ID
stringlengths
9
13
Domain
stringclasses
4 values
Instruction
stringlengths
9
894
Input
stringlengths
19
65.5k
Output
stringlengths
36
31.6k
Tags
stringlengths
10
772
Task_type
stringclasses
7 values
License
stringclasses
2 values
Finance_133
Finance
บอกทางเลือกลงทุน หุ้นสโมสรฟุตบอลระดับโลกน่าซื้อแค่ไหน
null
● หุ้นสโมสรฟุตบอล ในลีกดังอย่างพรีเมียร์ลีก บุนเดสลีกา กัลโช่ ถือเป็นหุ้นที่ราคามีความสัมพันธ์กับภาวะเศรษฐกิจโลกต่ำ หรืออาจถึงขั้นสวนทางกับเศรษฐกิจโลกและทางเลือกการลงทุนอื่น ทำให้ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการลงทุนผสมความชอบส่วนตัวได้ ● ผลงานในสนาม คือ หนึ่งในปัจจัยที่เพิ่มรายได้ให้สโมสรได้ จากรายได้ค่าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสด ค่าตั๋วเข้าชมในสนามเหย้า และการขายของที่ระลึกของนักเตะชื่อดัง อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ผลงานในสนามสม่ำเสมอ ก็ต้องมีต้นทุนจากการซื้อนักเตะใหม่ โดยสโมสรในพรีเมียร์ลีก มีสถิติซื้อขายนักเตะสูงสุด ต้องมาลุ้นการทำผลงานในสนามว่าจะคุ้มค่ากับค่าตัวนักเตะใหม่ๆหรือไม่ ● ทางเลือกในการลงทุนหุ้นสโมสรฟุตบอล ได้แก่ การซื้อหุ้นต่างประเทศผ่านบัญชี Offshore หรือ ผ่านกองทุนรวมต่างประเทศที่ลงทุนในหุ้นสโมสรฟุตบอลที่เราสนใจก็ได้ ทางเลือกลงทุนกับหุ้นสโมสรที่ชอบ หากสนใจลงทุนในหุ้นสโมสร ไม่ว่าจะด้วยความชอบส่วนตัว หรืออยากจะลงทุน มีทางเลือกในการลงทุนผ่าน 2 ช่องทาง 1.เปิดบัญชีหุ้น Offshore โดยจะส่งคำสั่งซื้อขายหุ้นในตลาดต่างประเทศโดยตรง และชำระค่าหุ้นเป็นเงินสกุลต่างประเทศ 2.เปิดบัญชีกองทุนรวมหุ้นต่างประเทศ ที่เน้นลงทุนในหุ้นสโมสรฟุตบอล โดยจะลงทุนเป็นเงินบาท และนำเงินไปลงทุนในกองทุนหุ้นที่ต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันจะมีกองทุนที่ลงทุนในหุ้นเกี่ยวกับการพักผ่อน หรือ บันเทิง จะมีการเลือกลงทุนในหุ้นสโมสรฟุตบอลอยู่บ้าง หรือกองทุนที่ลงทุนในหุ้นเกี่ยวกับเกมส์ E-Sport ซึ่งจะมีบริษัทอย่าง SEA ในกองทุน K-ATECH เป็นต้น
5.ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Finance_1332
Finance
กองทุนเทคโนโลยี ธีมหุ้นเทคโนโลยีโลก (GlobalTech) มีอะไรบ้าง
null
หุ้นเทคโนโลยีถือได้ว่าเป็นหุ้นที่สร้างการเติบโตของกำไรได้อย่างน่าทึ่ง สร้างกระแสเงินสดได้ดี และให้ผลตอบแทนที่สูง อย่างไรก็ตาม หุ้นเทคโนโลยีชั้นนำไม่ได้อยู่แค่ในสหรัฐฯ พื้นที่อื่น ๆ บนโลกเองก็มีหุ้นเทคที่แข็งแกร่ง เช่น เอเชียที่มีหุ้นเทคโนโลยีชั้นนำอย่าง Alibaba (อีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ในจีน), Sea (เจ้าของ Shopee และ AirPay) หรือ TSMC (ผู้ผลิตชิปให้ Apple บริษัท เทคโนโลยีระดับโลก) เป็นต้น ซึ่งก็สร้างผลตอบแทนได้ดีและเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน ดังนั้น ธีมการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีโลกจึงเป็นอีกหนึ่งธีมการลงทุนที่น่าสนใจในการคว้าโอกาสเติบโตแบบทั่วถึง กองทุนเทคโนโลยี ธีมหุ้นเทคโนโลยีโลก (GlobalTech) ได้แก่ - KFHTECH-A นโยบายการลงทุน ลงทุนในกองทุนต่างประเทศชื่อ BGF World Technology Fund (Class D2 USD) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV ลงทุนในหุ้นของบริษัทต่าง ๆ ทั่วโลกที่มีธุรกรรมทางเศรษฐกิจที่โดดเด่นในหมวดเทคโนโลยี โดยกองทุนมีความเสี่ยงอยู่ที่ระดับ 7 และป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน “ทั้งหมด/เกือบทั้งหมด” รายละเอียดค่าธรรมเนียม ค่าธรรมเนียมซื้อ: 1.50% ค่าธรรมเนียมขาย: ยังไม่เรียกเก็บ ค่าธรรมเนียมสับเปลี่ยนเข้า: 1.50% ค่าธรรมเนียมสับเปลี่ยนออก: ยังไม่เรียกเก็บ ค่าธรรมเนียมการจัดการ: 0.8025% ค่าธรรมเนียมรวมรายปี: 0.9968% *ข้อมูลนโยบาย ความเสี่ยง การป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนและค่าธรรมเนียมจาก KFHTECH-A Fund Fact Sheet ณ วันที่ 29 ต.ค. 2564 - KFGTECH-A นโยบายการลงทุน ลงทุนในกองทุนต่างประเทศชื่อ T. Rowe Price Funds SICAV – Global Technology Equity Fund (Class Q) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV เน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับพัฒนาหรือใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีโดยเน้นบริษัทผู้นำด้านเทคโนโลยีทั่วโลกรวมถึงประเทศในตลาดเกิดใหม่ โดยกองทุนมีความเสี่ยงอยู่ที่ระดับ 7 และป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนตาม “ดุลยพินิจ” รายละเอียดค่าธรรมเนียม ค่าธรรมเนียมซื้อ: 1.50% ค่าธรรมเนียมขาย: ยังไม่เรียกเก็บ ค่าธรรมเนียมสับเปลี่ยนเข้า: 1.50% ค่าธรรมเนียมสับเปลี่ยนออก: ยังไม่เรียกเก็บ ค่าธรรมเนียมการจัดการ: 0.9630% ค่าธรรมเนียมรวมรายปี: 1.1635% * ข้อมูลนโยบาย ความเสี่ยง การป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนและค่าธรรมเนียมจาก KFGTECH-A Fund Fact Sheet ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2564 - MGTECH นโยบายการลงทุน ลงทุนในกองทุนต่างประเทศชื่อ BGF Next Generation Technology Fund (share class) “I2” โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV กองทุนหลักเน้นลงทุนในหุ้นของบริษัททั่วโลกที่มีความโดดเด่นในการประกอบธุรกิจทั้ง ด้านการวิจัยการพัฒนา การผลิต และหรือการบริการของเทคโนโลยีใหม่และที่เกิดขึ้นใหม่ โดยกองทุนมุ่งเน้น ลงทุนในเทคโนโลยีเพื่อยุคหน้าได้แก่ ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) คอมพิวเตอร์ (Computing) ระบบอัตโนมัติ (Automation) หุ่นยนต์ (Robotics) การวิเคราะห์ทางเทคโนโลยี (Technological Analytics) พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-commerce) ระบบการชำระเงิน (Payment Systems) เทคโนโลยีการสื่อสาร (Communications Technology) และการออกแบบโครงสร้างเชิงวิศวกรรม (Generative Design) โดยกองทุนมีความเสี่ยงอยู่ที่ระดับ 7 และป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนตาม “ดุลยพินิจ” รายละเอียดค่าธรรมเนียม ค่าธรรมเนียมซื้อ: 1.50% ค่าธรรมเนียมขาย: ไม่มี ค่าธรรมเนียมสับเปลี่ยนเข้า: ไม่มี ค่าธรรมเนียมสับเปลี่ยนออก: ไม่มี ค่าธรรมเนียมการจัดการ: 1.6050% ค่าธรรมเนียมรวมรายปี: 1.9581% *ข้อมูลนโยบาย ความเสี่ยง การป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนและค่าธรรมเนียมจาก MGTECH Fund Fact Sheet ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 - B-INNOTECH นโยบายการลงทุน ลงทุนในกองทุนต่างประเทศชื่อ Fidelity Funds – Global Technology Fund Class Y-ACC-USD โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV กองทุนหลักมีนโยบายลงทุนในตราสารทุนของบริษัททั่วโลกที่มีการพัฒนาด้านผลิตภัณฑ์กระบวนการ หรือบริการ อันจะนํามาซึ่งประโยชน์ อย่างสูงจากความก้าวหน้าและการพัฒนาทางเทคโนโลยี โดยกองทุนมีความเสี่ยงอยู่ที่ระดับ 7 และป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนตาม “ดุลยพินิจ” รายละเอียดค่าธรรมเนียม ค่าธรรมเนียมซื้อ: ไม่เกิน 1.00% ค่าธรรมเนียมขาย: ไม่มี ค่าธรรมเนียมสับเปลี่ยนเข้า: ไม่มี ค่าธรรมเนียมสับเปลี่ยนออก: ไม่เกิน 1.00% ค่าธรรมเนียมการจัดการ: 1.0700% ค่าธรรมเนียมรวมรายปี: 1.2020% *ข้อมูลนโยบาย ความเสี่ยง การป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนและค่าธรรมเนียมจาก B-INNOTECH Fund Fact Sheet ณ วันที่ 13 สิงหาคม 2564
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1333
Finance
ในฐานะนักลงทุนที่มองหาการลงทุนที่ยั่งยืนและสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่น กองทุน K-CHANGE-SSF และ KCHANGERMF เหมาะสมกับนักลงทุนประเภทไหน?
null
กองทุน K-CHANGE-SSF และ KCHANGERMF เหมาะกับนักลงทุนที่มองหาการลงทุนที่ยั่งยืนและสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่น โดยเฉพาะนักลงทุนที่มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้: 1. นักลงทุนที่มีมุมมองระยะยาว: กองทุน K-CHANGE-SSF และ KCHANGERMF ลงทุนในหุ้นที่มีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว นักลงทุนควรมีมุมมองระยะยาวและสามารถอดทนต่อความผันผวนของตลาดในระยะสั้น 2. นักลงทุนที่เชื่อในพลังของการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก: กองทุน K-CHANGE-SSF และ KCHANGERMF ลงทุนในบริษัทที่สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม นักลงทุนควรมีความเชื่อในพลังของการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกและต้องการสนับสนุนบริษัทเหล่านี้ 3. นักลงทุนที่สามาถรับความเสี่ยงได้ปานกลางถึงสูง: กองทุน K-CHANGE-SSF และ KCHANGERMF ลงทุนในหุ้นที่มีความเสี่ยงปานกลางถึงสูง นักลงทุนควรมีระดับความเสี่ยงที่เหมาะสมกับการลงทุนในกองทุนประเภทนี้ 4. นักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยง: กองทุน K-CHANGE-SSF และ KCHANGERMF ลงทุนในหุ้นทั่วโลก นักลงทุนสามารถใช้กองทุนเหล่านี้เพื่อกระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน 5. นักลงทุนที่ต้องการลงทุนในกองทุนที่มีผลการดำเนินงานโดดเด่น: กองทุน K-CHANGE-SSF และ KCHANGERMF มีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นในอดีต นักลงทุนสามารถคาดหวังผลตอบแทนที่น่าพอใจจากกองทุนเหล่านี้ นอกจากนี้ กองทุน K-CHANGE-SSF และ KCHANGERMF ยังมีข้อดีอื่นๆ ดังต่อไปนี้: บริหารโดยผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ มีนโยบายลงทุนที่ชัดเจนและโปร่งใส มีค่าธรรมเนียมที่แข่งขันได้ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนก่อนตัดสินใจลงทุน เช่น นโยบายกองทุน ความเสี่ยง ผลการดำเนินงาน และค่าธรรมเนียม สรุป: กองทุน K-CHANGE-SSF และ KCHANGERMF เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่มองหาการลงทุนที่ยั่งยืนและสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่น เหมาะกับนักลงทุนที่มีมุมมองระยะยาว เชื่อในพลังของการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก มีความเสี่ยงปานกลางถึงสูง ต้องการกระจายความเสี่ยง และต้องการลงทุนในกองทุนที่มีผลการดำเนินงานโดดเด่น
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1335
Finance
ในสถานการณ์ปัจจุบันที่ SET Index สูงเกินไปเมื่อเทียบกับกำไรตลาด แต่ SET50 Index ยังถือว่าสมเหตุสมผล กลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมควรเป็นอย่างไร?
null
จากบทความ "SET Index ขึ้นนำกำไรไปไกลแล้ว" โดย ประกิต สิริวัฒนเกตุ วิเคราะห์สถานการณ์ตลาดหุ้นไทยในไตรมาส 3 ปี 2564 ว่า กำไรตลาดฟื้นตัวช้า แต่ดัชนี SET Index กลับมาอยู่ที่ระดับสูงกว่าก่อนเกิด COVID-19 สาเหตุหลักมาจากการที่หุ้นขนาดกลาง-เล็ก (sSET) ปรับตัวขึ้นร้อนแรงกว่า 48.68% กลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมในสถานการณ์นี้ เลือกลงทุนในหุ้นกลุ่ม SET50: เน้นหุ้นขนาดใหญ่ที่มีพื้นฐานดี ผลประกอบการเติบโตสม่ำเสมอ เลือกลงทุนในธีมการฟื้นตัว: มองหาหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการเปิดประเทศ การท่องเที่ยว เศรษฐกิจภายในประเทศ เลือกลงทุนในหุ้นที่มี Valuation ต่ำ: มองหาหุ้นที่มีราคาถูกเมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐาน กระจายความเสี่ยง: ไม่ควรลงทุนในหุ้นกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมากเกินไป ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด: วิเคราะห์ข้อมูล ประเมินสถานการณ์ ปรับกลยุทธ์การลงทุนตามความเหมาะสม คำแนะนำเพิ่มเติม: ลงทุนระยะยาว: ไม่ควรหวังผลตอบแทนระยะสั้น เน้นการลงทุนระยะยาวเพื่อผลตอบแทนที่มั่นคง ศึกษาข้อมูล: ศึกษาข้อมูลของบริษัทก่อนตัดสินใจลงทุน เข้าใจธุรกิจ ผลประกอบการ ความเสี่ยง ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: ปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน วางแผนการลงทุนที่เหมาะสมกับเป้าหมาย สรุป: กลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมในสถานการณ์ปัจจุบันควรเน้นหุ้นกลุ่ม SET50 ธีมการฟื้นตัว หุ้นที่มี Valuation ต่ำ กระจายความเสี่ยง ติดตามข่าวสาร ลงทุนระยะยาว ศึกษาข้อมูล ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1338
Finance
ขอคำแนะนำ บทเรียนการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม มีอะไรบ้าง
null
บทเรียนการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม คือ 1) ตลาดหุ้นไม่ว่าจะดีหรือโดดเด่นแค่ไหนในระยะยาว ก็มีช่วงเวลาที่เลวร้ายและเวลาที่แน่นิ่งไม่ไปไหน ลงทุนไปแล้วอย่าคาดหวังว่าจะได้รับผลตอบแทนที่ดีหรือดีมากทันที ว่าที่จริงถ้าเข้าช่วงที่ร้อนแรงก็อาจจะผิดหวังได้มากกว่าเวลาที่เลวร้ายหรือเวลาที่หุ้นไม่ไปไหนมาหลายปี 2) การเลือกหุ้นลงทุนนั้น ถ้าเรายึดกับประวัติศาสตร์หรือการศึกษาจากประสบการณ์ที่ยาวนาน ว่าหุ้นประเภทไหนจะเป็น “ผู้ชนะ” โอกาสก็เป็นไปได้ว่าวิธีนั้นก็เป็นวิธีที่ชนะในระยะยาว ตัวอย่างก็คือการเลือกหุ้นราคาถูกมากแบบ Magic Formula ซึ่งแม้ว่าจะไม่สามารถปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัดได้ ก็ยังให้ผลลัพธ์ที่ดี โครงสร้างทางเศรษฐกิจของเวียดนามนั้น คล้ายคลึงกับของไทยมากเพียงแต่เวียดนามมีขั้นของการพัฒนาตามหลังไทยอยู่ประมาณน่าจะซัก 20 ปีหรืออาจจะน้อยกว่านั้นถ้าไทย “หยุด” อย่างรวดเร็วมาก ดังนั้น ตลาดหุ้นของเวียตนามก็น่าจะมีพฤติกรรมและการเติบโตของดัชนีคล้าย ๆ กับตลาดหุ้นไทยในอดีต ดังนั้น เวลาจะลงทุนหุ้นแต่ละตัวหรือในแต่ละอุตสาหกรรมจึงควรคำนึงถึงความจริงข้อนี้ ตัวอย่างเช่น หุ้นที่ร้อนแรงและมี Market Cap. สูงมากในปัจจุบันของเวียตนามคือหุ้นอสังหา หุ้นโบรกเกอร์ หุ้นแบงก์ หุ้นเหล็ก เป็นต้น แต่หุ้นเหล่านี้ในตลาดหุ้นไทยปัจจุบันก็หมดยุคไปแล้ว ดังนั้นถ้าจะลงทุนระยะยาวก็ต้องระวังด้วย
5.ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_134
Finance
การเตรียมรับมือกับการเข้ามาของ Cryptocurrency ในชีวิตประจำวันมีความสำคัญอย่างไร และควรปฏิบัติตัวอย่างไรเพื่อให้การใช้จ่ายด้วย Cryptocurrency มีความเสี่ยงน้อยที่สุด?
