ยังเชื่อมั่นในธีมการลงทุนแห่งอนาคต ตอกย้ำด้วยการออก 3 Active ETF ได้แก่ GS Future Consumer Equity ตัวย่อ GBUY ลงทุนธีม Consumer Evolution ตอบโจทย์ผู้บริโภคสมัยใหม่ GS Future Real Estate and Infrastructure Equity หรือ GREI ลงทุนในธุรกิจอสังหาและโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีที่ให้ปันผลสูง GS Future Health Care Equity ตัวย่อ GDOC ลงทุนธีม Healthcare Innovation
เดือนพฤศจิกายน ปี 2021 นโยบายการเงินและโควิดสายพันธุ์ใหม่ Omicron คือ สองเรื่องที่ทำให้ตลาดผันผวนหนัก ตั้งแต่คุณ Jerome Powell ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานเฟดสมัยที่สอง ตลาดทุนก็สั่นคลอนมาโดยตลอด เหตุผลหลักมาจากความกังวลว่าเป้าหมายของธนาคารกลางสหรัฐต่อจากนี้จะเป็นการ “คุมเงินเฟ้อ” มากกว่ากระตุ้นเศรษฐกิจ คุณ Powell ตอกย้ำความเชื่อนี้ด้วยการเลิกใช้คำว่า “ชั่วคราว” สำหรับเงินเฟ้อ และชี้ว่าอาจลด QE เร็วกว่าที่ประกาศไว้ ตลาดแปลความหมายว่าปี 2022 เฟดสามารถขึ้นดอกเบี้ยนโยบายได้ถึง “สามครั้ง” หรือ 0.75% ทำให้นักลงทุนขายกลุ่มเทคโนโลยีและหุ้นขนาดเล็กอย่างไม่ต้องคิด ไม่จบแค่นั้น โลกลงทุนซับซ้อนขึ้นไปอีก เมื่อมีไวรัสกลายพันธุ์เข้ามาผสม แม้ยังไม่มีข้อมูลเรื่องไวรัสสายพันธ์ใหม่ Omicron มากนัก แต่ตลาดก็เลือกที่จะขายทำกำไรธีม Reopening ธีม Value และธีม Cyclical ที่ปรับตัวขึ้นเร็วในช่วงที่ผ่านมาทันที ด้าน Thematic Investing ก็ปรับฐานลงไม่น้อยหน้าการลงทุนอื่น Sustainable Energy เป็นธีมที่ย่อตัวลงด้วยเหตุผลเดียวกับตลาดถึง 8% ขณะที่ธีมที่แข็งแกร่งที่สุดของปี 2021 อย่าง Industry Revolution ก็ปรับตัวลงไปด้วยราว 3% ที่น่ากังวลคือธีม Healthcare Innovation ปรกติไม่ผันผวนไปพร้อมกับตลาด แต่กลับร่วงลงถึง 9% พร้อมกันในรอบนี้ เหตุผลหลักมาจากความกังวลเรื่องการแข่งขันที่สูง Disruption ที่เกิดบ่อยครั้งขึ้นในอุตสาหกรรม ขณะเดียวกันนักลงทุนส่วนใหญ่เชื่อว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวในปี 2022 จึงไม่เลือกลงทุนธีม Healthcare เพราะมีความ Defensive ด้วยภาพตลาดที่ผันผวน ตำแหน่ง Thematic ETF หน้าใหม่ที่โดดเด่นที่สุดของเดือนพฤศจิกายน ปี 2021 จึงควรเป็นของ SARK หรือ Tuttle Capital Short Innovation ETF SARK บริหารโดย Tuttle Capital Management ตั้งเป้าหมายทำผลงาน “สวนทางกับ ARKK” หรือ ARK Innovation ETF เพื่อเป็นทางเลือกให้นักลงทุนในจังหวะที่อนาคตของธีม Innovation ไม่สดใสเหมือนก่อน อย่างไรก็ดี บลจ. ชื่อดังอย่าง Goldman Sachs Asset Management ยังเชื่อมั่นในธีมการลงทุนแห่งอนาคต ตอกย้ำด้วยการออก 3 Active ETF ได้แก่ GS Future Consumer Equity ตัวย่อ GBUY ลงทุนธีม Consumer Evolution ตอบโจทย์ผู้บริโภคสมัยใหม่ GS Future Real Estate and Infrastructure Equity หรือ GREI ลงทุนในธุรกิจอสังหาและโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีที่ให้ปันผลสูง GS Future Health Care Equity ตัวย่อ GDOC ลงทุนธีม Healthcare Innovation ที่ขาดไม่ได้ในเดือนธันวาคม ปี 2021 คือ การมองความเสี่ยงและธีมการลงทุนในปี 2022
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1297
Finance
ช่วยสรุปบทความ Alibaba ประกาศลงทุน 1 แสนล้านหยวน ในอีก 4 ปีข้างหน้า ซึ่งอ่านรายละเอียดโครงการแล้วคิดว่าคนของรัฐบาลเขียนให้ ไม่ใช่ผู้บริหารของ Alibaba
Common Prosperity คืออะไร? Common Prosperity คือ นโยบายรุ่งเรืองร่วมกันของ Xi Jinping ที่ประกาศออกมาในช่วงเดือนสิงหาคม รายละเอียดข้างในคือเศรษฐกิจยุคใหม่จะเน้นไปที่ความร่ำรวยของคนในสังคมทุกคนมากกว่าที่จะรวยกระจุกในกลุ่มนายทุน ล่าสุดบริษัท Alibaba ทำตามนโยบายเช่นกัน ด้วยการประกาศลงทุน 1 แสนล้านหยวน ในอีก 4 ปีข้างหน้า ซึ่งอ่านรายละเอียด 10 ข้อของโครงการแล้วคิดว่าคนของรัฐบาลเขียนให้ ไม่ใช่ผู้บริหารของ Alibaba เพิ่มการลงทุนในเทคโนโลยีเพื่อรองรับระบบดิจิทัลในพื้นที่ด้อยพัฒนา สนับสนุนการเติบโตของบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็ก สนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมของภาคเกษตร สนับสนุนบริษัทขนาดกลางและเล็กเพื่อขยายออกต่างประเทศ สนับสนุนการจ้างงานที่มีคุณภาพสูงขึ้น ปรับปรุงสวัสดิการของ Freelance หรือลูกจ้างชั่วคราว เช่น Rider ส่งอาหาร ส่งเสริมความเท่าเทียมกันทางดิจิทัลระหว่างในเมืองและนอกเมือง ลดความเหลือมล้ำทางดิจิทัลและเสริมสร้างบริการสำหรับประชากร เพิ่มขีดความสามารถด้านสุขภาพในพื้นที่ด้อยพัฒนา จัดตั้งกองทุน Common Prosperity Development Fund มูลค่า 2 หมื่นล้านหยวน เพื่อนำร่องในมณฑล Zhejiang ไม่แน่ใจว่าเป็นความต้องการของผู้บริหารหรือรัฐบาลจีนกันแน่ หากดูจากแผน 10 ข้อจะเห็นว่าเป็นการเน้นไปที่การช่วยเหลือชนบท SME และพนักงานชนชั้นกลางไปถึงล่างเป็นหลัก
Common Prosperity คือนโยบายของ Xi Jinping ที่เน้นเพิ่มความร่ำรวยของทุกชั้นของสังคม โดย Alibaba ลงทุน 1 แสนล้านหยวน ใน 4 ปี ตั้งแต่ประกาศนโยบาย 1.เพิ่มลงทุนในเทคโนโลยีสำหรับพื้นที่ด้อย 2.สนับสนุนบริษัทขนาดกลางและเล็ก 3.พัฒนาอุตสาหกรรมเกษตร 4.สนับสนุนบริษัทขยายตัวต่างประเทศ 5.สนับสนุนการจ้างงานที่มีคุณภาพ 6.ปรับปรุงสวัสดิการของ Freelance เช่น Rider ส่งอาหาร 7.ส่งเสริมความเท่าเทียมทางดิจิทัล 8.ลดความเหลือมล้ำทางดิจิทัล 9.เพิ่มความสามารถด้านสุขภาพในพื้นที่ด้อย 10.จัดตั้งกองทุน Common Prosperity Development Fund มูลค่า 2 หมื่นล้านหยวน เพื่อสนับสนุน Zhejiang เป็นนโยบายที่เน้นช่วยเหลือ SME และพนักงานชนชั้นกลางถึงล่างในสังคม
9.เศรษฐศาสตร์การเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_13
Finance
ทางเลือกในการจัดการกองทุน LTF ที่ครบกำหนดในปี 2562 ทางเลือกใดผู้ถือหน่วยหลายคนเชื่อว่าหากไม่มีการต่ออายุกองทุน LTF แล้วตลาดหุ้นจะตก ระหว่าง ขายกองทุน LTF ที่ครบกำหนด หรือ สับเปลี่ยนกองทุน LTF ที่ครบกำหนดเข้ากองทุนรวม RMF
null
ขายกองทุน LTF ที่ครบกำหนด เพราะทางเลือกในการจัดการกองทุน LTF ที่ครบกำหนดในปี 2562 โดยการขายกองทุน LTF ที่ครบกำหนด ผู้ถือหน่วยหลายคนเชื่อว่าหากไม่มีการต่ออายุกองทุน LTF แล้วตลาดหุ้นจะตก เพราะผู้ถือหน่วยที่มีกองทุน LTF ครบกำหนดอาจจะขายกองทุนออก และเงินลงทุนในกองทุน LTF ที่จะช่วยพยุงตลาดหุ้นจะลดลง อย่างไรก็ตามจากข้อมูลของสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) พบว่ากองทุน LTF มีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ ทั้งหมด 386,689 ล้านบาท (31 พ.ค. 2562) คิดเป็นประมาณ 3% ของมูลค่าตลาดหุ้นไทยเท่านั้น จะเห็นว่ามูลค่าสินทรัพย์ของกองทุน LTF มีขนาดเล็กมากเมื่อเทียบกับขนาดของตลาดหุ้นไทย นอกจากนี้ผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีกองทุน LTF ครบกำหนดแล้วน่าจะทยอยขายหน่วยลงทุนแบบค่อยเป็นค่อยไปมากกว่าจะเทขายพร้อมๆ กัน ดังนั้น กองทุน LTF ที่ถูกขายออกมาจึงไม่น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ตลาดหุ้นลงแบบมีนัยสำคัญ ส่วนทางเลือกในการจัดการกองทุน LTF ที่ครบกำหนดในปี 2562 โดยการสับเปลี่ยนกองทุน LTF ที่ครบกำหนดเข้ากองทุนรวม RMF สำหรับบางคนที่มักจะขายกองทุน LTF ที่ครบกำหนดออกไป แล้วนำเงินก้อนที่ได้มาวนซื้อกองทุน LTF ใหม่เพื่อจะได้สิทธิลดหย่อนในปีภาษี คงทำแบบนั้นไม่ได้อีกแล้ว เพราะปี 2562 อาจจะเป็นปีสุดท้ายแล้ว แต่ถ้ายังต้องการใช้เงินก้อนเดิมลงทุนเพื่อประหยัดภาษี ขอแนะนำให้ขายกองทุน LTF ครบกำหนดแล้ว นำเงินนั้นมาลงทุนต่อในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) แทน เนื่องจากกองทุนนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถเก็บเงินก้อนไว้ใช้ในยามเกษียณ และนอกจากนั้นยังสามารถนำเงินที่ลงทุนใช้ลดหย่อนภาษีได้เหมือนกองทุน LTF แต่กองทุน RMF มักจะถูกมองข้ามอยู่เสมอ เพราะเงื่อนไขกองทุนที่ต้องลงทุนอย่างต่อเนื่องและยาวนาน ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยนิยมซื้อ ทั้งที่จริงๆ แล้วกองทุน RMF มีข้อดีเยอะมาก เนื่องจากมีทางเลือกการลงทุนที่หลากหลายกว่ากองทุน LTF ที่เน้นลงทุนในหุ้นเพียงอย่างเดียว ที่สำคัญคือขายได้แบบถูกเงื่อนไขเมื่ออายุครบ 55 ปีบริบูรณ์เท่านั้น ดังนั้น การลงทุนใน RMF จึงเป็นการลงทุนเพื่อวัยเกษียณอย่างแท้จริง นอกจากช่วยทำให้นักลงทุนประหยัดภาษีเพิ่มขึ้นแล้ว ยังทำให้พอร์ตเกษียณโตขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-nc-4.0
Finance_130
Finance
จงเสนอไอเดียการทำกำไรของสินทรัพย์ทั่วไปเปรียบเทียบกับสินทรัพย์ดิจิทัล
null
ทั้งนี้เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนจึงจับคู่เทียบวิธีเหล่านั้นดังนี้ 1) เทรด Cryptocurrency VS เทรดหุ้น การเทรดคริปโทเคอร์เรนซี กับ การเทรดหุ้น ถือเป็นการลงทุนในอีกรูปแบบหนึ่ง โดยที่การเทรดคริปโทฯ เป็นการนำเงินไปแลกเปลี่ยนเป็นสกุลเงินดิจิทัล เช่น Bitcoin Ethereum แล้วทำการซื้อขายกันได้ตลอด 24 ชั่วโมง บนบัญชีที่บันทึกด้วยเทคโนโลยี บล็อกเชน ราคาของเหรียญขึ้นอยู่กับความต้องการซื้อขายในตลาด โดยใช้โอกาสจากความผันผวนของราคา ยิ่งเหรียญมีความต้องการมาก ราคาของเหรียญนั้นก็จะดีดตัวสูงขึ้น ก่อนจะลงทุนเทรดเหรียญควรอ่านและศึกษาข้อมูลของเหรียญนั้นๆ จาก White Paper ซึ่งเป็นเอกสารที่ผู้สร้างเหรียญระบุข้อมูลที่เกี่ยวกับเหรียญทั้งหมดไว้ จะได้นำข้อมูลมาประกอบการตัดสินใจได้​ ส่วนการเทรดหุ้น เป็นการซื้อขายหุ้นโดยนำเงินของนักลงทุนไปร่วมลงทุนกับบริษัทที่เข้าตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งนักลงทุนจะเป็นเจ้าของหรือหุ้นส่วนตามจำนวนหุ้นที่ถืออยู่ สามารถเทรดหุ้นได้ตามเวลาที่กำหนด ผลตอบแทนจะมาจากกำไรส่วนต่างของราคาหุ้นที่นักลงทุนซื้อมากับราคาที่ขายไป และเงินปันผล หากหุ้นของบริษัทที่ซื้อมีนโยบายจ่ายเงินปันผล และก่อนที่จะเทรดหุ้นหรือซื้อขายหุ้นก็ควรดูให้เหมาะกับลักษณะนิสัยพื้นฐานของตัวเราเองด้วย เช่น หากนักลงทุนเลือกซื้อหุ้นโดยพิจารณาปัจจัยพื้นฐานจากผลการดำเนินงานบริษัท ควรอ่านและศึกษา งบกำไรขาดทุน งบดุล และงบกระแสเงินสด เพื่อประกอบการตัดสินใจแล้วรอจังหวะเข้าซื้อหุ้นในราคาที่เหมาะสม หากนักลงทุนชอบในการวิเคราะห์เชิงเทคนิค ควรดูกราฟย้อนหลัง เพื่อหาสัญญาณในการเข้าซื้อ และจุดขายทำกำไร 2) การฟาร์มเหรียญ VS การฝากเงินเข้าบัญชี จะเป็นรูปแบบการลงทุนในลักษณะของการฝากเหรียญหรือเงินเข้าบัญชี โดย การฟาร์มเหรียญ หรือ Yield Farming เป็นวิธีการลงทุนอีกรูปแบบหนึ่งใน Cryptocurrency ผลตอบแทนหรือกำไรจะได้มาในรูปแบบของค่าธรรมเนียม ดอกเบี้ย หรือเหรียญ Token บนแพลตฟอร์ม DeFi ที่นักลงทุนนำสินทรัพย์ดิจิทัลของตัวเองไปฝากไว้นั่นเอง ซึ่งรูปแบบของผลตอบแทนจะคล้ายกับการฝากเงินเข้าบัญชี ไม่ว่าจะเป็นบัญชีกระแสรายวัน ฝากประจำ ออมทรัพย์ ฯลฯ ที่จะได้มาในรูปแบบของดอกเบี้ย แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือการฟาร์มเหรียญจะถูกควบคุมด้วยระบบ Automated Market Maker (AMM) ที่จะช่วยดูแลสภาพคล่องจับคู่ซื้อขายสินทรัพย์เพื่อการลงทุนชนิดต่างๆบนโลกดิจิทัล หากนักลงทุนรับความเสี่ยงได้สูงและต้องการผลตอบแทนสม่ำเสมอการฟาร์มเหรียญมีโอกาสตอบโจทย์ดังกล่าวได้ หรือหากนักลงทุนไม่ชอบเสี่ยงหรือรับความเสี่ยงได้น้อยแนะนำเป็นฝากเงินเข้าบัญชีซึ่งปัจจุบันก็มีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น K-eSavings ซึ่งเป็นบัญชีเงินฝากออมทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ ดอกเบี้ย 1.5% ต่อปี 3) NFT + Coral VS ขายภาพออนไลน์ มาพูดถึงวิธีหาเงินหรือสร้างรายได้จากผลงานศิลปะกันบ้าง วิธีแรกคือ NFT (Non-Fungible Token) เป็นเหรียญดิจิทัลรูปแบบหนึ่งที่ทำขึ้นมาเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ ของสิ่งที่ถูกแปลงไปอยู่ในรูปแบบของดิจิทัล มีลักษณะเฉพาะตัวไม่มีอะไรมาทดแทนได้ เช่น ผลงานศิลปะ รูปภาพ เพลง หนัง ไอเทมเกม หรือที่ดินจำลอง ฯลฯ โดยทั่วไป NFT มีการซื้อขายกัน 2 แบบ คือการตั้งราคาแบบตายตัว กับการประมูลราคา โดยทำการซื้อหรือขายกับบนแพลตฟอร์ม เช่น Opensea, Sorare, Decentraland เป็นต้น ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มจากต่างประเทศ ส่วนแพลตฟอร์มในไทย คือ Coral เป็นแพลตฟอร์มซื้อขายชิ้นงาน NFT จาก KASIKORN X สามารถใช้สกุลเงินทั่วไปทำการซื้อได้ เช่น เงินบาทไทยหรือ เงินดอลลาร์สหรัฐฯ รวมไปถึงสามารถ โอนจ่ายผ่าน Mobile Banking ได้อีกด้วย สะดวกทั้งฝั่งคนซื้อและคนขาย ในขณะที่แพลตฟอร์มอื่นต้องแลกเหรียญสกุลคริปโทฯ เพื่อนำมาซื้องานศิลปะ ซึ่งก่อให้เกิดความยุ่งยาก แนวทางการบริหารจัดการรายได้ พอมีรายได้เข้ามาถึงเกณฑ์ที่กำหนดสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือเรื่องของการเสียภาษี จากตัวอย่างด้านบนสำหรับรายได้จากการเทรดคริปโทเคอร์เรนซีหากเป็นกำไรจากการจำหน่าย โอน แลกเปลี่ยนเหรียญ ถือเป็นเงินได้ประเภท 40(4)ฌ หากขุดเหรียญจะไม่นับเป็นเงินได้ แต่ถ้ามีการเอาเหรียญที่ขุดไปจำหน่าย โอน แลกเปลี่ยน จะถือเป็นเงินได้ 40(8) ส่วนการเทรดหุ้นในประเทศไทย กำไรจากการขายหุ้นยังได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี แต่ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขคือมีการซื้อขายหุ้นที่เกิดขึ้นในตลาดหลักทรัพย์เท่านั้น แต่ถ้ามีการขายหุ้นหรือโอนไปนอกตลาดหลักทรัพย์ นักลงทุนที่เป็นบุคคลธรรมดาที่อยู่ในประเทศไทยมากกว่าหรือเท่ากับ 180 วันในปีภาษีนั้น จะต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย ตามอัตราภาษีก้าวหน้า และต้องนำเงินได้ไปรวมคำนวณตอนสิ้นปีด้วย แต่หากกำไรจากการเทรดหุ้นเข้ารูปแบบบริษัท(นิติบุคคล) จะไม่ได้รับสิทธิยกเว้นภาษี จะต้องนำไปรวมเป็นรายได้เพื่อคำนวณภาษีเงินได้ และหากหุ้นที่ทำการซื้อขายนั้นมีการจ่ายเงินปันผลจะต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 10% สำหรับรายได้จากการฟาร์มเหรียญ ถือเป็นเงินได้ประเภท 40(8) ส่วนการการฝากเงินเข้าบัญชี ให้นับดอกเบี้ยรับรวมไม่เกิน 20,000 บาทต่อปี จะได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี แต่ถ้าเกินจะเข้าข่ายเสียภาษี และจะโดนหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% (เฉพาะดอกเบี้ยที่ได้รับเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับเงินต้น) เป็นต้น ส่วนรายได้จาก NFT ซึ่งถือว่ามีรายได้จากการขาย ถือเป็นเงินได้ประเภท 40(4)ฌ และการขายภาพออนไลน์ ภาพหรือผลงานนั้นจะเป็นของที่มีลิขสิทธ์ จึงถือเป็นเงินได้ 40(3) ดังนั้นหากเรากำลังมองหาอาชีพหรือวิธีในการหาเงินต้องไม่ลืมคิดถึงการเสียภาษีเงินได้ให้ถูกต้องด้วย จะได้ไม่มีปัญหาตามมาภายหลัง
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,5.ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Finance_1300
Finance
เจย์ พาวเวล ให้ความเห็นว่า ในการประชุมเฟด ช่วงกลางเดือนธันวาคม ปี 2021 อาจจะเป็นไปได้ว่าที่จะลดระยะเวลาในเรื่องใด
null