1. เก็บรายได้ทั้งหมดในรูปแบบ Cryptocurrency 2. ใช้ Cryptocurrency ชำระค่าสินค้าอย่างเดียว 3. แบ่งสัดส่วนการใช้จ่ายและเงินเก็บใน Cryptocurrency ให้เหมาะสม 4. ลงทุนใน Cryptocurrency อย่างเดียว
คำตอบได้แก่ 3. เพราะว่า การเตรียมรับมือกับการเข้ามาของ Cryptocurrency ในชีวิตประจำวัน ควรทำโดยการแบ่งสัดส่วนการใช้จ่ายและเงินเก็บใน Cryptocurrency ให้เหมาะสม เนื่องจากมูลค่าของ Cryptocurrency มีความผันผวนสูง การแบ่งสัดส่วนนี้จะช่วยลดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนและการสูญเสียมูลค่าของเงินอย่างกะทันหัน ตัวอย่างเช่น การมีเงินใน Crypto Wallet เพียงพอกับการชำระค่าสินค้าในชีวิตประจำวันเท่านั้น ไม่ควรเก็บเงินหรือรายได้ทั้งหมดในรูปแบบ Cryptocurrency เพราะอาจเสี่ยงต่อการสูญเสียมูลค่าอย่างมากในช่วงเวลาสั้นๆ นอกจากนี้ การใช้ Cryptocurrency เพื่อชำระค่าสินค้าและบริการควรเลือกใช้ในสถานการณ์ที่มีความได้เปรียบ เช่น การโอนเงินระหว่างประเทศ ซึ่งจะช่วยลดค่าธรรมเนียมการโอนเงินและการแปลงสกุลเงิน ทั้งนี้ ควรมีการติดตามข่าวสารและปรับการใช้งานให้เหมาะสมกับสถานการณ์เสมอ เพื่อให้การใช้ Cryptocurrency เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย.
1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_1343
Finance
ช่วยสรุปบทความ รู้จัก BE8: ร่างทรง Salesforce โตระเบิด
รู้จัก BE8: ร่างทรง Salesforce โตระเบิด BE8 เป็นอีกหนึ่งบริษัทแนว Consult ให้คำปรึกษาด้านกลยุทธ์และเทคโนโลยี ช่วยบริษัทและธุรกิจวางแผนทิศทางและกลยุทธ์ ออกแบบระบบ พัฒนาระบบ รวมถึงพัฒนาพนักงานในบริษัทต่าง ๆ ให้มีความพร้อมในการประยุกต์ใช้เครื่องมือเทคโนโลยีมาร่วมทำงาน รวมถึงยังมีรายได้หลักที่น่าสนใจมาจากงานบริการด้านเทคโนโลยีซึ่งมีรายได้ค่า Subscribe จ่ายตามการใช้งานเป็นช่วง ๆ รวมถึงรายได้จากบริการหลังการติดตั้ง เช่น การดูแลระบบ (Maintenace) เป็นต้น รายได้หลักทั้ง 2 รูปแบบมีผลต่อรายได้รวมมากขนาดไหน? เราก็อาจจะแบ่งเป็นสัดส่วนได้ดังนี้ รายได้จากการให้คำปรึกษาด้านกลยุทธ์และเทคโนโลยี (Strategy and Technology Consulting) 61.25% (2563) และ 52.12% (6 เดือน ปี 2564) ในขณะที่รายได้จากงานด้านบริการเทคโนโลยี (Technology service) มีสัดส่วนอยู่ที่ 38.51% (2563) และ 47.77% (6 เดือน ปี 2564) ตามลำดับ จากข้อมูลข้างต้นหากสังเกตดี ๆ เราจะเห็นได้ว่ารายได้จากงานบริการด้านเทคโนโลยีกำลังปรับตัวขึ้น สิ่งนี้บอกอะไรกับเรา? มันกำลังบอกกับเราว่า BE8 น่าจะสามารถสร้างกระรายได้และอาจรวมไปถึงกระแสเงินสดที่ต่อเนื่องได้ในอนาคต เพราะ มีรายได้จากการ Subscribe ซึ่งเป็นสิ่งที่ค่อนข้างตอบโจทย์ในแง่ของการลงทุน เพราะ เราคงอยากได้บริษัทที่สร้างรายได้แบบสม่ำเสมอ มีกระแสเงินสดต่อเนื่อง ซึ่งอาจช่วยให้มูลค่ากระแสเงินสดที่เราประเมินมีความแน่นอนมากขึ้น อีกทั้งกระแสเงินสดในส่วนนี้น่าจะมีความมั่นคงในระดับหนึ่ง เพราะถูกสร้างมาด้วย “ซอฟต์แวร์ของบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก” (หลัก ๆ น่าจะเป็น Salesforce เพราะ ยอดการจัดซื้อมีสัดส่วนถึง 88.11% ตามงวด 6 เดือนแรกปี 2564) ที่ถูกนำไปวางแผนและติดตั้งให้กับลูกค้า
BE8 เป็นบริษัทในสายงาน Consult ที่ให้คำปรึกษาด้านกลยุทธ์และเทคโนโลยี มีบริการวางแผนทิศทาง, ออกแบบ และพัฒนาระบบ พร้อมพัฒนาพนักงานในบริษัทต่าง ๆ ให้มีความพร้อมในการใช้เทคโนโลยี รายได้มาจากค่า Consult และบริการเทคโนโลยีที่เสนอให้ลูกค้า โดยมีสัดส่วนรายได้จาก Consult มากกว่าบริการเทคโนโลยี ในรอบ 6 เดือนแรกของปี 2564 มีการปรับตัวขึ้นของรายได้จากงานบริการด้านเทคโนโลยี BE8 มีศักยภาพในการสร้างรายได้และกระแสเงินสดต่อเนื่องในอนาคตด้วยรายได้จากการ Subscribe ซึ่งมีความมั่นคงและมาจากซอฟต์แวร์ระดับโลก เช่น Salesforce ที่มีสัดส่วนการจัดซื้อสูงถึง 88.11% ในรอบ 6 เดือนแรกของปี 2564
8.การวิเคราะห์ทางการเงิน,11.เทคโนโลยีทางการเงิน,2.ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1345
Finance
แนะนำหน่อย 5 กองทุนสหรัฐฯ ที่ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นเพียง 1 บาท มีอะไรบ้าง
null
1. TMBUSO กองทุน TMBUSO หรือ UOB Smart Global Healthcare Fund จาก บลจ. ทหารไทย (TMBAM) มีนโยบายลงทุนในกองทุน BNP PARIBAS FUNDS US VALUE MULTI-FACTOR EQUITY – Class I เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ โดยกองทุน TMBUSO จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6 2.SCBS&P500 กองทุน SCBS&P500 หรือ SCB US EQUITY FUND จาก บลจ. ไทยพาณิชย์ (SCBAM) มีนโยบายลงทุนในกองทุน iShares Core S&P 500 ETF เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ โดยกองทุน SCBS&P500 จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6 3. TMBUS500 กองทุน TMBUS500 หรือ TMB US500 Equity Index Fund จาก บลจ. ทหารไทย (TMBAM) มีนโยบายลงทุนในกองทุน iShares Core S&P 500 ETF เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุน TMBUS500 จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6 4. SCBBLN กองทุน SCBBLN หรือ SCB BILLIONAIRE FUND จาก บลจ. ไทยพาณิชย์ (SCBAM) กองทุนมีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นของประเทศสหรัฐอเมริกา และ/หรือหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศที่เน้นลงทุนในหุ้นของประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ โดยกองทุน SCBBLN จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6 5. TMBUSBLUECHIP กองทุน TMBUSBLUECHIP หรือ US Blue Chip Equity Fund จาก บลจ. ทหารไทย (TMBAM) มีนโยบายลงทุนในกองทุน T. Rowe Price Funds SICAV — US Blue Chip Equity Fund Class I (USD) เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ โดยกองทุน TMBUSBLUECHIP จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1347
Finance
เขียนเรื่องสั้นเรื่อง ''ฝันของนักเดินทางในโลกเงินสกุลดิจิทัล'' ให้หน่อย
null
ชื่อเรื่อง: ฝันของนักเดินทางในโลกเงินสกุลดิจิทัล ในทศวรรษ 2020 โลกได้เข้าสู่ยุคของเงินสกุลดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ ทุกคนเริ่มต้นรับรู้ถึงความสำคัญและประโยชน์ของการใช้เงินดิจิทัลในชีวิตประจำวัน ในโลกที่ทุกอย่างเป็นไอโอที่มีชีวิตอยู่บนบล็อกเชน มีเครื่องมือการเงินและการซื้อขายที่ดีเยี่ยมกว่าที่เคยมีมาก่อน แต่ก็มีความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องอยู่ด้วย มีนักเดินทางคนหนึ่งชื่อว่าเจมส์ ที่มุ่งมั่นที่จะสำรวจโลกของเงินสกุลดิจิทัลอย่างลึกซึ้ง เริ่มต้นการเดินทางของตัวเองโดยการซื้อบิทคอยน์แรกของเขา และเริ่มต้นสร้างพอร์ตการลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลต่าง ๆ เจมส์ได้ทำการศึกษาและสำรวจลึกลงไปในโลกของเงินสกุลดิจิทัล ซึ่งเป็นโลกที่เต็มไปด้วยความท้าทายและโอกาส ได้พบกับการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิดในราคาของสกุลเงินต่าง ๆ ซึ่งอาจเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างรวดเร็ว และการลงทุนในโลกของเงินสกุลดิจิทัลก็มีความเสี่ยงที่มากขึ้น ในการเดินทางของเจมส์ ได้พบกับผู้คนที่มีวิธีการคิดและวิสัยทัศน์ที่หลากหลาย ได้พบกับนักลงทุนที่มีประสบการณ์และมีความชำนาญในการทำกำไรจากการลงทุนในเงินสกุลดิจิทัล และยังได้พบกับผู้คนที่เสี่ยงเป็นความเสี่ยงในการลงทุนอย่างไม่มีขีดจำกัด เจมส์ได้เรียนรู้จากทุกประสบการณ์ที่ได้พบเจอ และก็เริ่มเชื่อมั่นในความสามารถของตัวเองในการจัดการกับความเสี่ยงและการลงทุนในโลกของเงินสกุลดิจิทัล รู้ว่าในโลกนี้ การศึกษาและความเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีและการเงินเป็นสิ่งจำเป็นที่สุด เพื่อให้เสามารถปรับตัวและเข้าใจเกี่ยวกับโอกาสและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในโลกของเงินสกุลดิจิทัล ** ในสิ้นสุดของการเดินทางของเจมส์ เจมส์ไม่เพียงแค่เรียนรู้เกี่ยวกับการลงทุน แต่เจมส์ยังได้รู้จักกับความสำคัญของการมีเป้าหมายในชีวิต และการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนในการเงินสกุลดิจิทัล ในท้ายที่สุด เจมส์รู้ว่าการเดินทางในโลกของเงินสกุลดิจิทัลยังไม่จบลง แต่มันเป็นการเริ่มต้นของสิ่งใหม่ที่น่าตื่นตาตื่นใจอย่างแท้จริง สำหรับเจมส์และสำหรับโลกในทศวรรษ 2020 ของเงินสกุลดิจิทัลนั้น
1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1348
Finance
ช่วยเขียนโฆษณาแคมเปญเกี่ยวกับ "สำรวจโอกาสการลงทุนที่น่าตื่นเต้น ด้วย 11 กองทุนผลตอบแทน 1 ปีที่ให้ผลงานน่าทึ่ง จากทุกหมวดกองทุน!" ให้หน่อย
null
"สำรวจโอกาสการลงทุนที่น่าตื่นเต้น ด้วย 11 กองทุนผลตอบแทน 1 ปีที่ให้ผลงานน่าทึ่ง จากทุกหมวดกองทุน!" พบกับโอกาสการลงทุนที่น่าตื่นเต้นและผลตอบแทนที่น่าสนใจ จาก 11 กองทุนที่ได้รับการเลือกสรรอย่างพิถีพิถัน ในแต่ละหมวดกองทุน ที่นำเสนอโอกาสการลงทุนที่สมบูรณ์แบบ วัตถุประสงค์ของแคมเปญ 1. ส่งเสริมการเข้าใจและการศึกษาเกี่ยวกับกองทุนต่างๆ ในตลาด 2. เสนอโอกาสการลงทุนที่มีผลตอบแทนสูงและความเสี่ยงที่ต่ำให้กับผู้ลงทุน 3. สร้างความตื่นเต้นและความสนใจในการลงทุนในกองทุนต่างๆ วิธีการดำเนินการ 1. โปรโมทผ่านสื่อสังคม ใช้สื่อสังคมเพื่อสร้างความตื่นเต้นและแนะนำให้ผู้ที่สนใจเข้ามาสำรวจรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับแต่ละกองทุนผ่านโพสต์และสตอรี่ในโซเชียลมีเดีย 2. เว็บไซต์และบล็อก: สร้างเนื้อหาที่มีคุณค่าเกี่ยวกับกองทุนแต่ละกอง ผ่านบทความ คำแนะนำ และบทวิจารณ์ 3. เวิร์กช็อปและสัมมนา: จัดเตรียมเวิร์กช็อปและสัมมนาเพื่อเสนอข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนในกองทุน โดยมีผู้เชี่ยวชาญทางการเงินเป็นวิทยากร 4. โปรโมทผ่านทางออนไลน์และออฟไลน์: ใช้วิธีโปรโมททั้งออนไลน์และออฟไลน์ เช่น โฆษณาทางอินเทอร์เน็ต โปสเตอร์ และป้ายโฆษณา ประโยชน์สำหรับผู้ร่วมแคมเปญ 1. พบกับโอกาสการลงทุนที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์และสไตล์การลงทุนของตนเอง 2. ได้รับความรู้และคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญทางการเงิน 3. มีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่าจากการลงทุนในกองทุนที่ถูกคัดเลือกอย่างรอบคอบ ** ด้วยแคมเปญ "ส่อง 11 กองทุนผลตอบแทน 1 ปีสุดปังจาก 11 หมวดกองทุน" นี้ ส่งเสริมความเข้าใจและความมั่นใจในการลงทุนในกองทุน และเปิดโอกาสให้กับผู้ลงทุนทุกคนในการเพิ่มมูลค่าของพอร์ตโฟลิโอการลงทุนของตนเอง!
5.ความรู้ทางการเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1349
Finance
การขยับของ Apple อัพเดต iOS 14.5 ที่ให้สิทธิ์ผู้ใช้งานเลือกว่าจะยอมให้แอปเก็บข้อมูลระหว่างการใช้งานหรือไม่ สร้างปัญหาให้กลุ่ม Digital Ads ส่งผลกระทบอย่างมากต่อผู้ซื้อโฆษณาผ่าน Social Media เนื่องจากอะไร ระหว่าง ผู้ซื้อโฆษณาไม่สามารถติดตามคุณภาพโฆษณาได้ตามต้องการ หรือ คนจำนวนไม่น้อยเบื่อที่แอปพยายามติดตามข้อมูลตลอดเวลา
ผู้ซื้อโฆษณาไม่สามารถติดตามคุณภาพโฆษณาได้ตามต้องการ เพราะการขยับของ Apple อัพเดต iOS 14.5 ที่ให้สิทธิ์ผู้ใช้งานเป็นคนเลือกว่าจะยอมให้แอปเก็บข้อมูลระหว่างการใช้งานหรือไม่ สร้างปัญหาให้กลุ่ม Digital Ads โดยเฉพาะแอป Social Media สิ่งนี้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อผู้ซื้อโฆษณาผ่าน Facebook, Snapchat, Twitter และแอปอื่น ๆ เนื่องจากผู้ซื้อโฆษณาจะไม่สามารถติดตามคุณภาพตัวโฆษณาได้ตามต้องการ เช่น โฆษณาที่ยิงไปเข้าถึงกลุ่มลูกค้ากี่คน หรือการโฆษณาเพื่อให้ลูกค้าเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ ทำให้ผู้ซื้อโฆษณาจะประเมิน Return on Investment (ROI) จากการโฆษณาไม่ได้ พอเป็นแบบนี้แล้ว ผู้ซื้อโฆษณาบางส่วนจึงขอลดการโฆษณาผ่านแพลตฟอร์มที่มีปัญหาไปก่อน แต่ที่น่าสนใจคือบางส่วนหันไปซบอก Apple ยิงโฆษณาผ่าน App Store แทน เพราะยังติดตามคุณภาพได้เหมือนเดิม ส่วน "คนจำนวนไม่น้อยเบื่อที่แอปพยายามติดตามข้อมูลตลอดเวลา" เป็นประโยชน์ที่ได้รับของ Apple รวมทั้งได้คำชื่นชมจากผู้ใช้งานด้วย ซึ่งถ้ามองแบบตรงไปตรงมา นี่เป็นอีกครั้งที่ Apple พยายามกินรวบตลาด ทำให้บริษัทพึ่งพาระบบ iOS ต้องเสียประโยชน์ ในทางตรงข้าม Apple ก็ได้คำชื่นชมจากผู้ใช้งาน เพราะคนจำนวนไม่น้อยเบื่อที่เหล่าแอปพยายามจะติดตามข้อมูลตลอดเวลา
ผู้ซื้อโฆษณาไม่สามารถติดตามคุณภาพโฆษณาได้ตามต้องการ เพราะการขยับของ Apple อัพเดต iOS 14.5 ที่ให้สิทธิ์ผู้ใช้งานเป็นคนเลือกว่าจะยอมให้แอปเก็บข้อมูลระหว่างการใช้งานหรือไม่ สร้างปัญหาให้กลุ่ม Digital Ads โดยเฉพาะแอป Social Media สิ่งนี้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อผู้ซื้อโฆษณาผ่าน Facebook, Snapchat, Twitter และแอปอื่น ๆ เนื่องจากผู้ซื้อโฆษณาจะไม่สามารถติดตามคุณภาพตัวโฆษณาได้ตามต้องการ เช่น โฆษณาที่ยิงไปเข้าถึงกลุ่มลูกค้ากี่คน หรือการโฆษณาเพื่อให้ลูกค้าเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ ทำให้ผู้ซื้อโฆษณาจะประเมิน Return on Investment (ROI) จากการโฆษณาไม่ได้ พอเป็นแบบนี้แล้ว ผู้ซื้อโฆษณาบางส่วนจึงขอลดการโฆษณาผ่านแพลตฟอร์มที่มีปัญหาไปก่อน แต่ที่น่าสนใจคือบางส่วนหันไปซบอก Apple ยิงโฆษณาผ่าน App Store แทน เพราะยังติดตามคุณภาพได้เหมือนเดิม ส่วน "คนจำนวนไม่น้อยเบื่อที่แอปพยายามติดตามข้อมูลตลอดเวลา" เป็นประโยชน์ที่ได้รับของ Apple รวมทั้งได้คำชื่นชมจากผู้ใช้งานด้วย ซึ่งถ้ามองแบบตรงไปตรงมา นี่เป็นอีกครั้งที่ Apple พยายามกินรวบตลาด ทำให้บริษัทพึ่งพาระบบ iOS ต้องเสียประโยชน์ ในทางตรงข้าม Apple ก็ได้คำชื่นชมจากผู้ใช้งาน เพราะคนจำนวนไม่น้อยเบื่อที่เหล่าแอปพยายามจะติดตามข้อมูลตลอดเวลา
4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_135
Finance
ประกันชั้น 2 แตกต่างกับประกันชั้น 1 อย่างไร
a. ประกันชั้น 2 ถูกกว่า ประกันชั้น 1 และยังมีการคุ้มครองที่ครบถ้วนเท่ากันทั้งสองประกัน b. ประกันชั้น 2 แพงกว่า ประกันชั้น 1 แต่ ไม่คุ้มครองรถของผู้ขับขี่ในกรณีเกิดอุบัติเหตุแล้วผู้ขับขี่เป็นฝ่ายผิด และไม่คุ้มครองกรณีรถประสบภัยธรรมชาติ c. ประกันชั้น 2 มีราคาเท่ากับ ประกันชั้น 1แต่คุ้มครองไม่เท่าประกันชั้น 1 d. ประกันชั้น 2 ค่าเบี้ยถูกกว่า แต่ไม่คุ้มครองรถของผู้ขับขี่ในกรณีเกิดอุบัติเหตุแล้วผู้ขับขี่เป็นฝ่ายผิด และไม่คุ้มครองกรณีรถประสบภัยธรรมชาติ
คำตอบที่ถูกต้องคือ d. เพราะว่า เพราะ ประกันชั้น 2 ค่าเบี้ยถูกกว่า แต่ไม่คุ้มครองรถของผู้ขับขี่ในกรณีเกิดอุบัติเหตุแล้วผู้ขับขี่เป็นฝ่ายผิด และไม่คุ้มครองกรณีรถประสบภัยธรรมชาติ ซึ่งโดยรวมแล้วให้ความคุ้มครองน้อยกว่าประกันชั้น 2+ ที่คุ้มครองรถยนต์ผู้ขับบางกรณี แต่ค่าเบี้ยประกันชั้น 2 ก็จะถูกกว่าด้วย ดังนั้นผู้ทำประกันชั้น 2 จึงควรเลือกประกันให้เหมาะสมกับรถเพื่อความคุ้มค่าและความปลอดภัยของตัวผู้ขับขี่ ซึ่งประกันนี้มีความเหมาะสมกับผู้ขับขี่ที่มีความชำนาญสูงมาก อาจจอดรถในที่เปลี่ยวบ่อยๆ และรถมีอายุที่มากจนไม่สามารถต่อประกันชั้น 1 ได้
5.ความรู้ทางการเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_1350
Finance
เขียนเรื่องสั้นที่เกี่ยวกับ "การเข้าใจ Share Class: หนึ่งในความรู้สำคัญสำหรับนักลงทุน" ให้หน่อย
null
เรื่องสั้น: "การเข้าใจ Share Class: หนึ่งในความรู้สำคัญสำหรับนักลงทุน" ในโลกของการลงทุนกลุ่มหนึ่งที่น่าสนใจอย่างมากคือ "Share Class" ซึ่งเป็นวิธีการแบ่งแยกกองทุนลงทุนเพื่อให้เหมาะกับความต้องการและวัตถุประสงค์ของนักลงทุนที่แตกต่างกันไป ในเรื่องสั้นนี้เราจะสำรวจและทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Share Class และความสำคัญของมันต่อการลงทุน ในโลกการลงทุนที่หลากหลายในปัจจุบัน Share Class เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการช่วยให้นักลงทุนสามารถเลือกกองทุนที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์และความต้องการของตนได้อย่างแม่นยำ ด้วยการเข้าใจ Share Class นักลงทุนจะสามารถทำเลือกในการลงทุนอย่างมั่นใจและมีส่วนสำคัญในการบรรลุวัตถุประสงค์การเงินได้ ในทางทฤษฎี Share Class เป็นวิธีที่บริษัทกองทุนใช้ในการแยกกองทุนลงทุนให้แก่นักลงทุน โดยมีเหตุผลหลักๆ คือเพื่อให้นักลงทุนสามารถเลือกกองทุนที่เหมาะกับความต้องการและความเสี่ยงได้ โดย Share Class สามารถแบ่งออกเป็นหลายชนิด เช่น Class A, Class B, Class C ซึ่งแต่ละ Class จะมีลักษณะและข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน เรื่องสำคัญที่นักลงทุนควรรู้จักเกี่ยวกับ Share Class ได้แก่ 1. ค่าธรรมเนียม: แต่ละ Share Class อาจมีค่าธรรมเนียมที่แตกต่างกัน เช่น Class A อาจมีค่าธรรมเนียมต่ำกว่า Class B หรือ Class C แต่มักจะมีค่าธรรมเนียมการซื้อขายสูงกว่าในแต่ละครั้ง 2. การจัดสรรกำไรและขาดทุน: แต่ละ Share Class อาจมีวิธีการจัดสรรกำไรและขาดทุนที่แตกต่างกัน เช่น Class A อาจมีการจัดสรรกำไรและขาดทุนโดยให้นักลงทุนเหมาะสมกับการถือครองยาวนานขึ้น 3. การโหวต: บาง Share Class อาจมีสิทธิ์ในการโหวตในการประชุมสามัญของกองทุน ในขณะที่อื่นๆ อาจไม่มีสิทธิ์ในการโหวตเลย 4. การซื้อขาย: ความสะดวกสบายในการซื้อขายกองทุนก็เป็นสิ่งสำคัญที่นักลงทุนควรพิจารณา เนื่องจากบาง Share Class อาจมีข้อจำกัดในการซื้อขายหรือการจำหน่าย ** สรุป Share Class เป็นสิ่งสำคัญที่นักลงทุนควรให้ความสำคัญ เนื่องจากมันมีผลต่อผลตอบแทนและความเสี่ยงของการลงทุน การเข้าใจและทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Share Class จึงเป็นข้อสำคัญที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถตัดสินใจในการลงทุนอย่างมั่นใจและปลอดภัยได้
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1351
Finance
เขียนเรื่องสั้นที่เกี่ยวกับ "พลังงานสะอาด: สายสัมพันธ์ระหว่าง ASP-POWERRMF กับอนาคต" ให้หน่อย
null
เรื่องสั้น ''สรุปกองทุน ASP-POWERRMF: โอกาสเติบโตระยะยาวกับเทรนด์พลังงานสะอาดแห่งอนาคต'' ในยุคที่เทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศกำลังเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดแนวทางการลงทุน กองทุน ASP-POWERRMF ก็ยังคงเป็นหนึ่งในกองทุนที่มีความสนใจในเทรนด์พลังงานสะอาด โดยเฉพาะในส่วนของพลังงานที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุดและมีโอกาสเติบโตในระยะยาว ASP-POWERRMF เป็นกองทุนที่มุ่งเน้นการลงทุนในบริษัทที่มีความเกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาด เช่น บริษัทผลิตพลังงานทดแทน เทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม และบริษัทในภูมิภาคอื่นๆ ที่มีการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อลดการใช้พลังงานที่เป็นมลพิษ การลงทุนในกองทุนนี้ถือเป็นการลงทุนในอนาคตที่ยั่งยืนโดยมีโอกาสเติบโตมากขึ้นเนื่องจากความต้องการใช้พลังงานสะอาดที่เพิ่มขึ้นในระดับโลก เทรนด์พลังงานสะอาดในอนาคตยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากความต้องการลดการใช้พลังงานจากแหล่งที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และการสร้างแรงจูงใจทางการเงินและนโยบายต่างๆ ที่ส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด โดยเฉพาะในช่วงหลังจากพิกัดของสหประชาชาติเกี่ยวกับการลดประเทศไซโอไคลอกซ์ (CO2) ที่ต้องการให้ประเทศต่างๆ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ด้วยการเสนอซื้อขายหน่วยลงทุนในบริษัทที่มีการพัฒนาเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาดอย่างสม่ำเสมอ กองทุน ASP-POWERRMF มีโอกาสในการเพิ่มมูลค่าของการลงทุนของนักลงทุนในระยะยาว เนื่องจากเทรนด์นี้ยังคงมีการเติบโตและความต้องการจากตลาดสูงขึ้น ** ดังนั้นเรื่องให้ภาพการลงทุนที่มีเป้าหมายและวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนในการเข้าใจเทรนด์พลังงานสะอาดและโอกาสในการลงทุนในกองทุน ASP-POWERRMF ที่มีศักยภาพในการเติบโตและความสำเร็จในระยะยาว โดยเน้นการเชื่อมโยงกับความเป็นเลิศของการลงทุนที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนแก่นักลงทุนในอนาคต
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1352
Finance
บิทคับซึ่งเป็นแพลทฟอร์มหรือตลาดหรือโบรกเกอร์ที่ให้บริการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลโดยเฉพาะเงินดิจิทัล เช่น บิทคอยน์ นั้น จริง ๆ ก็คือธุรกิจที่มีรายได้จากค่าธรรมเนียมการซื้อขายแนวเดียวกับโบรกเกอร์ในตลาดหลักทรัพย์ จุดเด่นคืออะไร