เจย์ พาวเวล ให้ความเห็นว่า ในการประชุมเฟด ช่วงกลางเดือนธันวาคม ปี 2021 อาจจะเป็นไปได้ว่าที่จะลดระยะเวลาการซื้อพันธบัตรจากธนาคารพาณิชย์ (QE) ที่มีแผนว่าจะยุติการซื้อดังกล่าวลงในเดือนมิถุนายน ปี 2022 ให้เร็วขึ้นกว่ากำหนดเดิม เป็นเวลา 2-3 เดือน ซึ่งต้องเขาจะพิจารณาข่าวและผลกระทบจากโควิด Omicron รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจล่าสุดก่อนวันประชุมเฟดในครั้งถัดไปประกอบด้วย ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐ ลดลงเกือบร้อยละ 2 ในวันดังกล่าว เมื่อพาวเวลได้แสดงจุดยืน จะพบว่า ไม่ว่าโควิด Omicron จะรุนแรงในสหรัฐหรือไม่ เมื่อตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐยังสูงอยู่ในกลางเดือนธันวาคม ปี 2021 ทางเฟดก็จะทำนโยบายการเงินตึงตัวขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าตลาดจะตอบรับแบบที่ไม่มีความรู้สึกเชิงลบแต่อย่างใด ในทางกลับกัน หากตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐออกมาไม่แรงมากเท่าไรในกลางเดือนธันวาคม ปี 2021 และมารู้ภายหลังว่า Omicron รุนแรงมากในสหรัฐ แล้วเฟดจะตัดสินใจคงนโยบาย QE Taper ตามแผนเดิม แน่นอนว่าตลาดก็น่าจะโอเคมาก เพราะการที่จะเปลี่ยนท่าทีนโยบายการเงินมาเป็นแนวผ่อนคลายมากขึ้นกว่าที่เคยบอกก่อนหน้านั้น ย่อมจะเป็นผลดีกับตลาด หรือแม้แต่ว่ามารู้ภายหลังว่า Omicron ไม่แรงที่สหรัฐ แล้วเฟดจะทำนโยบายการเงินตึงตัวขึ้น ตลาดก็ยังจะตอบรับแบบที่ดูโอเคอยู่ดี ถ้าพาวเวลตัดสินใจอีกแบบหนึ่ง โดยไม่แสดงท่าทีตอนนี้ว่าอยากจะทำให้นโยบายการเงินตึงตัวขึ้น ก็จะพบว่า พาวเวลอาจพาตัวเองเข้าสู่ที่นั่งลำบากว่าจะเสี่ยงทำให้ตลาดตื่นตระหนกในการประชุมเฟดครั้งถัดไป ช่วงกลางเดือนธันวาคม ปี 2021 โดยจะพบว่า ไม่ว่าโควิด Omicron จะรุนแรงในสหรัฐหรือไม่ เมื่อตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐยังแรงในกลางเดือนธันวาคม ปี 2021 เมื่อทางเฟดก็จะทำนโยบายการเงินตึงตัวขึ้น ซึ่งแน่นอนว่า การที่พาวเวลเลือกไม่แสดงท่าทีตอนนี้ว่าอยากจะทำให้นโยบายการเงินตึงตัวขึ้น ตลาดจะตอบรับแบบที่มีความรู้สึกเชิงลบหรืออาจจะถึงขั้นตระหนกเลยก็เป็นได้ อย่างไรก็ดี หากตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐไม่แรงมากเท่าไรในกลางเดือนธันวาคม ปี 2021 และมารู้ภายหลังว่า Omicron รุนแรงมากในสหรัฐ แล้วเฟดจะตัดสินใจคงนโยบาย QE Taper ตามแผนเดิม แน่นอนว่าตลาดก็ยังพอจะโอเค เพราะคงท่าทีนโยบายการเงินตามเดิม ย่อมจะเป็นผลดีกับตลาด ทว่าหากมารู้ภายหลังว่าตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐและ สถานการณ์โควิด Omicron ไม่รุนแรงที่สหรัฐ แล้วเฟดจะทำนโยบายการเงิน ตึงตัวขึ้น ตรงนี้ อาจจะทำให้ตลาดมีความตระหนกได้ โดยสรุป การที่พาวเวลแสดงท่าทีเปลี่ยนไป ถือเป็นตัวช่วยต่อเฟดในการบริหารจัดการความคาดหวังของตลาดหุ้นและตลาดบอนด์ในอนาคตอันใกล้
4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1301
Finance
หลังจากองค์การอนามัยโลก WHO ออกมาเตือนเกี่ยวกับ ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ B.1.1.529 ที่แพร่ระบาดในแอฟริกาใต้เนื่องจากมีการกลายพันธุ์ในหลายจุดอย่างมากจนน่าวิตก โดยจัดให้อยู่ในสถานการณ์ที่น่ากังวล พร้อมทั้งระบชื่อสายพันธุ์ใหม่ว่า โอไมครอน (Omicron) ส่งผลให้ S&P500 Index เป็นอย่างไร
A. ร่วงรุนแรงในช่วง 26-30 พ.ย. 64 กว่า -5% B. ร่วงรุนแรงในช่วง 26-30 พ.ย. 64 กว่า -3% C. ร่วงรุนแรงในช่วง 26-30 พ.ย. 64 กว่า -2% D. ร่วงรุนแรงในช่วง 26-30 พ.ย. 64 กว่า -4%
คำตอบที่ถูกต้องคือ B. เนื่องจาก พลันที่องค์การอนามัยโลก WHO ออกมาเตือนเกี่ยวกับ ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ B.1.1.529 ที่แพร่ระบาดในแอฟริกาใต้เนื่องจากมีการกลายพันธุ์ในหลายจุดอย่างมากจนน่าวิตก โดยจัดให้อยู่ในสถานการณ์ที่น่ากังวล พร้อมทั้งระบชื่อสายพันธุ์ใหม่ว่า โอไมครอน (Omicron) สินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกก็พังทลายลงทันที S&P500 Index ร่วงรุนแรงในช่วง 26-30 พ.ย. 64 กว่า -3% เช่นเดียวกับ SET Index ลงจัดหนักในช่วงเวลาเดียวกันกว่า -4.8% ทำไมการเจอไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ถึงต้องทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกสะเทือนกันได้ขนาดนี้ การหาคำตอบคงต้องย้อนความกลับไปถึงที่มาของ ไวรัสสายพันธุ์นี้ แรกเริ่มมีชื่อในทางวิทยาศาสตร์ว่า B.1.1.529 ก่อนที่ WHO จะตั้งชื่อเรียกให้ตามลำดับตัวอักษรกรีกว่าโอไมครอน เป็นไวรัสกลายพันธุ์ชนิดที่ 5 ที่องค์การอนามัยโลกจัดให้อยู่ในกลุ่มสายพันธุ์ที่น่ากังวล ต่อจากสายพันธุ์อัลฟา เบตา แกมมา และเดลตา ความน่ากลัวมันอยู่ตรงที่มีการกลายพันธุ์ของยีนรวมทั้งสิ้นถึง 50 ตำแหน่ง ซึ่งถือว่าผิดปกติอย่างยิ่งและทำให้มันมีความแตกต่างจากเชื้อโควิดกลายพันธุ์อื่น ๆ ที่เคยพบมาเป็นอย่างมาก และการกลายพันธุ์แบบเหนือความคาดหมายนี้ จัดเป็นการกลายพันธุ์ของโปรตีนบนส่วนหนามของไวรัสถึง 32 ตำแหน่ง ซึ่งส่วนดังกล่าวมีความสำคัญยิ่ง ในการเป็นกุญแจที่ไวรัสใช้ไขประตูเข้าสู่เซลล์ร่างกายมนุษย์ โดยเป็นที่แน่ชัดว่าการติดเชื้อของ Omicron มีอัตราที่เร็วกว่าสายพันธุ์เดลตามาก อย่างไรก็ตามยังคงต้องรอการตรวจสอบจากห้องปฏิบัติการอีกนานหลายสัปดาห์ จึงจะสามารถบอกได้ว่ายีนเหล่านั้นมีผลทำให้เชื้อโควิดดังกล่าวมีฤทธิ์ร้ายแรง เหนือกว่าเชื้อกลายพันธุ์ชนิดอื่น ๆ ที่เคยพบมาก่อนหรือไม่ เช่นเดียวกับประสิทธิภาพของวัคซีนต่าง ๆ ในการป้องกันสายพันธุ์นี้ ยังเป็นสิ่งที่ต้องรอผลการทดสอบทางวิทยาศาสตร์ เท่ากับเรารู้ว่าสายพันธุ์โอไมครอนติดง่ายติดไวกว่าสายพันธุ์เดลตา แต่เรายังไม่รู้ว่า Omicron จะส่งผล 1. ไวรัสจะก่อให้เกิดโรคที่รุนแรงมากเพียงใด 2. ไวรัสสามารถหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันจากวัคซีนที่มีอยู่ในปัจจุบันได้หรือไม่ 3. ผู้ที่ฉีดวัคซีนไป เมื่อติดสายพันธุ์นี้จะมีอาการป่วยอย่างไร เมื่อไม่รู้ก็คือความไม่แน่นอน ความเสี่ยงที่แต่ละประเทศจะหันมาใช้นโยบายที่เข้มงวด เช่น ล็อกดาวน์ จำกัดการเดินทางหรือปิดประเทศก็มีมากขึ้น ความไม่แน่นอนแบบนี้คือสิ่งที่ตลาดไม่ชอบ เมื่อไม่ชอบก็ขอขายไว้ก่อน สภาวะ Risk Off จึงเกิดขึ้น
4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_1302
Finance
เขียนแนวคิดของเรื่อง "เส้นทางสู่ความรวย สำรวจกองทุนชั้นนำและเทรนด์ใหม่ๆในโลกการเงิน ประจำสัปดาห์ (27 พฤศจิกายน - 3 ธันวาคม 2564)"
null
นักลงทุนที่ต้องการสรุปแนวคิดเกี่ยวกับกองทุนผลตอบแทนเด่นและกองทุนยอดนิยมประจำสัปดาห์ (27 พฤศจิกายน - 3 ธันวาคม 2564) สามารถทำได้ดังนี้ 1. การสรุปกองทุนผลตอบแทนเด่น (Top Performing Funds) - การวิเคราะห์ผลตอบแทนของกองทุนต่างๆ ในช่วงเวลาที่ระบุ (27 พฤศจิกายน - 3 ธันวาคม 2564) เพื่อระบุกองทุนที่มีผลตอบแทนดีที่สุดในช่วงเวลานั้น - การตรวจสอบปัจจัยที่ทำให้กองทุนเหล่านั้นมีผลตอบแทนเด่น เช่น การลงทุนในตลาดใด สินทรัพย์ใด เป็นต้น - การสรุปแนวโน้มของกองทุนเหล่านี้ว่ามีการพัฒนาและคาดว่าจะสามารถรักษาผลตอบแทนดีในอนาคตได้หรือไม่ 2. การสรุปกองทุนยอดนิยมประจำสัปดาห์ (Top Trending Funds of the Week) - การตรวจสอบกองทุนที่มีความนิยมในช่วงเวลาดังกล่าว โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น ประเภทของกองทุน ผู้ดำเนินการ หรือประสบการณ์การลงทุน - การสำรวจสาเหตุที่ทำให้กองทุนเหล่านั้นมีความนิยม ไม่ว่าจะเป็นการปรับตัวของตลาดหรือเหตุการณ์สำคัญในวงการการเงิน - การพิจารณาว่าความนิยมนี้มีฐานะที่จะต่ออยู่หรือไม่ เช่น การแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ หรือสถานการณ์ในตลาดที่เปลี่ยนแปลง ** การทำสรุปเหล่านี้จะช่วยให้นักลงทุนเข้าใจแนวโน้มของกองทุนและการลงทุนในช่วงเวลานั้นๆ ซึ่งสามารถช่วยในการตัดสินใจเกี่ยวกับการลงทุนของตนเองได้ในอนาคต.