บิทคับ : ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล ​ การประกาศเข้าซื้อหุ้นบิทคับออนไลน์จำนวน 51% ด้วยเงิน 17,850 ล้านบาท ของกลุ่มธนาคารไทยพาณิชย์หรือ SCBX เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเป็นข่าวใหญ่อีกครั้งหนึ่งหลังจากที่เคยประกาศปรับโครงสร้างจากการเป็นธนาคารให้เป็นกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีทางการเงินเมื่อเร็ว ๆ นี้ เหตุผลเพราะว่านั่นเป็นเครื่องแสดงว่ากลุ่ม SCBX “เอาจริง” กับการมุ่งหน้าไปสู่ “โลกใหม่” ที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วซึ่งในที่สุดอาจจะ Disrupt หรือทำลายธนาคาร “แบบเก่า” ได้ นั่นเป็นเรื่องหนึ่ง แต่อีกประเด็นหนึ่งก็คือ การที่บิทคับออนไลน์ซึ่งเป็นแพลทฟอร์มซื้อขายเหรียญดิจิทัลและสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นได้กลายเป็น “ยูนิคอร์น” ตัวใหม่ เพราะมูลค่าของบริษัทจะเท่ากับ 35,000 ล้านบาทหรือมากกว่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ก่อนที่จะวิเคราะห์หรือวิจารณ์ดีลนี้ ผมอยากจะให้ทำความเข้าใจกับ “โลกใหม่” ที่โลกและโดยเฉพาะอย่างยิ่งทรัพย์สินต่าง ๆ ในโลกนี้กำลัง “ถูกทำให้เป็นดิจิทัล” อย่างรวดเร็วหรือก็คือการทำให้เป็น “โลกเสมือน” คู่ไปกับ “โลกจริง” อย่างที่มาร์ก ซักเกอร์เบิร์ก เพิ่งจะประกาศเป็นวิสัยทัศน์ของเฟซบุคว่าจะนำบริษัทเข้าสู่โลกของ “Metaverse” หรือ “อาณาจักรของโลกเสมือน” พร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น “Meta” แต่ผมเองคงไม่ไปไกลถึงขนาดว่าโลกจะเป็นอย่างไรในอนาคต แต่จะพูดเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องเพียงบางส่วนนั่นก็คือเรื่องของ “สินทรัพย์ดิจิทัล” และตลาดที่ซื้อขายสินทรัพย์เหล่านั้นซึ่งหนึ่งในตลาดนั้นก็คือบริษัทบิทคับออนไลน์ที่ SCBX ประกาศซื้อ เริ่มตั้งแต่เทคโนโลยี “Block Chain” เกิดขึ้นในโลก ทุกอย่างที่เกี่ยวกับ “ทรัพย์สินจริง” ที่สามารถจับต้องได้ของโลกก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง เฉพาะอย่างยิ่งมันถูกแปลงให้กลายเป็น “ทรัพย์สินดิจิทัล” หรือ “ทรัพย์สินเสมือน” ที่สามารถกำหนดตัวตนชัดเจน ไม่มีใครสามารถปลอมแปลงได้ มันถูกเก็บรักษาไว้ได้โดยไม่มีการเสื่อมเสียและแทบไม่มีค่าใช้จ่ายในคอมพิวเตอร์หรือใน “คลาวด์” สามารถซื้อขายและโอนได้โดยที่ไม่ต้องมีตัวกลาง ไม่ต้องมีการจดทะเบียนอะไรกับใครทั้งนั้น มันเป็น “ทรัพย์สินในฝันที่มีค่า” โดยเฉพาะใน “โลกใหม่” ว่าที่จริงตอนนี้ก็เริ่มทำกันมากขึ้นเรื่อย ๆ อยู่แล้ว ตัวอย่างเช่น เราสามารถเอาคอนโดทั้งหลังแปลงเป็น “เหรียญดิจิทัล” แล้วเอาไปซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์หรือตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลได้ เอารูปวาดของศิลปินไปทำเป็นดิจิทัลและสามารถจะขายได้ และเมื่อ 2-3 วันนี้เองก็มีข่าวว่าบริษัทไนกี้เอายี่ห้อรองเท้าของตนเองไป “จดทะเบียน” ไว้ในเมตาเวอร์สแล้ว เพราะอาจจะเกรงว่าในอนาคตถ้าคนเข้าไปอยู่ในโลกเสมือนมาก ๆ และพวกเขาจำเป็นที่จะต้องมีรองเท้าใส่ ไนกี้จะได้ขาย “รองเท้าไนกี้เสมือน” ได้เป็นกอบเป็นกำ นอกจากนั้น เฟซบุคหรือเมตาเองก็ประกาศขาย “ที่ดินเสมือน” กันแล้วแม้ว่าโดยส่วนตัวผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไมเราจะต้องมีที่ดินถ้าในโลกเสมือนนั้นเราไม่ได้มีตัวตนจริงและเราก็อาจจะไม่จำเป็นต้องประกาศว่าที่ดินนั้นมียี่ห้ออะไรหรืออยู่ที่ไหนเพื่อที่จะอวดกับคนอื่น เมื่อพูดถึงเรื่องนี้แล้ว ก็ไม่แน่ว่าวันหนึ่งสินค้าแฟชั่นหรูเช่นแอร์เมสหรือแชนเนลก็อาจจะต้องเข้ามา “จดทะเบียน” ในโลกเสมือนเหมือนกันถ้าไม่อยาก “ตกรถ” ที่มุ่งไปสู่เมตาเวอร์สที่ใหญ่โตอาจจะพอ ๆ กับโลกจริงในอนาคต เทคโนโลยีบล็อกเชนเองยังสามารถ “สร้างทรัพย์สินดิจิทัล” ขึ้นมาเองโดยไม่ต้องมีของจริงเป็นฐาน และนั่นทำให้คนที่เชี่ยวชาญสามารถสร้างทรัพย์สินที่มีค่ามากที่สุดในโลกจริงเช่น เงินหรือทองหรือที่ดินอย่างที่เฟซบุคทำขึ้นมา ว่าที่จริงมันก็เป็นเรื่องจำเป็นอยู่แล้วที่การค้าขายทรัพย์สินในโลกเสมือนจะต้องมีการจ่ายเงินรับเงิน ดังนั้น “เงินเสมือน” จึงถูกสร้างขึ้นเป็นจำนวนมาก เริ่มจากบิทคอยน์ที่เป็นผู้นำซึ่งในยุคแรกที่คนในโลกเสมือนยังมีน้อยมาก จึงไม่ค่อยมีคนยอมรับ เรื่องราวจึงเป็นว่าคนที่มีเงินบิทคอยน์หรือเป็นคนสร้างหรือผลิตมันขึ้นมาเอง ได้เอาไปแลกซื้อพิสซา 2 ถาดในราคา 10,000 บิทคอยน์ ซึ่งคิดแล้ว 1 บิทคอยน์ในโลกเสมือนเท่ากับประมาณ 10 สตางค์ของไทย แต่เมื่อเวลาผ่านไปแค่ 12 ปี จนถึงวันนี้ที่คนเชื่อว่าความต้องการบิทคอยน์จะสูงมากมหาศาลในโลกเสมือน จึงทำให้ 1 บิทคอยน์สามารถแลกเป็นเงินได้ถึง 2 ล้านบาท และคนที่ซื้อพิสซาถาดนั้นได้จ่ายเงินไปถึง 20,000 ล้านบาท การสร้างหรือผลิตเงินหรือ “พิมพ์เงิน” เองในโลกเสมือนนั้น กลายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเต็มไปหมด นอกจากเงินแล้วก็ยังมี “เหรียญ” สารพัดที่จะนำมาใช้หรือนำมาขายในตลาด เมื่อเร็ว ๆ นี้หนังเรื่อง “Squid Game” ซึ่งดังมากในเน็ตฟลิกก็ถูกนำมาทำเป็นเหรียญเพื่อล่อให้คนมาซื้อแล้วสุดท้ายก็ “ถูกเชิด” หนีโดยการปิดโปรแกรมทิ้งได้เงินไปประมาณ 100 ล้านบาท และนี่ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ง่าย เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ในแง่ของกฎหมายเองก็คงทำอะไรได้ยากเหมือนกัน เพราะนี่คือ “โลกเสมือน” ที่คนจำนวนมากเข้ามาด้วย “ความเชื่อ” และ “ความโลภ” โดยอาจจะยังไม่ตระหนักว่าอะไรคือ “กฎเกณฑ์” ที่ใช้บังคับการกระทำหรือข้อตกลงในโลกเสมือน มูลค่าที่ “แท้จริง” หรือ “ค่าที่ควรจะเป็น” ของสินทรัพย์ดิจิทัลนั้น ในสายตาของ VI อย่างผมก็คือ ถ้ามันเป็นสินทรัพย์ที่แปลงหรืออิงอยู่กับทรัพย์สินจริง เช่น คอนโดหรือธุรกิจบางอย่างที่มีรายได้มีกำไรและจ่ายปันผลก็เป็นเรื่องง่าย นั่นคือเราก็ไปวิเคราะห์สิ่งที่มันเป็นตัวแทน แต่ถ้าเป็นทรัพย์สินที่ถูกสร้างขึ้นมาในโลกเสมือน แม้ว่ามันจะสามารถนำมาใช้ในโลกจริงได้แต่โดยตัวมันเองไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือมีกำไรเช่น เงินดิจิทัล แบบนี้การประเมินมูลค่าก็ทำได้ยากมากถึงทำไม่ได้ ในกรณีแบบนี้ผมก็จะไม่สนใจเลย เพราะถ้าพยายามทำก็จะกลายเป็นการเก็งกำไรหรือการพนันที่โอกาสแพ้ชนะมีเท่ากันและราคามักขึ้นอยู่กับปัจจัยทางด้านจิตวิทยามวลชนที่คาดการณ์ยากมาก และอะไรที่ไม่รู้ ผมก็มักจะหลีกเลี่ยง กลับมาที่บิทคับซึ่งก็คือแพลทฟอร์มหรือตลาดหรือโบรกเกอร์ที่ให้บริการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลโดยเฉพาะเงินดิจิทัลเช่นบิทคอยน์นั้น จริง ๆ ก็คือธุรกิจที่มีรายได้จากค่าธรรมเนียมการซื้อขายแนวเดียวกับโบรกเกอร์ในตลาดหลักทรัพย์ จุดเด่นก็คือ บริษัทเป็นผู้นำและแทบจะ Dominate หรือครอบงำการซื้อขายเงินดิจิทัลในประเทศไทยซึ่งเติบโตขึ้นเป็นจรวดในเวลาแค่ 1-2 ปี อานิสงค์จากการปรับตัวขึ้นลงแรงมากของบิทคอยน์ คนไทยรุ่นใหม่จำนวนอาจจะเป็นล้านคนต่างก็เข้ามาเล่นในสินทรัพย์นี้ ซึ่งส่งผลให้บิทคับมีปริมาณการซื้อขายสินทรัพย์ในช่วง 9 เดือนของปีนี้คิดเป็นเงินระดับ 1 ล้านล้านบาท มีรายได้ 3-4 พันล้านบาท และกำไรประมาณ 1,500 ล้านบาท ซึ่งต้องถือว่าเป็นผลประกอบการ “สุดยอด” และอาจจะคุ้มค่าเงินที่ SCBX จ่าย อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงของการลงทุนก็มีมากพอ ๆ กัน ความเสี่ยงข้อแรกก็คือ ตลาดการซื้อขายเงินเหรียญปีต่อ ๆ ไปอาจจะไม่บูมและถ้า “ดับ” ตามราคาของบิทคอยน์หรือคอยน์อื่น ๆ รายได้ก็จะหายไปได้มาก ข้อที่สองซึ่งผมคิดว่าน่าจะมีโอกาสเกิดค่อนข้างมากก็คือ “คู่แข่ง” ซึ่งก็มีอยู่หลายแห่งและอนาคตอาจจะรวมถึงรายที่มาจากต่างประเทศจะเข้ามาแข่งได้อย่างจริงจังมากขึ้นหลังจากบิทคับที่เป็นรายแรก ๆ เริ่มนำไปก่อน เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ แบ้งค์ของไทยหลาย ๆ แห่งก็คงไม่เฉยรอให้ SCBX ทำอยู่ฝ่ายเดียวและอาจจะมาแย่งลูกค้าของตนที่ต้องการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล ดังนั้นพวกเขาอาจจะต้องรีบเข้ามาทำบ้างก่อนที่จะ “สายเกินไป” และเนื่องจากธุรกิจให้บริการแบบนี้มักจะไม่มี Barrier to Entry และมักไม่มีความได้เปรียบที่ยั่งยืนนั่นคือ ไม่มี Network Effect หรือ Exit Cost ที่จะดึงลูกค้ารายใหม่หรือป้องกันลูกค้ารายเดิมให้อยู่กับบริษัทกรณีที่คู่แข่งเสนอเงื่อนไขเช่น ราคาค่าบริการที่ต่ำกว่า ผลก็คือ ดีลนี้อาจจะไม่ได้คุ้มค่าในแง่การลงทุน อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่า SCBX คงได้อย่างอื่นโดยเฉพาะชื่อเสียงที่จะดึงดูดให้ธุรกิจหรือคนในแวดวงดิจิทัลให้เข้ามาเป็นตัวเลือกแรกเวลาอยากทำดีล ซึ่งแค่นี้ก็อาจจะ “คุ้มแล้ว” สำหรับ SCBX ความเสี่ยงข้อแรกก็คือ ตลาดการซื้อขายเงินเหรียญปีต่อ ๆ ไปอาจจะไม่บูมและถ้า “ ดับ ” ตามราคาของบิทคอยน์หรือคอยน์อื่น ๆ รายได้ก็จะหายไปได้มาก ข้อที่สองซึ่งผมคิดว่าน่าจะมีโอกาสเกิดค่อนข้างมากก็คือ “ คู่แข่ง ” ซึ่งก็มีอยู่หลายแห่งและอนาคตอาจจะรวมถึงรายที่มาจากต่างประเทศจะเข้ามาแข่งได้อย่างจริงจังมากขึ้นหลังจากบิทคับที่เป็นรายแรก ๆ เริ่มนำไปก่อน เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ แบ้งค์ของไทยหลาย ๆ แห่งก็คงไม่เฉยรอให้ SCBX ทำอยู่ฝ่ายเดียวและอาจจะมาแย่งลูกค้าของตนที่ต้องการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล ดังนั้นพวกเขาอาจจะต้องรีบเข้ามาทำบ้างก่อนที่จะ “ สายเกินไป ” และเนื่องจากธุรกิจให้บริการแบบนี้มักจะไม่มี Barrier to Entry และมักไม่มีความได้เปรียบที่ยั่งยืนนั่นคือ ไม่มี Network Effect หรือ Exit Cost ที่จะดึงลูกค้ารายใหม่หรือป้องกันลูกค้ารายเดิมให้อยู่กับบริษัทกรณีที่คู่แข่งเสนอเงื่อนไขเช่น ราคาค่าบริการที่ต่ำกว่า ผลก็คือ ดีลนี้อาจจะไม่ได้คุ้มค่าในแง่การลงทุน อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่า SCBX คงได้อย่างอื่นโดยเฉพาะชื่อเสียงที่จะดึงดูดให้ธุรกิจหรือคนในแวดวงดิจิทัลให้เข้ามาเป็นตัวเลือกแรกเวลาอยากทำดีล ซึ่งแค่นี้ก็อาจจะ “ คุ้มแล้ว ” สำหรับ SCBX ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร . ที่มาบทความ:
บิทคับซึ่งเป็นแพลทฟอร์มหรือตลาดหรือโบรกเกอร์ที่ให้บริการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลโดยเฉพาะเงินดิจิทัล เช่น บิทคอยน์ นั้น จริง ๆ ก็คือธุรกิจที่มีรายได้จากค่าธรรมเนียมการซื้อขายแนวเดียวกับโบรกเกอร์ในตลาดหลักทรัพย์ จุดเด่นก็คือ บริษัทเป็นผู้นำและแทบจะ Dominate หรือครอบงำการซื้อขายเงินดิจิทัลในประเทศไทยซึ่งเติบโตขึ้นเป็นจรวดในเวลาแค่ 1-2 ปี อานิสงค์จากการปรับตัวขึ้นลงแรงมากของบิทคอยน์ คนไทยรุ่นใหม่จำนวนอาจจะเป็นล้านคนต่างก็เข้ามาเล่นในสินทรัพย์นี้ ซึ่งส่งผลให้บิทคับมีปริมาณการซื้อขายสินทรัพย์ในช่วง 9 เดือนของปี 2564 คิดเป็นเงินระดับ 1 ล้านล้านบาท มีรายได้ 3-4 พันล้านบาท และกำไรประมาณ 1,500 ล้านบาท ซึ่งต้องถือว่าเป็นผลประกอบการ “สุดยอด” และอาจจะคุ้มค่าเงินที่ SCBX จ่าย อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงของการลงทุนก็มีมากพอ ๆ กัน ความเสี่ยงข้อแรกก็คือ ตลาดการซื้อขายเงินเหรียญปีต่อ ๆ ไปอาจจะไม่บูมและถ้าดับตามราคาของบิทคอยน์หรือคอยน์อื่น ๆ รายได้ก็จะหายไปได้มาก ข้อที่สอง ซึ่งคิดว่าน่าจะมีโอกาสเกิดค่อนข้างมากก็คือ “คู่แข่ง” ซึ่งก็มีอยู่หลายแห่งและอนาคตอาจจะรวมถึงรายที่มาจากต่างประเทศจะเข้ามาแข่งได้อย่างจริงจังมากขึ้นหลังจากบิทคับที่เป็นรายแรก ๆ เริ่มนำไปก่อน เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ แบ้งค์ของไทยหลาย ๆ แห่งก็คงไม่เฉยรอให้ SCBX ทำอยู่ฝ่ายเดียวและอาจจะมาแย่งลูกค้าของตนที่ต้องการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล ดังนั้นพวกเขาอาจจะต้องรีบเข้ามาทำบ้างก่อนที่จะ “สายเกินไป” และเนื่องจากธุรกิจให้บริการแบบนี้มักจะไม่มี Barrier to Entry และมักไม่มีความได้เปรียบที่ยั่งยืนนั่นคือ ไม่มี Network Effect หรือ Exit Cost ที่จะดึงลูกค้ารายใหม่หรือป้องกันลูกค้ารายเดิมให้อยู่กับบริษัทกรณีที่คู่แข่งเสนอเงื่อนไขเช่น ราคาค่าบริการที่ต่ำกว่า ผลก็คือ ดีลนี้อาจจะไม่ได้คุ้มค่าในแง่การลงทุน อย่างไรก็ตาม SCBX คงได้อย่างอื่นโดยเฉพาะชื่อเสียงที่จะดึงดูดให้ธุรกิจหรือคนในแวดวงดิจิทัลให้เข้ามาเป็นตัวเลือกแรกเวลาอยากทำดีล ซึ่งแค่นี้ก็อาจจะ “คุ้มแล้ว” สำหรับ SCBX
6.ข้อมูลการเงินรายบริษัท,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1353
Finance
จงเสนอไอเดีย นักลงทุนควรพิจารณาอะไรบ้างสำหรับการลงทุนในปัจจุบันและอนาคตอันใกล้?