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1304
Finance
บอกแนวคิดแคมเปญเรื่อง "Alibaba Insights: สำรวจโอกาสและความเสี่ยงในตลาดอีคอมเมิร์ซ" ให้หน่อย
null
แนวคิดแคมเปญ "ส่อง Alibaba หลังงบออก หุ้นยังน่าสนใจอยู่ไหม?" เน้นการวิเคราะห์และสำรวจเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันของ Alibaba และองค์กรที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ผู้สนใจได้เข้าใจข้อเท็จจริงและมีข้อมูลในการตัดสินใจการลงทุนได้อย่างมั่นใจ ดังนี้ 1. วิเคราะห์โดยละเอียดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในงบการเงินของ Alibaba: วิเคราะห์รายงานการเงินล่าสุดของ Alibaba เพื่อเข้าใจถึงความเปลี่ยนแปลงในรายได้ กำไร และฐานลูกค้า เพื่อเข้าใจถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อการลงทุนในหุ้นของบริษัท 2. การวิเคราะห์แนวโน้มของตลาดและอุตสาหกรรม: ศึกษาแนวโน้มของตลาดที่บริษัทอยู่ในนั้น เช่น การเติบโตของอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซและการซื้อขายออนไลน์ รวมถึงการวิเคราะห์คู่แข่งของ Alibaba ในตลาดนี้ 3. การวิเคราะห์ความเสี่ยงและโอกาส: วิเคราะห์ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อความเสี่ยงและโอกาสของการลงทุนในหุ้นของ Alibaba เช่น ความเสี่ยงจากนโยบายการคุ้มครองข้อมูลในประเทศจีน และโอกาสในการขยายตัวในตลาดระหว่างชาวตะวันตก 4. สร้างเนื้อหาที่มีคุณค่า: สร้างเนื้อหาที่มีคุณค่าสำหรับผู้ที่สนใจเกี่ยวกับการลงทุน โดยรวมข้อมูลที่มีประโยชน์ เช่น บทวิเคราะห์รายงานการเงิน สรุปการวิเคราะห์โดยละเอียด และแนะนำว่าควรลงทุนหรือไม่ 5. ใช้สื่อสังคมและการตลาดออนไลน์: ใช้แพลตฟอร์มสื่อสังคมและการตลาดออนไลน์ เช่น เว็บไซต์ โพสต์บนโซเชียลมีเดีย และอีเมล์เพื่อเผยแพร่แคมเปญและเนื้อหาของคุณแก่กลุ่มเป้าหมาย 6. สร้างสรรค์กิจกรรมเพื่อสร้างความสนใจ: สร้างกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับแคมเปญ เช่น เวิร์กช็อป สัมมนา หรือเกมทางออนไลน์ เพื่อเชื่อมโยงและสร้างความสนใจจากผู้ที่สนใจ 7. ติดตามและประเมินผล: ติดตามผลของแคมเปญและประเมินผลความสำเร็จ เพื่อปรับปรุงและปรับใช้กลยุทธ์ต่อไปให้เหมาะสม ** แคมเปญนี้จะช่วยให้ผู้สนใจทราบถึงสถานะและโอกาสในการลงทุนในหุ้นของ Alibaba อย่างมั่นใจและมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการตัดสินใจ
5.ความรู้ทางการเงิน,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1309
Finance
บอกข้อมูลที่น่าสนใจของกลยุทธ์ US Discovery จาก Baillie Gifford
null
เน้นลงทุนหุ้นขนาดกลาง-เล็กตามสไตล์ Baillie Gifford หุ้นกลุ่มดังกล่าวในระยะยาวสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าหุ้นขนาดใหญ่ ถึงแม้จะมีความผันผวน ลงทุนในหุ้นที่มีศักยภาพเติบโตที่รอคอยการค้นพบ ลงทุนในสหรัฐฯ ภูมิภาคที่มีหุ้นขนาดกลาง-เล็กที่มีเทคโนโลยี ศักยภาพหรือโมเดลธุรกิจที่สามารถเข้าไป Disrupt บริษัทรูปแบบเดิม ๆ ได้ ทำให้สร้างการเติบโตได้สูง มีขอบเขตการลงทุนในหุ้นที่กว้างและหลากหลายกว่าดัชนี S&P 500 มีขอบเขตการลงทุนในหุ้นที่กว้างและหลากหลายกว่ากว่าดัชนี S&P 500 หุ้นขนาดเล็กมีข้อได้เปรียบ อย่างการที่มีจำนวนนักวิเคราะห์ติดตามต่อหุ้นน้อยกว่า ส่งผลให้ผู้เล่นอื่น ๆ ในตลาดส่วนใหญ่อาจยังไม่รับรู้ ดังนั้นหากใครเจอก่อนก็อาจได้รับโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่มากกว่า บริษัทขนาดเล็กในสหรัฐฯ มักถูกตกเป็นเป้าหมายในการทำ M&A (ควบรวบหรือซื้อกิจการ) อีกทั้งสหรัฐฯ ยังเป็นประเทศที่มีขนาดการทำธุรกรรม M&A สูงที่สุดมากกว่าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกถึง 3 เท่า ซึ่งสิ่งนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสในการปลดล็อกมูลค่าหุ้นขนาดเล็ก Baillie Gifford ไม่มีผู้ถือหุ้น (Board ต่าง ๆ ) จากภายนอก ทำให้ไม่มีแรงกดดันจากผู้ที่มีสิทธิเสียงและมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทาง เพื่อที่จะเร่งให้บริษัทประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_131
Finance
แนะนำหน่อย กองทุน K-SF กองทุนความเสี่ยงต่ำ ของธนาคารกสิกรไทย คืออะไร
null
กองทุน K-SF เป็นกองทุนที่ลงทุนในเงินฝากประจำอายุ 1 ปี ตราสารหนี้ภาครัฐและเอกชนอายุ 1 ปี ทั้งในและต่างประเทศ โดยเน้นตราสารหนี้ไทยระยะสั้นที่มีเครดิตความน่าเชื่อถือของผู้ออกตราสารหนี้ในระดับที่น่าลงทุน มีความเสี่ยงอยู่ที่ระดับ 4 ปานกลางค่อนข้างต่ำ ตัวอย่างสินทรัพย์ที่กองทุน K-SF ลงทุน เช่น พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย ตั๋วเงินคลังและตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกโดยกระทรวงการคลัง หุ้นกู้ บมจ. ธนาคารเกียรตินาคินภัทร เป็นต้น นอกจากกองทุนเปิดอย่าง K-SF ในกลุ่มตราสารหนี้ระยะสั้น หากต้องการลงทุนประหยัดภาษีและกังวลในสินทรัพย์เสี่ยงมากๆ ก็สามารถลงทุน KSFRMF ได้ผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1ปี 3ปี และ 5ปี อยู่ที่ 0.34% 0.57% และ 0.84% ตามลำดับ จากตัวอย่างที่กล่าวมาข้างต้น หากลงทุนในกองทุนรวมตราสารที่อายุสั้นๆ ถ้ามีการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นและกองทุนรวมตราสารเหล่านี้เมื่อครบอายุแล้วกองทุนต้องไปลงทุนใหม่ ก็จะได้รับตราสารตัวใหม่ที่อัตราดอกเบี้ยใหม่ที่น่าจะสูงขึ้นตามไปด้วยนั้นเอง สมมติมีเงินลงทุน 1 ล้านบาท ​ลงทุนในกองทุน K-SF ตัวเลข Maximum Drawdown จะบอกว่ากองทุนนี้มีโอกาสขาดทุนสูงสุดอยู่ที่ -0.09% ระยะเวลาคืนทุนจากที่ขาดทุนกลับมาเท่าทุน หรือ Recovering Period จะอยู่ที่ 0.1 เดือน (3 วัน) และอายุเฉลี่ยของกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นนี้อยู่ที่ 3.84 เดือน หมายความว่าหากเราลงทุนและดูข้อมูลเชิงสถิตินี้แล้วให้ถามตัวเองว่าถ้าเกิดเหตุขาดทุน ที่ประมาณ 1 ล้านละ 900 บาท และตัวเลขขาดทุนที่ว่า จะกลับมาเป็นบวกได้ภายในเวลาสั้นๆ จากอดีตกองทุนนี้ใช้เวลา 3 วัน และเราน่าจะมีโอกาสได้ผลตอบแทนจากการลงทุนที่คาดหวังได้อยู่ประมาณใกล้ๆ 1.37% ถ้าหากถือได้ยาวถึง 3 เดือนกว่าๆ เกือบ 4 เดือน แบบนี้เรายอมรับได้ไหม ถ้ายอมรรับได้ก็ถือว่ารับกับความเสี่ยงที่กองทุนนี้มีได้
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน,6.ข้อมูลการเงินรายบริษัท
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Finance_1310
Finance
เขียนเรืองสั้นเกี่ยวกับเรื่อง "รู้เรื่องงบกระแสเงินสดก่อนลงทุน: เส้นทางสู่การลงทุนที่มั่นคง" ให้หน่อย
null
หัวข้อ: งบกระแสเงินสดคืออะไร: เรื่องต้องรู้ก่อนซื้อหุ้น รู้ไว้จะได้ไม่โดนหลอก! ในโลกการลงทุนในตลาดหุ้น มีคำศัพท์หลายอย่างที่ผู้ลงทุนควรทราบ เพื่อป้องกันตัวเองจากความเสี่ยง และหนึ่งในนั้นคือ "งบกระแสเงินสด" ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการวิเคราะห์หุ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ลงทุนที่มีความสนใจในหุ้นที่มีความผันผวนสูง แต่สำหรับมือใหม่หรือผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับงบกระแสเงินสดนี้ อาจจะเป็นเรื่องที่ยากที่จะเข้าใจ เรามาดูกันว่างบกระแสเงินสดคืออะไรและทำไมเราควรรู้เรื่องนี้ก่อนที่จะลงทุนในหุ้นต่างๆ งบกระแสเงินสด หรือในภาษาอังกฤษเรียกว่า "Cash Flow Statement" เป็นเอกสารทางการเงินที่สำคัญ เพราะมันช่วยให้รู้ว่าบริษัทมีเงินสดเพียงพอในการดำเนินธุรกิจหรือไม่ นอกจากนี้ยังช่วยให้รู้ถึงวิธีการใช้เงินและที่มาของเงินในการดำเนินกิจการ และทำให้เรารู้ว่าบริษัทได้รับเงินจากไหน จ่ายเงินให้ใคร และใช้เงินอย่างไร การวิเคราะห์งบกระแสเงินสดที่ดีจะช่วยให้มองเห็นภาพรวมของสถานะการเงินของบริษัทได้อย่างชัดเจน และช่วยให้ตัดสินใจได้อย่างมั่นใจในการลงทุน ดังนั้น การศึกษาและเรียนรู้เกี่ยวกับงบกระแสเงินสดจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ลงทุนทุกคนควรทำก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนในหุ้น ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในบริษัทใหม่หรือบริษัทที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1315
Finance
ช่วยสรุปบทความ ปัญหา Supply Shortage ที่แก้ไม่ตก