null
กลยุทธ์การลงทุนที่ควรพิจารณา: 1. การกระจายความเสี่ยง: กระจายเงินลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ เช่น หุ้น พันธบัตร ทองคำ อสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ กระจายเงินลงทุนในหุ้นจากหลายๆ กลุ่มธุรกิจ กระจายเงินลงทุนในหุ้นจากหลายๆ ประเทศ 2. ลงทุนในหุ้นที่ได้ประโยชน์จาก Infrastructure Bill: หุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้าง หุ้นกลุ่มพลังงาน หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี 3. ลงทุนในหุ้นกลุ่ม Defensive: หุ้นกลุ่ม Consumer Staples หุ้นกลุ่ม Healthcare 4. ลงทุนในทองคำ: ทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ทองคำมักปรับตัวขึ้นในช่วงที่ตลาดหุ้นผันผวน 5. เตรียมพร้อมรับมือกับความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ: ลงทุนในสินทรัพย์ที่สามารถป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ เช่น หุ้นกลุ่ม Real Estate Investment Trusts (REITs) ลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ 6. ติดตามข่าวสารและข้อมูลอย่างใกล้ชิด: ติดตามนโยบายการเงินของธนาคารกลางต่างๆ ติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจโลก ติดตามผลประกอบการของบริษัทที่ลงทุน คำแนะนำเพิ่มเติม: - ปรึกษานักวางแผนการเงินเพื่อออกแบบกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมกับเป้าหมายและความเสี่ยงที่รับได้ - ลงทุนระยะยาว ใจเย็น ไม่ควรรีบร้อน ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ สรุป: นักลงทุนควรปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันและอนาคตอันใกล้ โดยเน้นการกระจายความเสี่ยง ลงทุนในหุ้นที่ได้ประโยชน์จาก Infrastructure Bill ลงทุนในหุ้นกลุ่ม Defensive ลงทุนในทองคำ เตรียมพร้อมรับมือกับความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ และติดตามข่าวสารและข้อมูลอย่างใกล้ชิด
2.ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,4.เครื่องมือทางการเงิน,5.กลยุทธ์การลงทุน,6.การบริหารสินทรัพย์
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1354
Finance
จงบอกจุดเด่นของ Bitkub
null
จุดเด่นของ Bitkub ได้แก่ - CEO ที่มีความโดดเด่น - ช่องทางการสื่อสารที่มีผู้ติดตามจำนวนมาก - มีการโปรโมตที่ดี จนทำให้ชื่อของ Bitkub ติดหูนักเทรดชาวไทย - มีโวลุ่มการเทรดที่สูง จนทิ้งห่างคู่แข่งหลาย ๆ เจ้าในไทย - มีสภาพคล่องการซื้อขายในระดับที่สูงเหนือคู่แข่ง Bitkub มีรายได้หลักมาจากค่าธรรมเนียมและบริการ ซึ่งหากคิดจากสัดส่วนของรายได้ปี 2563 น่าจะคิดเป็นประมาณ 98.57% ของรายได้ทั้งหมด ซึ่งค่อนข้างชี้ชัดว่า Bitkub น่าจะมีรายได้มาจากการเป็นโบรคเกอร์อำนวยความสะดวกด้านการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นหลัก หากมองว่า Bitkub เปรียบเสมือนโบรคเกอร์ เรื่องค่าธรรมเนียมก็อาจจะเป็นประเด็นแรก ๆ ที่นึกถึงในธุรกิจนี้ ในแง่ของค่าธรรมเนียม Bitkub มีค่าธรรมเนียมซื้อขายอยู่ที่ 0.25% ต่อการซื้อขายต่อครั้ง รวมถึงมีค่าธรรมเนียมการถอนแบ่งตามขนาดเงินทุนตามกันไป สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ดีพอที่จะสะท้อนคุณภาพผ่านส่วนแบ่งทางการตลาด (Market share) ที่มีมูลค่าสูงถึง 1.03 ล้านล้านบาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึง 92% ของ market share ในไทย หรือจะเรียกได้ว่าเป็นแพลตฟอร์มซื้อขายคริปโตอันดับ 1 ในไทยก็ว่าได้ Bitkub เป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จ มาแรง เทิร์นกำไรได้รวดเร็ว ผ่านจังหวะที่คริปโตกำลังเติบโตได้เป็นอย่างดี และ Bitkub ยังประสบความสำเร็จจนเป็นยูนิคอร์นสายรุ้ง ที่ประดับวงการสตาร์ทอัปไทยได้สำเร็จ
6.ข้อมูลการเงินรายบริษัท,5.ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1355
Finance
ในเดือนตุลาคม 2021 Thematic ETF ธีมใดที่ฟื้นตัวขึ้นเฉลี่ยถึง 12.3% ภายในเดือนเดียว ระหว่าง Sustainable Energy หรือ Invesco Solar ETF
null
Sustainable Energy เพราะในเดือนตุลาคม 2021 ธีม Sustainable Energy ฟื้นตัวขึ้นเฉลี่ยถึง 12.3% ภายในเดือนเดียว ส่วนธีม Invesco Solar ETF บวกถึง 23.9% ในเดือนตุลาคม 2021 Thematic ETF ปรับตัวขึ้นอย่างคึกคักพร้อมเพรียงแทบทุกธีม โดดเด่นที่สุดคือธีม Sustainable Energy ที่ฟื้นตัวขึ้นเฉลี่ยถึง 12.3% ภายในเดือนเดียว ไม่ใช่แค่ธีมเฉพาะอย่าง TAN หรือ Invesco Solar ETF ที่บวกถึง 23.9% แต่ธีมพลังงานสะอาดกว้าง ๆ อย่าง INRG หรือ iShare Global Clean Energy UCIT ETF ก็สามารถปรับตัวบวกขึ้นได้ 14.8% เช่นกัน ธีม Sustainable Energy นอกจากจะได้แรงหนุนจากสไตล์ High Beta กับตลาดโดยรวมแล้ว การที่ราคาสินค้าพลังงานปรับตัวขึ้นมาสร้างฐานใหม่ ก็ทำให้การลงทุนในธีม Alternative มีแรงส่งตามไปด้วย ส่วนที่ปรับฐานคือ สไตล์ Low Market Correlation ที่มีความเสี่ยงเฉพาะตัว เช่น ธีม Consumer Evolution กลุ่มการท่องเที่ยวที่พักฐาน หลังปรับตัวบวกแรงท้ายไตรมาส 3 ปี 2021 หรือธีม Healthcare Innovation ที่มีแรงขายสลับหุ้นเด่น เนื่องจากข่าวความสำเร็จในการผลิตยาต้านไวรัสโควิดที่ทยอยออกมา ตลาดจึงมองว่าการแข่งขันจะสูงขึ้นอย่างมากในอนาคต 18 ตุลาคม 2021 เป็นอีกหนึ่งวันที่ต้องจารึกไว้ เมื่อ BITO หรือ ProShares Bitcoin Strategy ETF เข้าเทรดวันแรกช่วงที่ราคาบิตคอยน์กำลังทำจุดสูงสุดใหม่ ทำให้ BITO สามารถสร้าง Asset Under Managed (AUM) ได้ถึง 1.2 พันล้านดอลลาร์ภายในระยะเวลาเพียงสองวัน ทำลายสถิติ ETF ที่มี AUM ถึงหนึ่งพันล้านดอลลาร์เร็วที่สุดที่ GLD หรือ SPDR Gold Shares เคยทำได้ (3วัน) เมื่อปี 2004 และความตื่นเต้นนี้ก็ส่งผลบวกมาให้ธีม Fintech และ Blockchain ปรับตัวขึ้นตามไปด้วย นำโดย BCHN (Elwood Global Blockchain UCITS) และ DAPP (VanEck Vectors Digital Transformation ETF) ที่ปรับตัวขึ้นในเดือนกันยายน 2021 ถึง 15.2% และ 29.6% ตามลำดับ
5.ความรู้ทางการเงิน,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1356
Finance
จงบอกจุดเด่นของเศรษฐกิจอินเดียในช่วงที่สามารถดึงเม็ดเงินต่างชาติเข้าสู่ตลาดหุ้นอินเดียกว่า 3 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2021
null
ภาพเศรษฐกิจอินเดีย จะพบว่ามีจุดเด่นอยู่หลายประการ ไม่ว่าจะเป็นอัตราการเติบโตของจีดีพีในปี 2021 ที่คาดว่าจะเท่ากับร้อยละ 9.5 จากการคาดการณ์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือไอเอ็มเอฟ แม้ว่าจุดด้อยที่มีมาอย่างยาวนาน คือ ภาคสถาบันการเงินที่ยังไม่พัฒนาเทียบเท่ากับประเทศตะวันตก รวมถึงระบบสาธารณูปโภคและการขนส่งที่ยังค่อนข้างจะล้าหลังกว่าหลายประเทศ โดยจุดเด่นของเศรษฐกิจอินเดียในช่วงที่สามารถดึงเม็ดเงินต่างชาติเข้าสู่ตลาดหุ้นอินเดียกว่า 3 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2021 มีดังต่อไปนี้ 1. เสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหภาคที่โดดเด่น จะเห็นได้จากไม่ว่าจะเป็นอัตราส่วนหนี้ต่างประเทศต่อจีดีพีที่ต่ำเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ผนวกกับความเพียงพอของเงินสำรองของทางการสำหรับเงินสกุลต่างประเทศที่สูง นอกจากนี้ เศรษฐกิจอินเดียยังมีอัตราเงินเฟ้อที่ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถบริหารจัดการได้ 2. เศรษฐกิจอินเดียไม่ได้พึ่งพาภาคต่างประเทศมากนัก โดยที่มูลค่าการส่งออกและนำเข้าเมื่อคิดต่อจีดีพีอยู่ที่ราวร้อยละ 20 กว่า ๆ เท่านั้น อีกทั้งไม่ได้พึ่งพาการนำเข้าน้ำมันดิบมากสักเท่าไรหรือคิดเป็นเพียงแค่ร้อยละ 1 กว่า ๆ ต่อจีดีพีเพียงเท่านั้น ซึ่งตรงนี้ ทำให้การหดตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศตะวันตก ส่งผลเชิงลบต่อเศรษฐกิจอินเดียเพียงแค่ระยะเวลาไม่นานนัก 3. ในส่วนของนโยบายการเงิน จะพบว่าธนาคารกลางอินเดียถือว่าเป็นแบงก์ชาติที่สร้างเซอร์ไพร์สในการประชุมด้านนโยบายการเงินอยู่บ่อยครั้งมาก ซึ่งถือว่าจะทำให้เป็นการสร้างยอดมูลค่าการเทรดให้กับตลาดหุ้น รวมถึงในส่วนนโยบายการคลังเอง แม้ว่าจะมีอัตราส่วนหนี้ภาครัฐต่อจีดีพีไม่ได้ต่ำมาก ทว่าทางไอเอ็มเอฟก็ยังสนับสนุนให้ใช้นโยบายการคลังแบบขาดดุลในระยะสั้นเพื่อสู้กับวิกฤตโควิด จึงทำให้นโยบายทั้งคู่ส่งผลดีต่อตลาดทุน
5.ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1358
Finance
ผลกระทบของ QE ต่อตลาดหุ้นในอนาคตจะเป็นอย่างไร?
null
QE หรือ Quantitative Easing เป็นนโยบายการเงินที่ธนาคารกลางใช้มากระตุ้นเศรษฐกิจโดยการเข้าซื้อสินทรัพย์ในระบบ เช่น พันธบัตรรัฐบาล ตราสารหนี้ MBS และหุ้น นโยบายนี้ส่งผลดีต่อตลาดหุ้นในหลายแง่มุม ดังนี้ เพิ่มสภาพคล่อง: การอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบช่วยเพิ่มสภาพคล่อง ทำให้นักลงทุนมีเงินทุนมากขึ้นในการลงทุน ลดอัตราดอกเบี้ย: การซื้อพันธบัตรรัฐบาลโดยธนาคารกลาง ทำให้ราคาพันธบัตรสูงขึ้น ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยลดลง กระตุ้นเศรษฐกิจ: การกระตุ้นเศรษฐกิจโดย QE ทำให้บริษัทมีรายได้และกำไรเพิ่มขึ้น ส่งผลดีต่อราคาหุ้น อย่างไรก็ตาม QE ยังมีผลกระทบด้านลบที่ต้องพิจารณา ดังนี้ เงินเฟ้อ: การอัดฉีดเงินจำนวนมากเข้าสู่ระบบอาจนำไปสู่เงินเฟ้อ ฟองสบู่: เงินทุนที่ไหลเวียนเข้าตลาดหุ้นจำนวนมาก อาจสร้างฟองสบู่และความเสี่ยงต่อราคาหุ้น ภาระหนี้: การกู้ยืมเงินมาใช้จ่ายของรัฐบาล เพิ่มภาระหนี้สินในอนาคต ผลกระทบของ QE ต่อตลาดหุ้นในอนาคตจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ดังนี้ การดำเนินนโยบาย QE ของธนาคารกลาง: ธนาคารกลางจะเริ่มลดหรือยุติ QE หรือไม่? การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ: เศรษฐกิจจะฟื้นตัวได้ดีเพียงใด? อัตราเงินเฟ้อ: อัตราเงินเฟ้อจะพุ่งสูงเกินไปหรือไม่? นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตลาดหุ้นจะยังคงมีความผันผวนสูงในระยะสั้น แต่ในระยะยาว ตลาดหุ้นจะยังคงมีแนวโน้มขาขึ้น คำแนะนำสำหรับนักลงทุน: กระจายความเสี่ยง: ไม่ควรลงทุนในหุ้นเพียงอย่างเดียว ควรกระจายเงินลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่น ลงทุนระยะยาว: การลงทุนระยะยาวจะช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด ติดตามข่าวสาร: ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับนโยบาย QE และเศรษฐกิจโลก สรุป: QE เป็นนโยบายการเงินที่มีผลกระทบทั้งด้านบวกและด้านลบต่อตลาดหุ้น นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลและติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด
5.ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1359
Finance
กองทุน TSF-A มีนโยบายกองทุนอย่างไร
ลงทุนกองทุนเหล่านี้ 10,000 บาท ผ่านไป 10 ปี มีเงินเท่าไร? ​ บทความนี้ขอพาทุกคนไปดูว่า หากเราลงทุน 6 กองทุนเหล่านี้เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ด้วยเงิน 10,000 บาท ในวันนี้เราจะมีเงินเท่าไรกันบ้าง? ซึ่งแต่ละกองทุนที่เรานำมาในบทความนี้เป็นกองทุนที่คัดมาเน้น ๆ โดยเป็นกองทุนที่สามารถทำผลตอบแทนได้โดดเด่นเหนือค่าเฉลี่ยในกลุ่มทุกกองทุน บทความนี้ขอพาทุกคนไปดูว่า หากเราลงทุน 6 กองทุนเหล่านี้เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ด้วยเงิน 10,000 บาท ในวันนี้เราจะมีเงินเท่าไรกันบ้าง? ซึ่งแต่ละกองทุนที่เรานำมาในบทความนี้เป็นกองทุนที่คัดมาเน้น ๆ โดยเป็นกองทุนที่สามารถทำผลตอบแทนได้โดดเด่นเหนือค่าเฉลี่ยในกลุ่มทุกกองทุน อย่างไรก็ตาม ต้องขอเรียนแจ้งไว้ก่อนว่า คอนเทนต์นี้ไม่ได้มีเจตนาชี้ชวนให้ลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนทุก ๆ ท่านควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุนกันด้วยนะ แต่ละกองทุน เราจึงแนบรายละเอียดนโยบายกองทุนให้ผู้อ่านได้ศึกษาประกอบในบทความนี้แล้ว อย่างไรก็ตาม ต้องขอเรียนแจ้งไว้ก่อนว่า คอนเทนต์นี้ไม่ได้มีเจตนาชี้ชวนให้ลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนทุก ๆ ท่านควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุนกันด้วยนะ แต่ละกองทุน เราจึงแนบรายละเอียดนโยบายกองทุนให้ผู้อ่านได้ศึกษาประกอบในบทความนี้แล้ว BCARE ▶︎ ผลตอบแทนย้อนหลังสะสม 10 ปี: +323.16% ▶︎ ผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปี (เฉลี่ยต่อปี): +15.40% ผลตอบแทนย้อนหลังสะสม 10 ปี: +323.16% ผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปี (เฉลี่ยต่อปี): +15.40% ลงทุนกองทุน BCARE 10,000 บาท เมื่อ 10 ปีที่แล้ว วันนี้จะมีเงิน: 10,000 (เงินต้น) + 32,316 (กำไร) = 42,316 บาท – ข้อมูล ณ วันที่ 20/10/2021 ลงทุนกองทุน BCARE 10,000 บาท เมื่อ 10 ปีที่แล้ว วันนี้จะมีเงิน: 10,000 (เงินต้น) + 32,316 (กำไร) = 42,316 บาท – ข้อมูล ณ วันที่ 20/10/2021 นโยบายกองทุน: ลงทุนในกองทุน Wellington Global Health Care Equity Fund เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ โดยกองทุน BCARE จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 7 ลงทุนในกองทุน Wellington Global Health Care Equity Fund Wellington Global Health Care Equity Fund เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ โดยกองทุน BCARE จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 7 กองทุนหลักมีนโยบายการลงทุนในหุ้นของบริษัทในอุตสาหกรรม Health Care ทั่วโลก กองทุนหลักมีนโยบายการลงทุนในหุ้นของบริษัทในอุตสาหกรรม Health Care ทั่วโลก กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management) มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management) Top 10 Holdings ของ Wellington Global Health Care Equity Fund (ข้อมูล ณ 30 ก.ย. 2564) ที่มา: w.wellingtonfunds.com/en-gb/institutional/funds/global-health-care-equity-fund/ Top 10 Holdings ของ Wellington Global Health Care Equity Fund (ข้อมูล ณ 30 ก.ย. 2564) ที่มา: w.wellingtonfunds.com/en-gb/institutional/funds/global-health-care-equity-fund/ ** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ** ** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ** ** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ** ผลการดำเนินงานย้อนหลังของกองทุน BCARE (ข้อมูล ณ วันที่ 20 ต.ค. 2564) ที่มา: ผลการดำเนินงานย้อนหลังของกองทุน BCARE (ข้อมูล ณ วันที่ 20 ต.ค. 2564) ที่มา: ปัจจัยความเสี่ยงที่ควรทราบ: ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในประเทศสหรัฐฯ และหมวดอุตสาหกรรม Healthcare, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน) ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในประเทศสหรัฐฯ และหมวดอุตสาหกรรม Healthcare, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน) ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ของกองทุน BCARE: ค่าธรรมเนียมการจัดการ: 1.0700% ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee) และ Switching-in: ไม่เรียกเก็บ ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายรวม: 1.2511% ค่าธรรมเนียมการจัดการ: 1.0700% ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee) และ Switching-in: ไม่เรียกเก็บ ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายรวม: 1.2511% ข้อมูลจาก BCARE Fund Factsheet ณ วันที่ 13 ส.ค. 2564 ข้อมูลจาก BCARE Fund Factsheet ณ วันที่ 13 ส.ค. 2564 ซื้อกองทุน BCARE คลิก ซื้อกองทุน BCARE คลิก TSF-A ▶︎ ผลตอบแทนย้อนหลังสะสม 10 ปี: +288.18% ▶︎ ผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปี (เฉลี่ยต่อปี): +14.63% ผลตอบแทนย้อนหลังสะสม 10 ปี: +288.18% ผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปี (เฉลี่ยต่อปี): +14.63% ลงทุนกองทุน TSF-A 10,000 บาท เมื่อ 10 ปีที่แล้ว วันนี้จะมีเงิน: 10,000 (เงินต้น) + 28,818 (กำไร) = 38,818 บาท – ข้อมูล ณ วันที่ 25/10/2021 ลงทุนกองทุน TSF-A 10,000 บาท เมื่อ 10 ปีที่แล้ว วันนี้จะมีเงิน: 10,000 (เงินต้น) + 28,818 (กำไร) = 38,818 บาท – ข้อมูล ณ วันที่ 25/10/2021 นโยบายกองทุน: ลงทุนในหุ้นโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ และลงทุนในพันธบัตร ตั๋วเงินคลัง บัตรเงินฝาก ตั๋วสัญญาใช้เงิน ตั๋วแลกเงิน ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน หลักทรัพย์หรือตราสารที่เสนอขายในต่างประเทศ ตราสารหนี้อื่น ๆ และ/หรือ เงินฝาก ตลอดจนหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่นหรือการหาดอกผลโดยวิธีอื่นอย่างใดอย่างหนึ่งหรือ หลายอย่าง โดยกองทุน TSF-A จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6 ลงทุนในหุ้นโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ และลงทุนในพันธบัตร ตั๋วเงินคลัง บัตรเงินฝาก ตั๋วสัญญาใช้เงิน ตั๋วแลกเงิน ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน หลักทรัพย์หรือตราสารที่เสนอขายในต่างประเทศ ตราสารหนี้อื่น ๆ และ/หรือ เงินฝาก ตลอดจนหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่นหรือการหาดอกผลโดยวิธีอื่นอย่างใดอย่างหนึ่งหรือ หลายอย่าง โดยกองทุน TSF-A จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6 กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management) มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management) Top 5 Holdings ของ TSF-A (ข้อมูล ณ วันที่ 1 ก.ย. 2564) ที่มา: Top 5 Holdings ของ TSF-A (ข้อมูล ณ วันที่ 1 ก.ย. 2564) ที่มา: ** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ** ** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ** ** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ** ผลการดำเนินงานย้อนหลังของกองทุน TSF-A (ข้อมูล ณ วันที่ 25 ต.ค. 2564) ที่มา: ผลการดำเนินงานย้อนหลังของกองทุน TSF-A (ข้อมูล ณ วันที่ 25 ต.ค. 2564) ที่มา: ปัจจัยความเสี่ยงที่ควรทราบ: ความเสี่ยงจากความผันผวนของผลการดำเนินงาน (SD) 15-25% ต่อปี ความเสี่ยงจากความผันผวนของผลการดำเนินงาน (SD) 15-25% ต่อปี ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ของกองทุน TSF-A: ค่าธรรมเนียมการจัดการ: 1.769459% ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee): 1.05% ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายรวม: 1.9080% ค่าธรรมเนียมการจัดการ: 1.769459% ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee): 1.05% ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายรวม: 1.9080% ข้อมูลจาก TSF-A Fund Factsheet ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2564 ข้อมูลจาก TSF-A Fund Factsheet ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2564 ซื้อกองทุน TSF-A คลิก ซื้อกองทุน TSF-A คลิก ASP-S&P500 ▶︎ ผลตอบแทนย้อนหลังสะสม 10 ปี: +281.62% ▶︎ ผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปี (เฉลี่ยต่อปี): +14.28% ผลตอบแทนย้อนหลังสะสม 10 ปี: +281.62% ผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปี (เฉลี่ยต่อปี): +14.28% ลงทุนกองทุน ASP-S&P500 10,000 บาท เมื่อ 10 ปีที่แล้ว วันนี้จะมีเงิน: 10,000 (เงินต้น) + 28,162 (กำไร) = 38,162 บาท – ข้อมูล ณ วันที่ 21/10/2021 ลงทุนกองทุน ASP-S&P500 10,000 บาท เมื่อ 10 ปีที่แล้ว วันนี้จะมีเงิน: 10,000 (เงินต้น) + 28,162 (กำไร) = 38,162 บาท – ข้อมูล ณ วันที่ 21/10/2021 นโยบายกองทุน: ลงทุนในกองทุน SPDR S&P500 ETF เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ โดยกองทุน ASP-S&P500 จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6 ลงทุนในกองทุน SPDR S&P500 ETF SPDR S&P500 ETF เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ โดยกองทุน ASP-S&P500 จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6 กองทุนหลักมีนโยบายการลงทุนในหุ้นที่เป็นส่วนประกอบของ S&P500 Index เพื่อมุ่งหวังผลตอบแทนของกองทุนก่อนหักค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายที่ ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี S&P500 Index กองทุนหลักมีนโยบายการลงทุนในหุ้นที่เป็นส่วนประกอบของ S&P500 Index เพื่อมุ่งหวังผลตอบแทนของกองทุนก่อนหักค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายที่ ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี S&P500 Index กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: มุ่งหวังให้ผลประกอบการเคลื่อนไหวตามดัชนีชี้วัด (Index Tracking) มุ่งหวังให้ผลประกอบการเคลื่อนไหวตามดัชนีชี้วัด (Index Tracking) Top 10 Holdings ของ ASP-S&P500 (ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2564) ที่มา: Top 10 Holdings ของ ASP-S&P500 (ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2564) ที่มา: ** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ** ** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ** ** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ** ผลการดำเนินงานย้อนหลังของกองทุน ASP-S&P500 (ข้อมูล ณ วันที่ 21 ต.ค. 2564) ที่มา: ผลการดำเนินงานย้อนหลังของกองทุน ASP-S&P500 (ข้อมูล ณ วันที่ 21 ต.ค. 2564) ที่มา: ปัจจัยความเสี่ยงที่ควรทราบ: ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในประเทศสหรัฐฯ และหมวดอุตสาหกรรม Information Technology, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน) ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในประเทศสหรัฐฯ และหมวดอุตสาหกรรม Information Technology, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน) ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ของกองทุน ASP-S&P500: ค่าธรรมเนียมการจัดการ: 1.0700% ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee) และ Switching-in: 0.25% ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายรวม: 1.47565% ค่าธรรมเนียมการจัดการ: 1.0700% ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee) และ Switching-in: 0.25% ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายรวม: 1.47565% ข้อมูลจาก ASP-S&P500 Fund Factsheet ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2564 ข้อมูลจาก ASP-S&P500 Fund Factsheet ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2564 ซื้อกองทุน ASP-S&P500 คลิก ซื้อกองทุน ASP-S&P500 คลิก KT-FINANCE ▶︎ ผลตอบแทนย้อนหลังสะสม 10 ปี: +221.17% ▶︎ ผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปี (เฉลี่ยต่อปี): +12.08% ผลตอบแทนย้อนหลังสะสม 10 ปี: +221.17% ผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปี (เฉลี่ยต่อปี): +12.08% ลงทุนกองทุน KT-FINANCE 10,000 บาท เมื่อ 10 ปีที่แล้ว วันนี้จะมีเงิน: 10,000 (เงินต้น) + 22,117 (กำไร) = 32,117 บาท – ข้อมูล ณ วันที่ 21/10/2021 ลงทุนกองทุน KT-FINANCE 10,000 บาท เมื่อ 10 ปีที่แล้ว วันนี้จะมีเงิน: 10,000 (เงินต้น) + 22,117 (กำไร) = 32,117 บาท – ข้อมูล ณ วันที่ 21/10/2021 นโยบายกองทุน: ลงทุนในกองทุน Fidelity Funds – Global Financial Services Fund (Class A) เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุน KT-FINANCE จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 7 ลงทุนในกองทุน Fidelity Funds – Global Financial Services Fund (Class A) Fidelity Funds – Global Financial Services Fund (Class A) เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุน KT-FINANCE จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 7 กองทุนหลักมีนโยบายลงทุนในหุ้นทุนทั่วโลกของบริษัทที่เกี่ยวของกับการให้บริการด้านการเงินแก่ผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมเป็นหลัก กองทุนหลักมีนโยบายลงทุนในหุ้นทุนทั่วโลกของบริษัทที่เกี่ยวของกับการให้บริการด้านการเงินแก่ผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมเป็นหลัก กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management) มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management) Top 10 Holdings ของ Fidelity Funds – Global Financial Services Fund (Class A) (ข้อมูล ณ วันที่ 30 ก.ย. 2564) ที่มา: Top 10 Holdings ของ Fidelity Funds – Global Financial Services Fund (Class A) (ข้อมูล ณ วันที่ 30 ก.ย. 2564) ที่มา: ** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ** ** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ** ** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ** ผลการดำเนินงานย้อนหลังของกองทุน KT-FINANCE (ข้อมูล ณ วันที่ 21 ต.ค. 2564) ที่มา: ผลการดำเนินงานย้อนหลังของกองทุน KT-FINANCE (ข้อมูล ณ วันที่ 21 ต.ค. 2564) ที่มา: ปัจจัยความเสี่ยงที่ควรทราบ: ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในประเทศสหรัฐฯ และหมวดอุตสาหกรรม Financials, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ประมาณ 80-100% ของเงินลงทุนต่างประเทศ) ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในประเทศสหรัฐฯ และหมวดอุตสาหกรรม Financials, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ประมาณ 80-100% ของเงินลงทุนต่างประเทศ) ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ของกองทุน KT-FINANCE: ค่าธรรมเนียมการจัดการ: 0.8025% ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee) และ Switching-in: 1.50% ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายรวม: 1.0865% ค่าธรรมเนียมการจัดการ: 0.8025% ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee) และ Switching-in: 1.50% ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายรวม: 1.0865% ข้อมูลจาก KT-FINANCE Fund Factsheet ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2564 ข้อมูลจาก KT-FINANCE Fund Factsheet ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2564 ซื้อกองทุน KT-FINANCE คลิก ซื้อกองทุน KT-FINANCE คลิก UOBSCI-N ▶︎ ผลตอบแทนย้อนหลังสะสม 10 ปี: +207.19% ▶︎ ผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปี (เฉลี่ยต่อปี): +11.98% ผลตอบแทนย้อนหลังสะสม 10 ปี: +207.19% ผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปี (เฉลี่ยต่อปี): +11.98% ลงทุนกองทุน UOBSCI-N 10,000 บาท เมื่อ 10 ปีที่แล้ว วันนี้จะมีเงิน: 10,000 (เงินต้น) + 20,719 (กำไร) = 30,719 บาท – ข้อมูล ณ วันที่ 21/10/2021 ลงทุนกองทุน UOBSCI-N 10,000 บาท เมื่อ 10 ปีที่แล้ว วันนี้จะมีเงิน: 10,000 (เงินต้น) + 20,719 (กำไร) = 30,719 บาท – ข้อมูล ณ วันที่ 21/10/2021 นโยบายกองทุน: ลงทุนในกองทุน United China-India Dynamic Growth เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ โดยกองทุน UOBSCI-N จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6 ลงทุนในกองทุน United China-India Dynamic Growth United China-India Dynamic Growth เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ โดยกองทุน UOBSCI-N จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6 กองทุนหลักมีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศจีน และประเทศอินเดีย หรือบริษัทเอกชนที่มีที่มาของรายได้หรือกำไร หรือมีผลประโยชน์ทางธุรกิจในประเทศจีน และประเทศอินเดีย กองทุนหลักมีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศจีน และประเทศอินเดีย หรือบริษัทเอกชนที่มีที่มาของรายได้หรือกำไร หรือมีผลประโยชน์ทางธุรกิจในประเทศจีน และประเทศอินเดีย กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management) มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management) Top 10 Holdings ของ United China-India Dynamic Growth Fund (ข้อมูล ณ วันที่ 30 ก.ย. 2564) ที่มา: Top 10 Holdings ของ United China-India Dynamic Growth Fund (ข้อมูล ณ วันที่ 30 ก.ย. 2564) ที่มา: ** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ** ** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ** ** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ** ผลการดำเนินงานย้อนหลังของกองทุน UOBSCI-N (ข้อมูล ณ วันที่ 21 ต.ค. 2564) ที่มา: ผลการดำเนินงานย้อนหลังของกองทุน UOBSCI-N (ข้อมูล ณ วันที่ 21 ต.ค. 2564) ที่มา: ปัจจัยความเสี่ยงที่ควรทราบ: ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในสาธารณรัฐประชาชนจีน และประเทศอินเดีย และหมวดอุตสาหกรรม Financials, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน) ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในสาธารณรัฐประชาชนจีน และประเทศอินเดีย และหมวดอุตสาหกรรม Financials, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน) ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ของกองทุน UOBSCI-N: ค่าธรรมเนียมการจัดการ: 1.6050% ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee) และ Switching-in: 1.50% ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายรวม: 1.7986% ค่าธรรมเนียมการจัดการ: 1.6050% ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee) และ Switching-in: 1.50% ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายรวม: 1.7986% ข้อมูลจาก UOBSCI-N Fund Factsheet ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2564 ข้อมูลจาก UOBSCI-N Fund Factsheet ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2564 ซื้อกองทุน UOBSCI-N คลิก ซื้อกองทุน UOBSCI-N คลิก GC ▶︎ ผลตอบแทนย้อนหลังสะสม 10 ปี: +158.47% ▶︎ ผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปี (เฉลี่ยต่อปี): +9.80% ผลตอบแทนย้อนหลังสะสม 10 ปี: +158.47% ผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปี (เฉลี่ยต่อปี): +9.80% ลงทุนกองทุน GC 10,000 บาท เมื่อ 10 ปีที่แล้ว วันนี้จะมีเงิน: 10,000 (เงินต้น) + 15,847 (กำไร) = 25,847 บาท – ข้อมูล ณ วันที่ 21/10/2021 ลงทุนกองทุน GC 10,000 บาท เมื่อ 10 ปีที่แล้ว วันนี้จะมีเงิน: 10,000 (เงินต้น) + 15,847 (กำไร) = 25,847 บาท – ข้อมูล ณ วันที่ 21/10/2021 นโยบายกองทุน: ลงทุนในกองทุน NN (L) Greater China Equity เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ โดยกองทุน GC จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6 ลงทุนในกองทุน NN (L) Greater China Equity NN (L) Greater China Equity เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ โดยกองทุน GC จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6 กองทุนหลักมีนโยบายเน้นลงทุนอย่างน้อย 2 ใน 3 ในหุ้น และ/หรือ หลักทรัพย์ที่โอนสิทธิได้ (Transferable securities) ซึ่งจดทะเบียนหรือทำการซื้อขายในประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Countries) ซึ่งได้แก่ สาธารณรัฐประชาชนจีน ฮ่องกง และไต้หวัน กองทุนหลักมีนโยบายเน้นลงทุนอย่างน้อย 2 ใน 3 ในหุ้น และ/หรือ หลักทรัพย์ที่โอนสิทธิได้ (Transferable securities) ซึ่งจดทะเบียนหรือทำการซื้อขายในประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Countries) ซึ่งได้แก่ สาธารณรัฐประชาชนจีน ฮ่องกง และไต้หวัน กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management) มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management) Top 10 Holdings ของ NN (L) Greater China Equity (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ส.