การระบาดของไวรัสในปี 2020 ส่งผลให้หลายอุตสาหกรรมหลายบริษัทต้องปิดตัวลง ในขณะที่หลายแห่งทยอยเลิกจ้างพนักงานและลดกำลังการผลิตเพราะยอดคำสั่งซื้อที่น้อยลงจากการล็อกดาวน์ พอสถานการณ์เริ่มดีขึ้นจากการเร่งฉีดวัคซีน ส่งผลให้ Demand หรือความต้องการชอปของคนเริ่มขยับสูงขึ้น โดยเฉพาะประเทศฝั่งตะวันตกที่ฟื้นตัวก่อนใคร สวนทางกับ Supply Chain ในเอเชียที่ฟื้นช้ากว่า เนื่องจากต้องรอคิววัคซีน กระทบทั้งโรงงานและผู้จัดจำหน่ายสินค้าไม่สามารถส่งมอบของตามคำสั่งซื้อได้ ปัญหาอาจทวีความรุนแรงขึ้นอีกจากสถานการณ์ในปัจจุบัน เช่น การขาดแคลนพลังงานไฟฟ้าของจีนที่กระทบไปทั้งโลก ล่าสุดแมกนีเซียมซึ่ง 85% ของกำลังการผลิตอยู่ในจีนกำลังขาดแคลนมาก และมีแนวโน้มจะกระทบต่อกันเป็นทอด ๆ เพราะเป็นวัสดุที่เราใช้ในอุตสาหกรรมทั่วไป ตั้งแต่กระป๋องเครื่องดื่มจนไปถึงวัสดุประกอบเครื่องบินและยานอวกาศ รวมถึงธุรกิจยานยนต์ที่ใช้งานราว 35% ของกำลังการผลิตรวม ในหลาย ๆ ประเทศต้องการ Vaccine Passport ให้เฉพาะคนที่ฉีดวัคซีนแล้วเข้ามาทำงานเท่านั้น แต่แรงงานค่าแรงต่ำจำนวนมากมาจากประเทศยากจนและยังไม่ได้รับวัคซีนมากนัก จึงไม่สามารถเข้าไปทำงานได้ ตัวอย่างเช่น หลัง Brexit อังกฤษ มีการข้ามมาทำงานของแรงงานลดลง ทำให้คนงานขาดแคลนทั้งท่าเรือและคนส่งของ ชิปขาดแคลนหนัก กระทบการส่งมอบ iPhone 13 และสินค้าจำนวนมาก Supply Shortage จะสะท้อนออกมาในตัวเลข GDP ที่ต่ำกว่าคาดการณ์ หรือผลประกอบการบริษัทต่าง ๆ ลดลงจากต้นทุนที่สูงขึ้นโดยเฉพาะบริษัทที่เดิมมี Margin ต่ำอยู่เเล้วอาจจะพลิกเป็นขาดทุนได้เลย ทั้งนี้ปัญหา Supply Shortage ไม่ได้ส่งผลเสียเสมอไป กลับเป็นการเร่งให้โรงงานและบรรดาผู้ผลิตหันมาพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีกันมากขึ้นเพื่อแก้ปัญหาแรงงานและลดต้นทุนการดำเนินการของบริษัทในระยะยาว
การระบาดไวรัสปี 2020 ทำให้อุตสาหกรรมหลายแห่งต้องปิดตัวและลดการผลิตเนื่องจากคำสั่งซื้อลดลง การเร่งฉีดวัคซีนทำให้ความต้องการชอปเพิ่มขึ้น แต่ส่งผลกระทบใน Supply Chain ที่ฟื้นตัวช้าในเอเชีย ไม่สามารถส่งมอบของตามคำสั่งซื้อได้ ปัญหา Supply Shortage ส่งผลให้ GDP ต่ำกว่าคาดการณ์และลดมาร์จินของบริษัท แต่เป็นโอกาสในการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีในอนาคต
1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1316
Finance
ข้อใดปัจจัยเป็นที่ทำให้มีการคาดกันว่า แบงก์ชาติอังกฤษน่าจะมีแรงกดดันให้จำเป็นต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายก่อนประเทศพัฒนาแล้ว
a. วิกฤตซับไพร์ม b. ความผันผวนต่อทั้งอัตราเงินเฟ้อและจีดีพีในระยะสั้น c. ระดับกิจกรรมทางเศรษฐกิจจะกลับมาคึกคักอย่างรวดเร็วและรุนแรง เนื่องจากการหยุดการบริโภคสินค้าและบริการในช่วงโควิด d. อัตราเงินเฟ้อเป้าหมาย
คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ c. เนื่องจาก ปัจจัยต่าง ๆ ที่ทำให้มีการคาดกันว่า แบงก์ชาติอังกฤษน่าจะมีแรงกดดันให้จำเป็นต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายก่อนประเทศพัฒนาแล้ว มีดังนี้ 1. แม้จะเป็นปรากฏการณ์ที่พบเห็นกันในทุกเศรษฐกิจ ที่เมื่อเริ่มมีการเปิดเมืองหลังจากสถานการณ์โควิดลดความรุนแรงลง ระดับกิจกรรมทางเศรษฐกิจจะกลับมาคึกคักอย่างรวดเร็วและรุนแรง เนื่องจากการหยุดการบริโภคสินค้าและบริการในช่วงโควิด ทำให้มีแรงการจับจ่ายใช้สอยชดเชยในช่วงที่ผ่านมา อีกทั้งมาจากผลของฐานของระดับกิจกรรมทางเศรษฐกิจในช่วงโควิดที่ต่ำอีกด้วย อย่างไรก็ดี ในกรณีของเศรษฐกิจอังกฤษ ยังมาจากแรงบวกเพิ่มเติมอีก 2 แรง อันประกอบด้วย - ขนาดของแพ็คเกจการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลและ QE จากแบงก์ชาติอังกฤษถือว่าสูงเกือบจะที่สุดในโลก ด้วยขนาดร้อยละ 19 ต่อจีดีพี ส่งผลให้เศรษฐกิจอังกฤษกลับมาเติบโตอีกครั้งได้อย่างรวดเร็วมาก - ด้วยขนาดของเงินออมของประชาชนและบริษัทต่าง ๆ ในอังกฤษที่สะสมมาจากช่วงกักตัวระหว่างสถานการณ์โควิด ประมาณ 2 แสนล้านปอนด์ และ 1 แสนล้านปอนด์ ตามลำดับ ส่งผลต่อการจับจ่ายใช้สอยสินค้าและบริการของชาวอังกฤษในช่วงหลังโควิดเป็นอย่างมาก 2. ระดับราคาของสินค้าและบริการของเศรษฐกิจอังกฤษที่เพิ่มขึ้น เริ่มจะกระจายตัวไปยังหมวดสินค้าและบริการต่างๆ ที่หลากหลายขึ้น ซึ่งจากเดิมที่กระจุกอยู่ที่หมวดพลังงาน อาหาร และยานยนต์ ก็เริ่มที่จะกระจายไปยังหมวดสินค้าและบริการทั่วไปมากขึ้น นอกจากนี้ ระดับอัตราเงินเฟ้อคาดหวังของอังกฤษถือว่าได้ขึ้นมาอยู่ในจุดสูงสุด นับตั้งแต่เริ่มมีการใช้มาตรการอัตราเงินเฟ้อเป้าหมายในปี 1992 3. การที่เศรษฐกิจอังกฤษในช่วงหลังโควิดสามารถฟื้นตัวกลับมาได้เร็วกว่าวิกฤตในช่วงซับไพร์มค่อนข้างมาก จึงส่งผลให้ตัวเลขคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อล่าสุดที่เคยทำไว้ก่อนหน้านี้ ต่ำกว่าตัวเลขอัตราเงินเฟ้ออังกฤษเดือนตุลาคม 2021 ที่ออกมาค่อนข้างเยอะ
4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_1317
Finance
ประเภทของการฝากเงิน มีอะไรบ้าง
null
จะเรียกว่าการฝากเงินเป็นการลงทุนก็คงเรียกได้ไม่เต็มปากนัก เพราะมันคือ “การออม” มากกว่า สำหรับการฝากเงินนั้นก็มีหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น - เงินฝากออมทรัพย์: เป็นการฝากเงินแบบไม่กำหนดระยะเวลาฝากถอน ผู้ฝากสามารถฝากและถอนเงินได้ตามวันที่สะดวก ดอกเบี้ยเงินฝากประเภทนี้อยู่ที่ประมาณ 0.125% – 2.00% โดยดอกเบี้ยส่วนที่เกิน 20,000 บาทผู้ฝากเงินจะต้องเสียภาษี ณ ที่จ่าย 15% ของดอกเบี้ยที่ได้รับ - เงินฝากประจำ: เป็นการฝากเงินแบบกำหนดระยะเวลาฝากถอนชัดเจน ซึ่งระยะเวลาก็มีตั้งแต่ 3, 6, 12, 24, 36 และสูงสุด 48 เดือน ดอกเบี้ยเงินฝากประจำจะอยู่ที่ประมาณ 0.30% – 1.35% ซึ่งหากมีการถอนเงินก่อนครบกำหนดก็อาจจะไม่ได้รับดอกเบี้ยในอัตราที่ธนาคารประกาศ นอกจากนี้ดอกเบี้ยเงินฝากประจำนั้นต้องมีการเสียภาษี ณ ที่จ่าย 15% ของดอกเบี้ยที่ได้รับ เช่นเดียวกับการฝากออมทรัพย์ แต่ก็มีบางธนาคารที่มีบัญชีเงินฝากแบบปลอดภาษีให้ลูกค้าได้เลือกใช้บริการอีกด้วย - เงินฝากดิจิทัล: เป็นการฝากเงินในรูปแบบออนไลน์ โดยเงินฝากประเภทนี้จะไม่มีสมุดบัญชี และทำธุรกรรมต่าง ๆ ผ่านแอปพลิเคชันของธนาคาร ซึ่งแต่ละธนาคารก็จะจ่ายดอกเบี้ยในอัตราที่แตกต่างกันไป ปกติแล้วจะอยู่ที่ประมาณ 1.10% – 2.00% การคิดดอกเบี้ยของธนาคารก็จะคิดดอกเบี้ยแบบทบต้น (Compound Interest Rate) โดยจะมีการจ่ายดอกเบี้ยให้ผู้ฝากเงินปีละ 1-2 ครั้ง หรือจ่ายทุกเดือนก็แล้วแต่เงื่อนไขของธนาคารต่าง ๆ ยกเว้นเงินฝากประเภทฝากประจำที่จะจ่ายดอกเบี้ย ณ วันครบกำหนดระยะเวลาฝากประจำทีเดียว ซึ่งแน่นอนว่าสินทรัพย์ประเภทเงินฝากนี้เป็นสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงที่สุด เพราะสามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ทันทีเมื่อต้องการนั่นเอง อย่างไรก็ตาม เมื่อช่วงเดือนสิงหาคม 2564 ที่ผ่านมา ทางสถาบันคุ้มครองเงินฝากได้ปรับลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากเหลือ 1 ล้านบาท ซึ่งหมายความว่าหากฝากเงินในธนาคาร A เกิน 1 ล้านบาท ในวันที่ธนาคาร A ล้มในวันที่ธนาคาร A พลาด จะได้รับเงินฝากคืนเพียงแค่ 1 ล้านบาทเท่านั้น ส่วนที่เกิน 1 ล้านบาทไม่รับประกันว่าจะได้คืน จะเห็นได้ว่าการฝากเงินในธนาคารก็มีความเสี่ยงอยู่เหมือนกัน ดังนั้น ควรวางแผนดี ๆ ว่าส่วนที่เกินนั้นจะเอาไปไว้ที่ใดหรือจะเอาไปลงทุนในสินทรัพย์ใด
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1318
Finance
จงแต่งนิยายเรื่อง "นิกกับเส้นทางของกล้าหาญในการเล่นหุ้น Turnaround" จากจุดเรื่มต้นจนถึงความสำเร็จ
null
ชื่อเรื่อง: "หัวข้อ เล่นหุ้น Turnaround" จุดเริ่มต้น ในยุคที่เติบโตของเศรษฐกิจที่ไม่มั่นคงและการแข่งขันทางธุรกิจที่รุนแรงอย่างไม่หยุดนิ่ง ความเสี่ยงในการลงทุนในตลาดหุ้นกลายเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องพบเห็นเสมอ แต่สำหรับเนิกนักเทรดหุ้นชาวเมืองที่มีประสบการณ์ การลงทุนในหุ้นมิได้เพียงแค่เป็นธุรกิจ แต่เป็นที่สำคัญในชีวิต เป็นการเล่นเกมที่เขาชื่นชอบและมีความชอบใจอย่างใจจริง แผนฉุกเฉิน นิกเคยพบกับสถานการณ์ที่ทรุดโทรมในตลาดหุ้นมาก่อน แต่ครั้งนี้เขาพบกับบางอย่างที่แตกต่าง บริษัทที่เคยเป็นดาวอังคารของตลาดกลายเป็นดาวตกอย่างรวดเร็ว แต่เขาเชื่อว่ามันยังไม่สิ้นสุด มีโอกาสในการกลับมาอีกครั้ง จากการศึกษาและวิเคราะห์เขาได้เห็นแผนการฟื้นฟูที่เป็นไปได้ การเดินทางของการลงทุน นิกตัดสินใจที่จะลงทุนในหุ้นของบริษัทที่มีแนวโน้มที่จะกลับมาได้ เขาไม่ได้มองหากำไรที่รวดเร็ว แต่นิกมองหาโอกาสที่มั่นคงและทนทานในระยะยาว นิกใช้เวลาในการศึกษาและวิเคราะห์ในการ ตัดสินใจ และกล้าพนันในสิ่งที่เขาเชื่อ ความสำเร็จและอุปสรรค การเล่นหุ้นในแบบ Turnaround ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดาย นิกพบว่ามีอุปสรรคและความท้าทายมากมายรออยู่ นิกต้องพยายามทำให้ความคาดหมายของนิกเป็นจริงและเอาใจใส่กับการจัดการ สถานการณ์ ผ่านทางความพยายามและความมุ่งมั่น สุดท้ายนิกสามารถทำให้การลงทุนกลับมาในแนวทางที่ถูกต้อง บริษัทที่เคยเข้าสู่ช่วงวิกฤตก็ได้เข้าสู่ช่วงที่ดีขึ้น และเขาก็ได้รับความสำเร็จที่เขาคาดหวัง บทสรุป: การเรียนรู้และการเสี่ยง เรื่องราวของนิกเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ที่สนใจในการลงทุนในตลาดหุ้น สอนให้เห็นว่าความสำเร็จไม่มาจากการลงทุนที่ปลอดภัยเสมอไป แต่มาจากความกล้าหาญในการเริ่มต้น และความตั้งใจในการทำสิ่งที่เชื่อว่าถูกต้อง การลงทุนในหุ้น Turnaround อาจเป็นการเสี่ยง แต่มันก็เป็นโอกาสที่สามารถเปลี่ยนชีวิตของเราได้ตลอดไป ต้องมีการเรียนรู้และการก้าวขึ้นมา อย่างมั่นคงกับความเสี่ยงที่เกี่ยวกับการลงทุนในตลาดหุ้นให้แน่ใจว่ามีโอกาสสูงในการประสบความสำเร็จในที่สุด.