ค. 2564) ที่มา: NN (L) Greater China Equity Fund Factsheet Top 10 Holdings ของ NN (L) Greater China Equity (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ส.ค. 2564) ที่มา: NN (L) Greater China Equity Fund Factsheet ** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ** ** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ** ** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ** ผลการดำเนินงานย้อนหลังของกองทุน GC (ข้อมูล ณ วันที่ 21 ต.ค. 2564) ที่มา: ผลการดำเนินงานย้อนหลังของกองทุน GC (ข้อมูล ณ วันที่ 21 ต.ค. 2564) ที่มา: ปัจจัยความเสี่ยงที่ควรทราบ: ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในสาธารณรัฐประชาชนจีน และหมวดอุตสาหกรรม Information Technology และ Consumer Discretionary, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน) ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในสาธารณรัฐประชาชนจีน และหมวดอุตสาหกรรม Information Technology และ Consumer Discretionary, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน) ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ของกองทุน GC: ค่าธรรมเนียมการจัดการ: 2.1400% ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee) และ Switching-in: 1.50% ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายรวม: 2.4063% ค่าธรรมเนียมการจัดการ: 2.1400% ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee) และ Switching-in: 1.50% ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายรวม: 2.4063% ข้อมูลจาก GC Fund Factsheet ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2564 ข้อมูลจาก GC Fund Factsheet ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2564 ซื้อกองทุน GC คลิก ซื้อกองทุน GC คลิก — planet 46. — planet 46. — planet 46. อ้างอิง อ้างอิง คำเตือน คำเตือน ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในประเทศที่ลงทุน ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในประเทศที่ลงทุน ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
กองทุน TSF-A มีนโยบายกองทุน คือ ลงทุนในหุ้นโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ และลงทุนในพันธบัตร ตั๋วเงินคลัง บัตรเงินฝาก ตั๋วสัญญาใช้เงิน ตั๋วแลกเงิน ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน หลักทรัพย์หรือตราสารที่เสนอขายในต่างประเทศ ตราสารหนี้อื่น ๆ และ/หรือ เงินฝาก ตลอดจนหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่นหรือการหาดอกผลโดยวิธีอื่นอย่างใดอย่างหนึ่งหรือ หลายอย่าง โดยกองทุน TSF-A จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6 กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management) ปัจจัยความเสี่ยงที่ควรทราบ: ความเสี่ยงจากความผันผวนของผลการดำเนินงาน (SD) 15-25% ต่อปี ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ของกองทุน TSF-A: - ค่าธรรมเนียมการจัดการ: 1.769459% - ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee): 1.05% - ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายรวม: 1.9080% ผลตอบแทน - ผลตอบแทนย้อนหลังสะสม 10 ปี: +288.18% - ผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปี (เฉลี่ยต่อปี): +14.63% ข้อมูลจาก TSF-A Fund Factsheet ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2564
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_136
Finance
ตัวช่วยลดหย่อนภาษีที่เป็นทางเลือกยอดนิยม มีอะไรบ้าง
null
ตัวช่วยลดหย่อนภาษีที่เป็นทางเลือกยอดนิยมคงหนีไม่พ้นกองทุน SSF กองทุน RMF และประกันชีวิต ซึ่งเงินที่ใช้เป็นค่าลดหย่อนสำหรับทางเลือกเหล่านี้นอกจากช่วยให้ได้เงินคืนภาษีเพิ่มขึ้นแล้ว ยังกลายเป็นเงินเก็บต่อยอดให้งอกเงยได้อีกด้วย ตัวอย่างเช่น ● กองทุน SSF ที่ต้องถือหน่วยลงทุนอย่างน้อย 10 ปีเต็ม เช่น กองทุน K-GINCOME-SSF ซึ่งเป็นกองทุนรวมผสม กระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายทั่วโลก ระหว่างถือหน่วยลงทุน อาจได้รับเงินปันผลไม่เกินปีละ 4 ครั้ง ขึ้นกับผลการดำเนินงานในแต่ละรอบบัญชี ● กองทุน RMF ที่ต้องลงทุนต่อเนื่องทุกปี อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ไปจนถึงอายุ 55 ปีบริบูรณ์และไม่น้อยกว่า 5 ปีเต็ม เช่น กองทุน KVIETNAMRMF ที่เน้นลงทุนหุ้นเวียดนาม ซึ่งเป็นหุ้นของประเทศที่หลายคนกำลังให้ความสนใจและพูดถึง ● ประกันชีวิต OnePlus 10/1 (Y22) ที่เก็บเงินด้วยการจ่ายเบี้ยประกันปีแรกเพียงปีเดียว มีเงินคืนปีเว้นปีในจำนวนที่แน่นอน ตั้งแต่สิ้นปีกรมธรรม์ที่ 2 และได้รับเงินก้อนครบสัญญาตอนสิ้นปีที่ 10 ปี หากต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีปี 65 เพื่อขอคืนภาษีช่วง ม.ค.-มี.ค. 66 ต้องมีการลงทุนกองทุน SSF/RMF หรือจ่ายเบี้ยประกันชีวิตภายในสิ้นปี 2565 โดยทางเลือกทั้ง 3 หากใครมี Mobile Banking ก็สามารถใช้สิทธิได้ทันทีผ่านมือถือ เช่น ใครที่มี K PLUS ของธนาคารกสิกรไทย อยู่ในมือถือ ก็สามารถ ● ลงทุนกองทุน SSF/RMF ได้ o ที่เมนู “ลงทุน” บน K PLUS เพื่อลงทุนได้ทันที โดยหักเงินจากบัญชีเงินฝากที่มีอยู่ o กรณียังไม่มีบัญชีกองทุน หลังจากที่เลือกกองทุนที่ต้องการซื้อบน K PLUS แล้ว ก็สามารถดำเนินการเปิดบัญชีกองทุนและลงทุนได้ทันทีบนมือถือเช่นกัน o ส่วนคนที่ต้องการลงทุนกองทุน SSF/RMF ด้วยบัตรเครดิต ก็สามารถทำได้บน K PLUS เพียงเลือกหักเงินจากบัตรเครดิตที่ผูกกับ K PLUS อยู่ ● ซื้อประกันชีวิต OnePlus 10/1 (Y22) ที่เมนู “ประกัน” โดยเลือกชำระค่าเบี้ยประกันด้วยการหักเงินจากบัญชีเงินฝากเท่านั้น ยังไม่สามารถเลือกตัดบัตรเครดิตได้ แต่หากเป็นประกันชีวิตแบบอื่นสามารถซื้อได้ด้วยบัตรเครดิตที่ธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1360
Finance
จงสรุปบทความ รวมกองทุน RMF 4-5 ดาวจาก Morningstar
กองทุน 4-5 ดาว จะพอบอกได้ว่าในอดีตกองทุนนั้นมีผลการดำเนินงานที่ปรับด้วยความเสี่ยงแล้วดีกว่ากองที่ได้ดาวน้อยกว่า พูดง่าย ๆ คือ นอกจากกองทุนจะทำผลตอบแทนได้ดีแล้ว ก็ควรจัดการกับความเสี่ยงหรือความผันผวนได้ดีด้วยเช่นกัน กองทุน 4-5 ดาว จะพอบอกได้ว่าในอดีตกองทุนนั้นมีผลการดำเนินงานที่ปรับด้วยความเสี่ยงแล้วดีกว่ากองที่ได้ดาวน้อยกว่า พูดง่าย ๆ คือ นอกจากกองทุนจะทำผลตอบแทนได้ดีแล้ว ก็ควรจัดการกับความเสี่ยงหรือความผันผวนได้ดีด้วยเช่นกัน ทั้งนี้กองทุน 4-5 ดาวเป็นเพียงแค่หนึ่งตัวช่วยในการเลือกกองทุนของนักลงทุนเท่านั้น เพราะผลตอบแทนในอดีตไม่ได้การันตีอนาคต
กองทุน 4-5 ดาว บอกว่าในอดีตกองทุนนั้นมีผลการดำนินงานเป็นอย่างไร พูดง่ายๆคือ นอกจากกองทุนจะทำผลตอบแทนได้ดีแล้ว ก็ควรจัดการกับความเสี่ยงหรือความผันผวนได้ดีด้วยเช่นกัน กองทุน 4-5 ดาวตัวช่วยในการเลือกกองทุนของนักลงทุนเท่านั้น เพราะผลตอบแทนในอดีตไม่ได้การันตีอนาคต
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1361
Finance
ช่วยสรุปบทความ กองทุน Super (Hi-Tech) Stock โดย Baillie Gifford
อีกกองทุนหนึ่งที่เน้นในหุ้นไฮเท็คหรือ “หุ้นแห่งอนาคต” คล้ายกับกองทุน ARK และก็มีผลงานยอดเยี่ยมเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2020 ในระดับ 100% เหมือนกันก็คือกองทุนของ Baillie Gifford แต่สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ ในปีนี้กองทุน Scottish Mortgage Investment Trust ที่เป็นกองทุนหลักของ Baillie Gifford ยังทำผลงานได้ดีเยี่ยมให้ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีถึงวันนี้ประมาณเกือบ 20% แต่นี่ก็ยังไม่น่าจะเรียกว่าการบริหารกองทุนทั้งสองแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ว่าที่จริง หลายคนอาจจะคิดว่าสองกองทุนนี้มีความคล้ายคลึงกันมากเพราะแม้แต่ตัวหุ้นที่ถือก็แทบจะซ้ำกันอย่างมีนัยสำคัญ ตัวอย่างเช่น การถือหุ้นเทสลาจำนวนมากก่อนที่ราคาหุ้นเทสลาจะขึ้นระเบิดเป็น 10 เท่าในปีเดียว เป็นต้น ซึ่งก็คงมีส่วนสำคัญไม่น้อยที่ทำให้ผลงานทั้งสองกองทุนดีอย่างมหัศจรรย์ในปี 2020 และนักลงทุนทั่วโลกต่างก็ยกให้เป็นผู้บริหารกองทุนยอดเยี่ยมสุดยอดและเงินลงทุนก็พุ่งเข้ามาจนกองทุนใหญ่โตขึ้นสู่ระดับโลกในเวลาอันสั้น
กองทุน Scottish Mortgage Investment Trust ของ Baillie Gifford มีลักษณะคล้ายกับ ARK funds และทำผลงานโดดเด่นในปี 2020 ด้วยผลตอบแทนที่น่าทึ่งถึง 100% โดยที่แต่ละกองทุนมีหุ้นร่วมกัน แต่ความแตกต่างสำคัญคือ Scottish Mortgage Investment Trust ของ Baillie Gifford มีผลงานที่โดดเด่นในปี 2021 ด้วยผลตอบแทนเกือบ 20% แม้จะมีคนที่คิดว่าวิธีบริหารกองทุนของทั้งสองไม่ต่างกันมากนัก เนื่องจากมีหุ้นที่คล้ายกัน ตัวอย่างเช่นการลงทุนในหุ้น Tesla ที่มีบทบาทสำคัญในผลงานที่โดดเด่นในปี 2020 นี้ เหมือนกัน นักลงทุนทั่วโลกรู้จักกันดีว่าทั้งสองกองทุนนี้มีผู้บริหารที่ยอดเยี่ยม ทำให้กองทุนเติบโตขึ้นเป็นที่รู้จักในเวลาอันสั้น
2.ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,6.การบริหารสินทรัพย์
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1362
Finance
จงเสนอไอเดีย 4 เหตุผล ทำไมอินเดียถึงน่าลงทุน
null
1. หนึ่งในประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจเร็วที่สุดในโลก IMF คาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจอินเดียในปี 2021 อยู่ที่ 8.5% และปี 2022 ที่ 9.5% ซึ่งถือเป็นประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่รวดเร็วที่สุดในโลก โดยคาดว่าในปี 2024 อินเดียจะกลายเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก (รองจากสหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น และเยอรมัน) ด้วยมูลค่า GDP กว่า 4.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี Shri Narendra Modi ยังได้ประกาศแผนเศรษฐกิจพิเศษ โดยครอบคลุมมูลค่ากว่า 270 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็น 10% ของ GDP อินเดีย ภายใต้นโยบาย Atmanirbhar Bharat ซึ่งหมายถึง ‘อินเดียที่พึ่งพาตนเอง’ 2. ฐานการผลิต และโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง อินเดียจัดตั้งฐานการผลิตที่แข็งแกร่งสำหรับการผลิตผลิตภัณฑ์พื้นฐานและสินค้าทุนที่หลากหลาย เพื่อตอบสนองความต้องการของภาคส่วนต่าง ๆ ด้านโครงสร้างพื้นฐานได้กลายเป็นภาคส่วนที่รัฐบาลอินเดียให้ความสำคัญมากที่สุด เนื่องจากเป็นภาคส่วนที่ขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศโดยรวมของอินเดีย โดยอินเดียวางแผนที่จะอัดฉีดเงินจำนวน 1.4 ล้านล้านดอลลาร์สำหรับโครงสร้างพื้นฐานในช่วงปี 2019-2023 เพื่อให้มีการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน รัฐบาลได้เสนอการลงทุน 50 ล้านล้านรูปี (750 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) สำหรับโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟระหว่างปี 2018-2030 3. ขีดความสามารถในการแข่งขันระดับโลก ศูนย์กลางการค้าทางทะเลจะย้ายจากมหาสมุทรแปซิฟิกไปยังภูมิภาคมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งส่งผลให้อินเดียและจีนจะเป็นศูนย์กลางการผลิตที่ใหญ่ที่สุดในโลกภายในปี 2030 นอกจากนี้ อินเดียยังถูกจัดอันดับเป็นประเทศที่ 46 ของดัชนีนวัตกรรมโลก (Global Innovation Index: GII) ซึ่งจัดอันดับโดยองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO) เพิ่มขึ้นมาถึง 35 อันดับจากปี 2015 และยังเป็นอันดับที่ 48 ของประเทศที่มีความสามารถในการแข่งขันทั่วโลกในปี 2021 4. มีประชากรอายุน้อยจำนวนมาก อินเดียเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับสองของโลกรองจากประเทศจีน ด้วยจำนวนประชากรกว่า 1.4 พันล้านคน และด้วยอายุเฉลี่ยของประชากรที่ 28.4 ปี ทำให้อินเดียกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่มีประชากรอายุน้อยที่สุดในโลก ประชากรในช่วงวัยรุ่นของอินเดียคิดเป็น 1 ใน 5 ของโลก ประชากรวัยหนุ่มสาวเหล่านี้จะเป็นผู้เปลี่ยนแปลงพลวัตทางสังคมและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี รวมถึงเป็นกลุ่มผู้บริโภคขนาดใหญ่ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอินเดีย โดยอินเดียจะมีประชากรวัยทำงานมากที่สุดในโลกที่ 578 ล้านคน ภายในปี 2100
5.ความรู้ทางการเงิน,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1363
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ 3 อันดับ กองทุนผลตอบแทนโดดเด่นประจำวันที่ 23 – 29 ต.ค. 2564
null
สำหรับ 3 อันดับ กองทุนผลตอบแทนโดดเด่นประจำวันที่ 23 – 29 ต.ค. 2564 ขอเริ่มกันที่กองทุนแรกคือ K-GPE19A-UI หรือ กองทุนเปิด เค โกลบอลไพรเวทอิควิตี้ 19A ที่ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย ได้ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์ เพิ่มขึ้นเป็น 11.03% ต่อมาเป็นกองทุน ASP-CHINA หรือ กองทุนเปิดแอสเซทพลัสไชน่า ได้ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์ เพิ่มขึ้นเป็น 4.98 % และกองทุนสุดท้ายนั่นก็คือ กองทุน WE-TENERGY หรือ กองทุนเปิด วี นิว ทรานซิชั่น เอนเนอร์จี ได้ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์ เพิ่มขึ้นเป็น 4.69% บทเรียนจากย่อหน้านี้ กองทุนผลตอบแทนโดดเด่นประจำสัปดาห์ (23 – 29 ต.ค. 64) 1. K-GPE19A-UI – กองทุนเปิดเค โกลบอลไพรเวทอิควิตี้ 19A ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย - ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +11.03% - ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +49.30% 2. ASP-CHINA – กองทุนเปิดแอสเซทพลัสไชน่า - ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +4.98 % - ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): -9.18% 3. WE-TENERGY – กองทุนเปิด วี นิว ทรานซิชั่น เอนเนอร์จี - ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +4.69% - ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): -2.65% (เริ่มนับ NAV วันที่ 25/02/2021)
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1365
Finance
จงสรุปบทความ ทำไม NAV กองทุนรวมถึงอัปเดตช้า?