5.ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1319
Finance
ในเดือน พ.ย. 2564 ธนาคารทิสโก้ได้เลือก “ประเทศจีน” เข้ามาใหม่ในธีมกองทุน Value Play เนื่องจากอะไ
null
ในเดือน พ.ย. 2564 ธนาคารทิสโก้ได้เลือก “ประเทศจีน” เข้ามาใหม่ในธีมกองทุน Value Play เนื่องจากมองว่า เป็นประเทศที่ราคาหุ้นยังค่อนข้างถูก และมีศักยภาพการเติบโต เห็นได้จากอัตราส่วนระหว่างราคาหลักทรัพย์ต่อกำไรสุทธิคาดการณ์ต่อหุ้นใน 12 เดือนข้างหน้า (12M Forward P/E Ratio) ของจีน ซึ่งยังอยู่ในระดับต่ำ เมื่อเทียบกับหลายประเทศในเอเชีย รวมถึงสหรัฐฯ (ข้อมูล ณ 30 กันยายน 2564) ส่วนประเด็นลบ จากทางการจีนที่ออกกฎเกณฑ์กำกับดูแลบริษัทอย่างเข้มงวด ทั้งบริษัทกวดวิชา บริษัทด้านเทคโนโลยีขนาดใหญ่ บริษัทเกม แม้จะกดดันตลาดให้ปรับตัวลดลง แต่ตลาดหุ้นก็ดูจะตอบรับต่อประเด็นการเพิ่มกฎระเบียบไปค่อนข้างมากแล้ว ทำให้การออกกฎระเบียบเพิ่มเติมอาจกลับกลายเป็นข่าวดีที่จะสร้างความชัดเจนให้กับตลาดในระยะข้างหน้า ขณะที่ในฟากของธุรกิจภาคอสังหาฯ ที่หลายคนกังวลว่า จะอ่อนแอลงจากวิกฤต Evergrande นั้น นาย Yi Gang และนาย Zou Lan ระบุว่าสามารถควบคุมได้แล้ว โดยนาย Zou ระบุว่ารัฐบาลจะปกป้องผู้บริโภคทุกรายและให้การสนับสนุนทางการเงินสำหรับการเริ่มก่อสร้างใหม่ และยังระบุว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ส่วนใหญ่มีการดำเนินงานที่มั่นคงและมีตัวชี้วัดทางการเงินที่ดีด้วย3 นอกจากนี้ธนาคารทิสโก้ มองว่า ยุโรป ญี่ปุ่น เป็นประเทศที่ยังคงแนะนำให้ลงทุนต่อเนื่องจากเดือน ต.ค. 2564 เนื่องจากมีความโดดเด่นด้านราคาที่ “ถูกกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ เห็นได้จาก Forward P/E ของตลาดหุ้นยุโรป (STOXX600) และตลาดหุ้นญี่ปุ่น (Nikkei225) เทรดที่ Discount กับตลาดหุ้นสหรัฐฯ (S&P500) รวมถึงตลาดหุ้นยุโรป (STOXX600) และตลาดหุ้นญี่ปุ่น (Nikkei225) มีประมาณการอัตราการเติบโตของกำไร (Earnings growth forcast) สูงกว่าเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ (S&P500) อีกด้วย หรือสรุปก็คือ ราคาไม่แพง และกำไรมีแนวโน้มเติบโตดีนั่นเอง
4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1320
Finance
กองทุน M-EDGE คืออะไร
null
กองทุน M-EDGE เป็นกองทุนที่เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มองหาโอกาสการลงทุนในหุ้นคุณภาพในช่วงที่ตลาดอาจมีความผันผวน กองทุนจะมีรูปแบบสะสมมูลค่า ​​คำเตือน: ผลการดำเนินงานในอดีต/ผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนในกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจทำให้ได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรก กองทุนมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจผู้จัดการกองทุน ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนในกองทุนรวม ปรัชญาการลงทุน: - เฟ้นหาบริษัทที่เป็นผู้นำตลาด สามารถแข่งขันได้ในระยะยาว ถือหุ้นใหญ่ผสม Mid-cap เติบโตสูง โดยเน้นหุ้นที่สร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่มได้ดี - เน้นลงทุนในธุรกิจที่มีคุณภาพเติบโตได้ในระยะยาว อยู่ในตลาดที่ยังเติบโตได้ มีการวิเคราะห์ความเสี่ยง รวมถึงปัจจัยด้าน ESG - ลงทุนในหุ้นที่มีมูลค่าน่าสนใจ สกรีนหุ้นอย่างเข้มข้นจาก 3,500 ตัว จนเหลือเพียง 30 ตัว - ปรับพอร์ตในสัดส่วนไม่มาก ในปีหนึ่งปรับหุ้นเฉลี่ย 6 ตัว จากทั้งหมด 30 ตัว และเน้นลงทุนในระยะยาว - กองทุนเน้นลงทุนในธุรกิจที่อยู่ในช่วง Core ซึ่งมีความมั่นคงระดับหนึ่ง เติบโตได้ 10%-20% งบดุลแข็งแกร่ง หนี้น้อย และอาจมีลงทุนบางส่วนในส่วนของ Future ซึ่งเป็นช่วงที่ธุรกิจเติบโตได้สูงแต่ก็มีความผันผวน ในขณะที่สัดส่วนน้อยจะลงทุนในส่วนของ Improvement ที่ฟื้นตัวกลับมาได้ถึงแม้จะเติบโตไม่สูง ส่วนบริษัท Early stage กองทุนจะไม่ลงทุน เพราะเป็นการลงทุนที่อนาคตยังไม่ชัดเจนและมีความผันผวนสูง
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1321
Finance
ช่วยสรุปบทความ รู้จักกลุ่มประเทศอาเซียน, CLMVT และ MSCI AC ASEAN INDEX
สิงคโปร์ เป็นประเทศพัฒนาแล้ว มีแรงงานที่มีการศึกษาสูง เป็น Financial Hub ที่สำคัญ ทั้งยังมีอัตราการลงทุนจากต่างชาติ (FDI) สูง ซึ่งมาจากการตั้งศูนย์ R&D และธุรกิจที่รองรับการเติบโตทางเทคโนโลยี อินโดนีเซีย เป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน มีประชากรกว่า 270 ล้านคน เป็นอันดับหนึ่งในกลุ่มประเทศอาเซียน และอยู่ในอันตับต้นๆ ของโลก การลงทุนที่เกี่ยวกับการบริโภคภายในประเทศจึงมีความน่าสนใจ นอกจากนี้ปัจจุบันอินโดนีเซียเปิดรับเศรษฐกิจดิจิทัลมาก มีการสนับสนุนจากภาครัฐ ทำให้มี Startup ระดับยูนิคอร์นอยู่หลายแห่ง เช่น แพลตฟอร์มการเรียกรถ Gojek, e-commerce อย่าง Tokopedia, ผู้ให้บริการด้านท่องเที่ยวอย่าง Traveloka เป็นต้น มาเลเซีย เป็นตลาดแรงงานฝีมือสูง ได้รับความนิยมจากนักลงทุนต่างชาติในอุตสาหกรรมการผลิต โลจิสติกส์และบริการ เวียดนาม มีการเติบโตทางเศรษฐกิจจากจำนวนประชากรที่อยู่ในวัยแรงงานจำนวนมาก มีค่าแรงที่อยู่ในเรทแข่งขันได้ ทำให้มีต้นทุนการผลิตต่ำ และประชากรส่วนมากอยู่ในชนชั้นกลาง ทำให้มีโอกาสเติบโตจากการบริโภคภายในประเทศอีกด้วย รวมถึงมีแผนพัฒนาของรัฐบาลในการลงทุนสร้างโครงสร้างพื้นฐานในเขตนิคมอุตสาหกรรมที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ ทั้งยังดึงดูดเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติได้มาก หลายบริษัทมีการย้ายฐานการผลิตจากจีนมาอยู่ที่เวียดนามมากขึ้น ไทย มีโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ EEC เพื่อดึงดูดเงินลงทุนจากต่างชาติ โดยมีพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน และเส้นทางการค้า การขนส่งที่สะดวก เหมาะสำหรับการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมและการขนส่ง
สิงคโปร์เป็นประเทศพัฒนามีแรงงานที่มีการศึกษาสูง และเป็น Financial Hub ที่สำคัญ มีการลงทุนจากต่างชาติมีส่วนสำคัญในการเปิดศูนย์ R&D และธุรกิจที่รองรับเทคโนโลยี อินโดนีเซียเป็นตลาดใหญ่ที่สุดในอาเซียน มีประชากรกว่า 270 ล้านคน ทำให้มีการลงทุนที่น่าสนใจในการบริโภคภายในประเทศ และการสนับสนุนเศรษฐกิจดิจิทัล มาเลเซียมีแรงงานฝีมือสูง ได้รับความนิยมจากนักลงทุนต่างชาติในหลายอุตสาหกรรม เวียดนามมีการเติบโตเศรษฐกิจจากจำนวนประชากรที่มีวัยแรงงานมาก มีค่าแรงที่แข่งขันได้ และมีโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับการลงทุน ไทยมีโครงการ EEC เพื่อดึงดูดเงินลงทุนจากต่างชาติ โดยมีพื้นที่ที่เชื่อมต่อทะเลภาคตะวันออก และมีโครงสร้างพื้นฐานที่สะดวกสบายสำหรับการลงทุนด้านโครงสร้างและการขนส่ง
9.เศรษฐศาสตร์การเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1327
Finance
จงสรุปบทความ รู้จักTNP กับการเจริญเติบโตเป็นตัวของตัวเอง ให้ด้วยนะคะ
ประเด็นกรุงเทพฯ จมน้ำกำลังมาแรง หากเรายกเมืองหลวงไปเหนือจะเจอกับอะไร? ก็ต้องบอกว่าหากยกไปเชียงรายเราคงได้เจอกับ TNP ร้านค้าปลีกและส่งมาเงียบ ๆ แต่โตไม่เบานะแน่ ๆ (ราคาเติบโตถึง 2 เด้ง ในช่วง 3 ปีย้อนหลัง!) ? TNP ( 2 3 !) สุดสัปดาห์วันนี้ Mr. Serotonin เลยขอพาทุกคนมาสำรวจค้าปลีกที่อาจจะเรียกได้ว่า “Got a Niche” และมีวิธีในการขายสินค้าในรูปแบบที่โดดเด่นกัน Mr. Serotonin “Got a Niche” TNP ทำธุรกิจอะไร? TNP มีธุรกิจหลักคือการขายสินค้าจำพวกข้าวของเครื่องใช้อุปโภคและบริโภคไม่รวมของสดแบบซุปเปอร์มาร์เก็ต ซึ่งข้อดีของการเปิดร้านประเภทนี้ก็น่าจะเป็นการที่ร้านไม่ต้องรีบระบายของออกมากนัก เพราะ ไม่ได้ขายของสด จึงอาจทำให้การจัดการสินค้าทำได้ง่ายกว่าหากพูดง่าย ๆ ก็เป็นสินค้าจิปาถะจำพวก ผงซักฟอก จาน ชาม แชมพู สบู่ ยาสีฟัน น้ำ ยา นมผง หรือถ้าพูดแบบเชิงวิชาการหน่อยก็คงเป็นสินค้าพวก Consumer good หรือสินค้าอุปโภคบริโภคนั่นเอง TNP Consumer good ต่อมาเราลองมาสำรวจสัดส่วนรายได้ของ TNP กันต่อจะได้รู้ว่ารายได้แบบไหนมีผลต่อการรับรู้เป็นหลัก โดยหลัก ๆ แล้วจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ การขายผ่านสาขาและสำนักงานใหญ่ หรือ พูดง่าย ๆ ก็คือแบ่งรายได้เป็น 2 แบบ 1. แบบค้าปลีก 2. แบบค้าส่ง TNP 2 2 1. 2. ถ้าถามว่ารายได้ส่วนไหนมีสัดส่วนมากกว่ากัน จากรายงานประจำปี 2563 รายได้จากสาขา (ค้าปลีก) จะคิดเป็นสัดส่วน 93.60% ของรายได้หมด ในขณะที่อีก 6.40% มาจากการค้าส่งของสำนักงานใหญ่ (ค้าส่ง) นั่นเอง 2563 ( ) 93.60% 6.40% ( ) ดังนั้นในมุมของการรับรู้รายได้ TNP น่าจะรับรู้จากการขยายสาขาร้านค้าปลีกจำพวก “ซุปเปอร์มาเก็ต” เป็นหลัก (สัดส่วนแบบฮาร์ดคอถึง 93.60%) ซึ่งข้อดีของสัดส่วนรายได้เพียว ๆ แบบนี้ก็คือเราน่าจะทำความเข้าใจได้ไม่ยาก อีกทั้งธุรกิจก็เป็นธุรกิจที่ใกล้ตัวเราเห็นทุกวัน แล้วเผลอ ๆ บางคนอาจเข้าร้านประเภทนี้ทุกวันด้วยซ้ำ TNP “ ” ( 93.60%) คำถามต่อไปก็คือแล้ว TNP จะสู้กับพวกร้านค้าปลีกเบ็ดเสร็จเจ้าใหญ่ ๆ ยังไง คำตอบก็คือ TNP อาศัยความเข้าใจในคนพื้นที่ท้องถิ่นว่าต้องการสินค้าแบบไหน บริการยังไง ซึ่งถือได้ว่าเป็นจุดเด่นที่น่าสนใจ โดยมีตัวอย่างตามรายงาน เช่น มีพนักงานบริการดีช่วยหยิบสินค้า แนะนำสินค้า มีบริการขนของส่งที่รถลูกค้าซึ่งไม่น่าจะหาได้ง่าย ๆ ตามร้านค้าปลีกทั่วไป (ยังไงทางที่ดีในจุดนี้อย่าลืมลงพื้นที่ไปสำรวจด้วยตัวเองนะครับ ผมเองยังไม่เคยไปอ่านมาจากรายงานอีกที) อีกทั้งยังมีความเข้าใจในสินค้าที่คนท้องที่ใช้งานและมีส่วนช่วยในการบริหารจัดการสินค้าในคลัง ซึ่งถือว่ามีความพิเศษอย่างมาก TNP TNP ( ) เรื่องแบบนี้ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ใคร ๆ ก็ทำได้ เพราะ อย่างที่เราเคยเห็นในอดีตอย่าง Walmart ที่เข้ามาเจาะระแวกบ้านเราก็ไม่ได้ตอบโจทย์หรือ Fit in กับวัฒนธรรมการซื้อคนไทยจนต้องยอมถอยออกไป ซึ่งผู้บริหารของ TNP บางท่านมีประสบการณ์ทำธุรกิจด้านค้าปลีกในเชียงรายและจังหวัดใกล้เคียงกว่า 27 ปี ส่งผลให้เข้าใจความต้องการของลูกค้าเป็นอย่างดี สิ่ง ๆ นี้จึงอาจเป็นสิ่งที่ทำให้ TNP มีความได้เปรียบเหนือคู่แข่งในแง่ของข้อดี แต่ในมุมของการเติบโตให้ยิ่งใหญ่นอกเหนือ Circle of competence ก็อาจจะต้องจับตามองต่อไป Walmart Fit in TNP 27 TNP Circle of competence ปัจจุบัน TNP มีกี่สาขาแล้วเป็นรูปแบบไหน? TNP ? ปัจจุบันมีจำนวนสาขาทั้งหมด 36 สาขา เป็นร้านค้าปลีกแบบซุปเปอร์มาเก็ตทั้งหมด 35 สาขา และมีศูนย์ค้าส่ง 1 สาขา โดยอยู่ในเชียงรายเป็นหลักซึ่งโอกาสเติบโตที่อาจต้องเอาคิดในอนาคตก็อาจจะรวมจังหวัดบ้านใกล้เรือนเคียงมาด้วยถ้าอิงจากความเชี่ยวชาญที่ Claim ไว้ ดังนั้นโอกาสจึงไม่น่าจะจบแค่นี้ เพราะ น่าจะยังขยายสาขาไปยังพื้นที่ใกล้เคียงได้ต่อไป 36 35 1 Claim ข้อมูลเชิงตัวเลขและงบการเงินของ TNP TNP มาเริ่มกันที่รายได้จากสาขาต่าง ๆ กันก่อน เพราะ น่าจะเป็นตัวดันการเติบโตของ TNP TNP ภาพแสดงการเติบของรายได้จากการขายและ SSSG ที่มา: คำอธิบายและวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการสำหรับไตรมาสที่ 3 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2564 จากภาพข้างต้นเราสังเกตจะเห็นได้ว่าหลัก ๆ แล้วการเติบโตของยอดขาย TNP มาจากการขยายสาขาเป็นหลัก (หากดูจากภาพรวมรายปีแท่งสีส้มมาโหดมาก) ในขณะที่ยอด SSSG (Same Store Sales Growth หรือ การเติบโตของยอดขายในสาขาเดิม) อาจจะไม่โดดเด่นมากนัก TNP ( ) SSSG (Same Store Sales Growth ) เราจึงอาจจะพอสรุปได้ว่าหาก TNP มีการขยายสาขารายได้ก็น่าจะโตต่อและสามารถสร้างมูลค่าต่อไปได้ ซึ่งถ้ามองในแง่ดีการรับรู้รายได้ก็น่าจะลดความซับซ้อนลงไปได้ครับ (อาจจะดูยอดการเติบโตของสาขาเป็นหลัก) แต่หากการขยายสาขาชะลอตัวเราก็อาจจะต้องจับตามองกันครับ TNP ภาพแสดงการเติบโตของรายได้ย้อนหลังของ TNP ที่มา: FINNOMENA Stock ทดลองใช้ FINNOMENA Stock ดูงบการเงินย้อนหลัง 10 ปี แบบไม่ต้องโหลดรายงานทีละชุด! ได้ที่ลิ้งก์ด้านล่าง https://www.finnomena.com/stock https://www.finnomena.com/stock ทางด้านการเติบโตของรายได้โดยเฉลี่ยแล้วก็ถือว่าโตมาเรื่อย ๆ ตลอดประมาณ 10% ต่อปี ในขณะที่อัตรากำไรขั้นต้น (Gross margins) หลังหักต้นทุนอยู่ที่ 13.76% 14.92% 16.24% ในปี 2561 2562 2563 (ตามข้อมูลของ FINNOMENA Stock) โดยการเติบโตของกำไรขั้นต้นนี้มาจากการขยายสาขาที่มากขึ้น จนทำให้ยอดสั่งสินค้าจากซัพพลายเออร์เพิ่มขึ้นไปด้วยจนทำให้ได้ค่าการสนับสนุน (อาจจะเป็นส่วนลดหรือสิทธิพิเศษเพิ่มเติมต่าง ๆ) 10% (Gross margins) 13.76% 14.92% 16.24% 2561 2562 2563 ( FINNOMENA Stock) ( ) ทาง TNP ใช้รูปแบบการซื้อสินค้าในปริมาณมาก ๆ (เชิงเหมาซื้อเยอะให้ได้ราคาพิเศษอยู่แล้ว) และด้วยปริมาณการซื้อสินค้าที่มากขึ้นตามการเติบโตก็น่าจะช่วยลดต้นทุนในส่วนนี้ลงไป ช่วยดัน SG&A (ต้นทุนการขายและบริหาร) ลงถึงแม้จะเพิ่มขึ้นหากคิดเป็นสัดส่วน โดยคิดเป็น 10.3% 10.2% และ 9.3% ของรายได้รวมในปี 2561 2562 2563 (ข้อมูลจากรายงานประจำปี 2563) TNP ( ) SG&A ( ) 10.3% 10.2% 9.3% 2561 2562 2563 ( 2563) ภาพแสดงสัดส่วนต้นทุนในการจัดจำหน่ายและค่าใช้จ่ายในการบริหารเทียบกับรายได้รวม ที่มา: รายงานประจำปี 2563 เหตุผลต่าง ๆ ข้างต้นก็ได้ส่งผลให้กำไรสุทธิ 3 ปีย้อนหลังของ TNP เติบโตตามไปด้วยไม่ต่างกันตามรายละเอียดดังนี้ (อย่าลืมไป Cross check กันอีกทีนะครับ) 3 TNP ( Cross check ) ภาพแสดงการเติบโตของกำไรสุทธิย้อนหลังของ TNP ที่มา: FINNOMENA Stock ทดลองใช้ FINNOMENA Stock ดูงบการเงินย้อนหลัง 10 ปี แบบไม่ต้องโหลดรายงานทีละชุด! ได้ที่ลิ้งก์ด้านล่าง https://www.finnomena.com/stock https://www.finnomena.com/stock ภาพแสดงอัตราส่วนทางการเงินย้อนหลังของ TNP ที่มา: FINNOMENA Stock ทดลองใช้ FINNOMENA Stock ดูงบการเงินย้อนหลัง 10 ปี แบบไม่ต้องโหลดรายงานทีละชุด! ได้ที่ลิ้งก์ด้านล่าง https://www.finnomena.com/stock https://www.finnomena.com/stock ในแง่ของสัดส่วนด้านสภาพคล่องและหนี้สินก็ถือได้ว่าโดดเด่นโดยมีสัดส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ที่ 0.31 โดยมีอัตราส่วนสภาพคล่องอยู่ถึง 2.2 เท่า ตามการรายงานของปี 2563 ซึ่งถือได้ว่าหากเกิดอะไรไม่คาดฝันขึ้นมาจริง ๆ ก็น่าจะยืนระยะอยู่ได้ อีกทั้งยังมี ROE ที่โดดเด่นถึง 17.91% เหนือกว่าขั้นต่ำตามตำราที่ 15% ในแง่ความถูกแพงปัจจุบัน TNP มีค่า P/E อยู่ที่ประมาณ 23.63 เท่า ซึ่งเทียบกับการเติบโตของกำไรต่อหุ้นเฉลี่ย 5 ปี (ครบรอบระยะเวลามาตรฐานย้อนหลังพอดี) ที่ประมาณ 24% ต่อปี ก็อาจจะถือได้ว่าทรง ๆ ไม่ได้ถูกไม่ได้แพง หากเทียบกับการเติบโตของกำไรที่ค่อนข้างต่อเนื่อง และหากคิดเป็น PEG ก็น่าจะอยู่ที่ราว ๆ 0.98 ซึ่งถ้าเทียบแบบหยาบ ๆ ตามนี้เราอาจจะสรุปได้ว่าไม่ถูกไม่แพงทรง ๆ ทางด้านวงจรเงินสดก็ถือได้ว่าลดลงเรื่อย ๆ โดยมีสาเหตุมาจากการขยายสาขาได้เพิ่มขึ้นทำให้การขายสินค้าแล้วได้รับเงินกับมือเลยเพิ่มขึ้นตามไปด้วย เพราะ คงไม่มีใครเดินเข้าร้านแนว ๆ ซุปเปอร์มาเก็ตแล้วบอกว่าขอใช้ Buy Now Pay Later ในตอนนี้ (แต่ในอนาคตก็ไม่แน่นะ) TNP ถือได้ว่าเป็นหุ้นค้าปลีกที่สามารถเติบโตได้ในแบบฉบับของตัวเองผ่านความเข้าใจเฉพาะตัว เข้าตำรา “Got a Niche” ท่ามกลางกระแสการ Disrupt ของ E-commerce และการเติบโตของอุตสาหกรรมค้าปลีกในระยะยาวที่อาจจะเป็นเครื่องหมายคำถามของใครหลาย ๆ คน อีกทั้งหุ้นตัวนี้ยังช่วยพิสูจน์ให้เห็นว่าการลงทุนอาจไม่ต้องใช้ท่ายากเสมอไป เพราะ หากใครถือหุ้นตัวนี้ตั้งแต่ต้นผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีจะอยู่ที่ 33.33% ต่อปี ซึ่งก็ถือว่าดีพอและส่งให้คุณอยู่ในระดับเดียวกันกับนักลงทุนระดับท็อปได้อย่างไม่ยากเย็นในระดับที่เอาชนะตลาดได้ TNP “Got a Niche” Disrupt E-commerce พิสูจน์ให้เห็นว่าการลงทุนอาจไม่ต้องใช้ท่ายากเสมอไป เพราะ หากใครถือหุ้นตัวนี้ตั้งแต่ต้นผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีจะอยู่ที่ 33.33% ต่อปี ซึ่งก็ถือว่าดีพอและส่งให้คุณอยู่ในระดับเดียวกันกับนักลงทุนระดับท็อปได้อย่างไม่ยากเย็นในระดับที่เอาชนะตลาดได้ พิสูจน์ให้เห็นว่าการลงทุนอาจไม่ต้องใช้ท่ายากเสมอไป เพราะ หากใครถือหุ้นตัวนี้ตั้งแต่ต้นผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีจะอยู่ที่ 33.33% ต่อปี ซึ่งก็ถือว่าดีพอและส่งให้คุณอยู่ในระดับเดียวกันกับนักลงทุนระดับท็อปได้อย่างไม่ยากเย็นในระดับที่เอาชนะตลาดได้ ภาพแสดงผลตอบแทนย้อนหลังของ TNP ที่มา: FINNOMENA Stock ทดลองใช้ FINNOMENA Stock ดูงบการเงินย้อนหลัง 10 ปี แบบไม่ต้องโหลดรายงานทีละชุด! ได้ที่ลิ้งก์ด้านล่าง https://www.finnomena.com/stock https://www.finnomena.com/stock “คุณไม่ต้องการ IQ ระดับสูงในธุรกิจนี้ คุณต้องการเพียง IQ ที่จะเดินทางจากที่นี่ไปยังโอมาฮ่า” – Warren Buffett คิดเห็นอย่างไรคอมเมนต์กันมาได้เลยนะครับ ขอให้ทุกคนโชคดีครับ Mr. Serotonin References https://www.set.or.th/set/pdfnews.do?newsId=16359788922021&sequence=2021117722 https://www.set.or.th/set/pdfnews.do?newsId=16359788922021&sequence=2021117722 รายงานประจำปี 2563 บริษัท TNP คำเตือน คำเตือน ผู้ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้เขียนบทความนี้มิได้รับค่าตอบแทนหรือมีส่วนได้ส่วนเสียกับบริษัทที่กล่าวถึงในบทความนี้แต่อย่างใด | ข้อมูลและการคาดการณ์ที่ปรากฏในบทความนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลในอดีตร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความสมบูรณ์แท้จริงและความแม่นยำของการวิเคราะห์ข้อมูลในอนาคตได้ ผู้ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้เขียนบทความนี้มิได้รับค่าตอบแทนหรือมีส่วนได้ส่วนเสียกับบริษัทที่กล่าวถึงในบทความนี้แต่อย่างใด | ข้อมูลและการคาดการณ์ที่ปรากฏในบทความนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลในอดีตร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความสมบูรณ์แท้จริงและความแม่นยำของการวิเคราะห์ข้อมูลในอนาคตได้
บริษัท ธนพิริยะ จำกัด (มหาชน)หรือ TNP มีธุรกิจหลักคือการขายสินค้าอุปโภคและบริโภคไม่รวมของสดเหมือนซุปเปอร์มาร์เก็ต ซึ่งมีทั้งร้านค้าแบบค้าปลีก และร้านค้าส่ง โดยจุดเด่น คือ ความเข้าใจคนในท้องที่ว่าต้องการสินค้าและบริการแบบใด จนทำให้มีร้านค้าปลีกแบบ Supermarket ทั้งหมด 35 สาขา และศูนย์ค้าส่ง 1 สาขา โดยอยู่ในจังหวัดเชียงรายเป็นหลัก อีกทั้งยังมีแผนจะขยายสาขาไปพื้นที่ใกล้เคียงอีกด้วย ซึ่ง TNP ถือว่าเป็นหุ้นค้าปลีก ที่สามารถเติบโตได้ ซึ่งดูได้จากผู้ที่ถือหุ้นตัวนี้ตั้งแต่ต้นผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีจะอยู่ที่ 33.33% ต่อปี ซึ่งถือว่าดีมาก
5.ความรู้ทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1329
Finance
บริษัท AMD คือบริษัทอะไร
null
บริษัท แอดวานซ์ ไมโคร ดีไวซ์ จำกัด (AMD) เป็นบริษัทสัญชาติอเมริกัน โดยเป็นผู้ผลิตและผู้พัฒนา ซีพียู และเทคโนโลยีต่าง ๆ เป็นคู่แข่งในฝั่งของ CPU กับ Intel มานานหลายสิบปี จนใน ค.ศ. 2011 มี CPU ที่ใช้ชื่อว่า Bulldozer ถูกสร้างขึ้นมาแข่งกับ Intel แต่ทว่าประสิทธิภาพกลับย่ำแย่ กระทบยอดขายหนัก จนกระทั่งปี 2014 มูลค่าตลาดของ AMD เหลืออยู่เพียง 2 พันล้านดอลลาร์ เพราะราคาหุ้นร่วงกว่า -40% ในปีเดียว ซึ่งนักลงทุนต่างคิดกันว่า AMD จะกลับเข้ามาแข่งขันได้ยากและเป็นจุดจบของบริษัทไปแล้ว หลังจากที่เสียส่วนแบ่งการตลาดให้กับ Intel มานานหลายปีทาง AMD ได้เปลี่ยน CEO คือ Lisa Su หรือป้า Lisa ที่คนไทยคุ้นหูซึ่งไม่ได้อยู่ BLACKPINK เข้ามานั่งตำแหน่งสูงสุดของการบริหาร โดย Lisa ได้เข้ามาจัดการปัญหาหลัก ๆ ของบริษัทคือ เรื่องการปรับโครงสร้างของค่าใช้จ่าย และการหา Growth รวมทั้งได้วาง Roadmap ของตัว Product ของบริษัทไว้อย่างชัดเจนเพื่อเรียกความเชื่อมั่นของลูกค้าและนักลงทุนได้เป็นอย่างดี หลังจากนั้น 3 ปี Cashflow ของบริษัทก็กลับมาบวกได้เป็นครั้งแรก หลังจากมีการเปลี่ยนแปลงทีมงานออกแบบใหม่ บริษัทได้มีการปรับปรุง CPU และเปลี่ยนแปลงหลายส่วน เพื่อปรับปรุงความเร็ว ทางบริษัทจึงได้ตัดสินใจทิ้งสถาปัตยกรรมอย่าง Bulldozer พร้อมกับได้ทุ่มทรัพยากรเพื่อสร้างสถาปัตกรรมตัวใหม่ที่มีชื่อว่า Zen ทางบริษัทได้เปิดตัว Zen Architechture ในปี 2017 เป็นสถาปัตยกรรมใหม่ล่าสุดของในรอบ 5 ของ AMD ในตอนนั้น CPU Ryzen รุ่นแรกคือ Ryzen 3, 5, 7 1300x, 1600x และ 1800x ใน Series 3, 5 และ 7 จะมีรุ่นย่อย ๆ อีกหลายตัวแต่ที่นำมาเป็นรุ่น Top ของแต่ละ Series ซึ่งการเปิดตัวในครั้งนั้นตัวชิปมีประสิทธิภาพที่ใกล้เคียงกับของ Intel มาก หลังจากที่เสียส่วนแบ่งการตลาดให้กับ Intel มานานจนกระทั่งมี Ryzen ออกมาจึงกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ AMD เร่งตัวขึ้นทำให้มีส่วนแบ่งการตลาดของ AMD ตีตื้น Intel มาแล้ว อยู่ในระดับ 40% รวมถึง Intel ยังออกมายอมรับว่า CPU ของตัวเองล้าหลังกว่าของ AMD พอสมควรดังนั้น Ryzen ถือว่าเป็น CPU ที่มาคืนชีพให้กับ AMD ก็ว่าได้ ปัจจุบัน AMD มีมูลค่าตลาดมากกว่า 1.4 แสนล้านดอลลาร์ โตมากกว่า 70 เท่า โดยใช้เวลาแค่เพียง 7 ปี
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0