ใครเคยสงสัยกันบ้างว่า ทำไมเข้าไปดูราคา NAV ของกองทุนรวมแล้ว บางกองขึ้นว่าเป็นข้อมูลอัปเดตเมื่อวาน บางกองอัปเดตเมื่อ 2 วันก่อน บางกองอัปเดตช้าไป 5 วันเลยก็มี ทำไมการอัปเดตข้อมูลกองทุนถึงช้าและแต่ละกองก็อัปเดตไม่เท่ากันแบบนี้ แล้วถ้าเราซื้อกองทุนวันนี้ มันจะได้ราคา NAV ของวันไหนกันแน่ มาหาคำตอบกันได้ในคลิปนี้ ใครเคยสงสัยกันบ้างว่า ทำไมเข้าไปดูราคา NAV ของกองทุนรวมแล้ว บางกองขึ้นว่าเป็นข้อมูลอัปเดตเมื่อวาน บางกองอัปเดตเมื่อ 2 วันก่อน บางกองอัปเดตช้าไป 5 วันเลยก็มี ทำไมการอัปเดตข้อมูลกองทุนถึงช้าและแต่ละกองก็อัปเดตไม่เท่ากันแบบนี้ แล้วถ้าเราซื้อกองทุนวันนี้ มันจะได้ราคา NAV ของวันไหนกันแน่ มาหาคำตอบกันได้ในคลิปนี้ การทำงานของ NAV โดยทั่วไป ข้อมูลที่จะแสดงให้เห็นเป็นข้อมูลในอดีต เป็นเรื่องปกติของกองทุนรวม จะไม่เหมือนเวลาเราซื้อขายสินทรัพย์การลงทุนอื่น ๆ อย่าง หุ้น ที่จะแสดงราคาซื้อขายแบบ Real-time ได้เลย สำหรับกองทุนรวมนั้นจะเป็นไปในลักษณะทำรายการก่อน รู้ราคาทีหลัง เพราะรูปแบบการดำเนินงานของกองทุนจะต้องรอรวบรวมรายการธุรกรรมจากผู้ลงทุนทั้งหมด ณ สิ้นวันทำการก่อน แล้วจึงสรุปมูลค่าสินทรัพย์สุทธิและจำนวนหน่วยลงทุนของกองทุน เรียบร้อยแล้วถึงจะได้รู้ว่าราคา NAV ต่อหน่วยของวันที่ทำธุรกรรมไปนั้นเป็นเท่าไหร่ ทำให้ราคา NAV ของกองทุนที่เราเห็นขณะทำธุรกรรมจะเป็นข้อมูลในอดีตย้อนหลังไปอย่างน้อย 1 วันทำการเสมอ ข้อมูลที่จะแสดงให้เห็นเป็นข้อมูลในอดีต เป็นเรื่องปกติของกองทุนรวม จะไม่เหมือนเวลาเราซื้อขายสินทรัพย์การลงทุนอื่น ๆ อย่าง หุ้น ที่จะแสดงราคาซื้อขายแบบ Real-time ได้เลย สำหรับกองทุนรวมนั้นจะเป็นไปในลักษณะทำรายการก่อน รู้ราคาทีหลัง เพราะรูปแบบการดำเนินงานของกองทุนจะต้องรอรวบรวมรายการธุรกรรมจากผู้ลงทุนทั้งหมด ณ สิ้นวันทำการก่อน แล้วจึงสรุปมูลค่าสินทรัพย์สุทธิและจำนวนหน่วยลงทุนของกองทุน เรียบร้อยแล้วถึงจะได้รู้ว่าราคา NAV ต่อหน่วยของวันที่ทำธุรกรรมไปนั้นเป็นเท่าไหร่ NAV ของกองทุนที่เราเห็นขณะทำธุรกรรมจะเป็นข้อมูลในอดีตย้อนหลังไปอย่างน้อย 1 วันทำการเสมอ NAV กองทุนต่างประเทศ หากเป็นกองทุนต่างประเทศ ก็อาจแสดงข้อมูลที่อัปเดตได้ช้ากว่านั้น เพราะ Time Zone ที่แตกต่างกัน หากกองทุนต่างประเทศนั้นลงทุนในประเทศโซนยุโรปหรืออเมริกา กว่าจะรอตลาดบ้านเค้าเปิดและปิดเพื่อสรุปข้อมูลราคา NAV ก็อาจใช้เวลาข้ามวัน ข้อมูลกองทุนที่อัปเดตล่าสุดจึงอาจจะเป็นข้อมูลในอดีตย้อนไปประมาณ 3 วันทำการ นอกจากนี้ก็ต้องนึกถึงวันหยุดทำการของตลาดหลักทรัพย์แต่ละประเทศที่แตกต่างกันด้วย อย่างเช่น จะซื้อกองทุนจีนวันนี้ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ไทยเปิดให้ทำรายการได้ แต่วันเดียวกันนั้นดันตรงกับช่วงวันหยุดยาวของประเทศจีน กว่าจะรอตลาดจีนเปิดและปิดอีกทีเพื่อสรุปมูลค่า NAV ต่อหน่วยได้ ก็อาจต้องรอข้ามสัปดาห์เป็นเรื่องปกติเช่นกัน หากเป็นกองทุนต่างประเทศ ก็อาจแสดงข้อมูลที่อัปเดตได้ช้ากว่านั้น เพราะ Time Zone ที่แตกต่างกัน หากกองทุนต่างประเทศนั้นลงทุนในประเทศโซนยุโรปหรืออเมริกา กว่าจะรอตลาดบ้านเค้าเปิดและปิดเพื่อสรุปข้อมูลราคา NAV ก็อาจใช้เวลาข้ามวัน ข้อมูลกองทุนที่อัปเดตล่าสุดจึงอาจจะเป็นข้อมูลในอดีตย้อนไปประมาณ 3 วันทำการ นอกจากนี้ก็ต้องนึกถึงวันหยุดทำการของตลาดหลักทรัพย์แต่ละประเทศที่แตกต่างกันด้วย อย่างเช่น จะซื้อกองทุนจีนวันนี้ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ไทยเปิดให้ทำรายการได้ แต่วันเดียวกันนั้นดันตรงกับช่วงวันหยุดยาวของประเทศจีน กว่าจะรอตลาดจีนเปิดและปิดอีกทีเพื่อสรุปมูลค่า NAV ต่อหน่วยได้ ก็อาจต้องรอข้ามสัปดาห์เป็นเรื่องปกติเช่นกัน ระยะเวลาในการจ่ายเงินค่าขายคืนที่แตกต่างกันไปของแต่ละกองทุน กองทุนรวมตราสารหนี้ในประเทศจะกำหนดระยะเวลาเป็น 1 วันหลังทำรายการ หรือที่เรียกว่า T+1 กองทุนรวมหุ้นในประเทศจะเป็น T+2 ส่วนกองทุนรวมต่างประเทศก็อาจใช้เวลา T+3 จนถึง T+5 ขึ้นอยู่กับ Time Zone ของประเทศกองทุนปลายทาง เราสามารถเข้าไปดูระยะเวลารับเงินของแต่ละกองทุนได้จาก Fund fact sheet ของกองทุนรวมที่สนใจได้เลย กองทุนรวมตราสารหนี้ในประเทศจะกำหนดระยะเวลาเป็น 1 วันหลังทำรายการ หรือที่เรียกว่า T+1 กองทุนรวมหุ้นในประเทศจะเป็น T+2 ส่วนกองทุนรวมต่างประเทศก็อาจใช้เวลา T+3 จนถึง T+5 ขึ้นอยู่กับ Time Zone ของประเทศกองทุนปลายทาง เราสามารถเข้าไปดูระยะเวลารับเงินของแต่ละกองทุนได้จาก Fund fact sheet ของกองทุนรวมที่สนใจได้เลย การทำรายการซื้อหรือขาย (Cut-off time) ที่แตกต่างกันไปของแต่ละกองทุน ส่วนมากจะกำหนดไว้ว่าทำรายการได้ตั้งแต่ 8:30 – 15:30 ของแต่ละวันทำการ แปลว่าหากทำรายการเข้ามาตอน 16:00 ก็นับว่าทำรายการในวันนั้นไม่ทัน กลายเป็นการตั้ง Order รอทำรายการในวันทำการถัดไป หากเป็นการทำรายการซื้อขายผ่านโบรกเกอร์ หรือนายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ไม่ใช่การทำรายการผ่าน บลจ. ของกองทุนนั้น ๆ โดยตรง ก็ต้องเผื่อเวลามากขึ้นอีก อย่างเช่นการทำรายการซื้อขายกองทุนผ่าน FINNOMENA หากเป็นกองทุนที่จดทะเบียนในไทยก็แนะนำให้ทำรายการภายใน 14:00 ของวันทำการ หากเป็นกองต่างประเทศจะมีบางกองที่กำหนดให้ต้องทำรายการภายใน 11:00 แต่บางกองก็ขยายให้ถึง 14:00 เหมือนกัน ส่วนนี้หากกลัวว่าจะสับสนหรือจำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เพราะในแอปฯ ของ FINNOMENA จะแสดงรายละเอียดส่วนนี้เอาไว้ให้ด้วยว่ากองทุนที่สนใจนั้นกำหนด Cut-off time เป็นกี่โมง ส่วนมากจะกำหนดไว้ว่าทำรายการได้ตั้งแต่ 8:30 – 15:30 ของแต่ละวันทำการ แปลว่าหากทำรายการเข้ามาตอน 16:00 ก็นับว่าทำรายการในวันนั้นไม่ทัน กลายเป็นการตั้ง Order รอทำรายการในวันทำการถัดไป หากเป็นการทำรายการซื้อขายผ่านโบรกเกอร์ หรือนายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ไม่ใช่การทำรายการผ่าน บลจ. ของกองทุนนั้น ๆ โดยตรง ก็ต้องเผื่อเวลามากขึ้นอีก อย่างเช่นการทำรายการซื้อขายกองทุนผ่าน FINNOMENA หากเป็นกองทุนที่จดทะเบียนในไทยก็แนะนำให้ทำรายการภายใน 14:00 ของวันทำการ หากเป็นกองต่างประเทศจะมีบางกองที่กำหนดให้ต้องทำรายการภายใน 11:00 แต่บางกองก็ขยายให้ถึง 14:00 เหมือนกัน ส่วนนี้หากกลัวว่าจะสับสนหรือจำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เพราะในแอปฯ ของ FINNOMENA จะแสดงรายละเอียดส่วนนี้เอาไว้ให้ด้วยว่ากองทุนที่สนใจนั้นกำหนด Cut-off time เป็นกี่โมง
การทำงานของ NAV โดยทั่วไป - ข้อมูลที่จะแสดงให้เห็นเป็นข้อมูลในอดีต การลงทุนอื่น ๆ อย่าง หุ้น ที่จะแสดงราคาซื้อขายแบบ Real-time ได้เลย - สำหรับกองทุนรวมนั้นจะเป็นไปในลักษณะทำรายการก่อน รู้ราคาทีหลัง - การดำเนินงานของกองทุนจะต้องรอรวบรวมรายการธุรกรรมจากผู้ลงทุนทั้งหมด ณ สิ้นวันทำการก่อน แล้วจึงสรุปมูลค่า สินทรัพย์สุทธิและจำนวนหน่วยลงทุนของกองทุน - ทำให้ราคา NAV ของกองทุนที่เราเห็นขณะทำธุรกรรมจะเป็นข้อมูลในอดีตย้อนหลังไปอย่างน้อย 1 วันทำการเสมอ NAV กองทุนต่างประเทศ - หากเป็นกองทุนต่างประเทศ ก็อาจแสดงข้อมูลที่อัปเดตได้ช้ากว่านั้น เพราะ Time Zone ที่แตกต่างกัน - นอกจากนี้ก็ต้องนึกถึงวันหยุดทำการของตลาดหลักทรัพย์แต่ละประเทศที่แตกต่างกัน ระยะเวลาในการจ่ายเงินค่าขายคืนที่แตกต่างกันไปของแต่ละกองทุน - กองทุนรวมตราสารหนี้ในประเทศจะกำหนดระยะเวลาเป็น 1 วันหลังทำรายการ หรือที่เรียกว่า T+1 - กองทุนรวมหุ้นในประเทศจะเป็น T+2 - ส่วนกองทุนรวมต่างประเทศก็อาจใช้เวลา T+3 จนถึง T+5 ขึ้นอยู่กับ Time Zone ของประเทศกองทุนปลายทาง - เราสามารถเข้าไปดูระยะเวลารับเงินของแต่ละกองทุนได้จาก Fund fact sheet ของกองทุนรวมที่สนใจได้เลย การทำรายการซื้อหรือขาย (Cut-off time) ที่แตกต่างกันไปของแต่ละกองทุน - ส่วนมากจะกำหนดไว้ว่าทำรายการได้ตั้งแต่ 8:30 – 15:30 ของแต่ละวันทำการ - หากเป็นการทำรายการซื้อขายผ่านโบรกเกอร์ ก็ต้องเผื่อเวลามากขึ้นอีก
3.ตลาดการเงิน,5.กลยุทธ์การลงทุน,4.เครื่องมือทางการเงิน,9.เศรษฐศาสตร์การเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1366
Finance
หุ้นใดเป็นหุ้นที่ดูน่าสนใจในสหรัฐในปี 2022 ระหว่าง Qorvo หรือ Teleperformance
null
Qorvo เพราะ Qorvo เป็นหุ้นที่ดูน่าสนใจในสหรัฐในปี 2022 ที่เป็นผู้ป้อนส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์ไอโฟนของแอปเปิ้ล ส่วน Teleperformance เป็นหุ้นที่ดูน่าสนใจในยุโรปในปี 2022 ซึ่งทำธุรกิจคอลเซ็นเตอร์ทั่วโลกของฝรั่งเศส ผลการทำโพลจากผู้ที่ทำงานด้านการให้บริการด้านเงิน จากบริษัทดาวน์โจนส์ ที่เพิ่งทำการสำรวจไว้เมื่อต้นเดือน ต.ค. 2021 เกี่ยวกับภาพรวมของตลาดในอเมริกา พบว่า มุมมองต่อตลาดหุ้นอเมริกาก่อนสิ้นปี 2021 สดใสน้อยลง ครึ่งหนึ่งของผู้กรอกแบบฟอร์มจากผลสำรวจ พบว่า ผู้ที่มองว่าตลาดหุ้นจะเป็นขาขึ้น ลดลงจากการสำรวจเมื่อตอนกลางปี 2021 ซึ่งกว่าสองในสามมองแบบนั้น ในขณะที่ร้อยละ 38 มองตลาดแบบกลาง ๆ เพิ่มจากร้อยละ 26 เมื่อ 6 เดือนก่อน ส่วนผู้ที่มองว่าตลาดจะแย่ลงเพิ่มเป็นร้อยละ 12 จากร้อยละ 7 โดยส่วนใหญ่ประเมินปัจจัยอัตราเงินเฟ้อและความเสี่ยงการติดเชื้อโควิดเดลต้าเป็นปัจจัยลบ หุ้นที่ดูน่าสนใจในสหรัฐ ได้แก่ Skyworks Solutions และ Qorvo ที่เป็นผู้ป้อนส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์ไอโฟนของแอปเปิ้ล ส่วนหุ้นที่ดูน่าสนใจในยุโรป ได้แก่ หุ้น Legal & General Group ซึ่งเป็นบริษัทประกันของอังกฤษ และ หุ้น Teleperformance ซึ่งทำธุรกิจคอลเซ็นเตอร์ทั่วโลกของฝรั่งเศส นอกจากนี้ ยังมี ishares Semiconductor ETF (SOXX) ซึ่งถือครองหุ้น 30 บริษัทที่ทำธุรกิจด้านการผลิตชิพคอมพิวเตอร์ รวมถึงออกแบบและให้บริการเกี่ยวกับชิพคอมพิวเตอร์
5.ความรู้ทางการเงิน,6.ข้อมูลการเงินรายบริษัท
Classification
cc-by-nc-4.0
Finance_1368
Finance
กองทุน SSF & RMF เฉพาะที่เป็นการลงทุนในต่างประเทศ มีอะไรบ้าง
null
จักรวาลกองทุน SSF & RMF เฉพาะที่เป็นการลงทุนในต่างประเทศ สามารถเลือกชอปปิ้ง สำหรับคนที่ยังไม่ได้ตัดสินใจ ได้ทั้งสิทธิประโยชน์ทางภาษี และจัดพอร์ตลงทุนต่างประเทศให้เงินได้เติบโตงอกเงยกัน ไม่ต้องรอซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีปลายปี ศึกษาและเลือกให้ถูกใจ ซื้อเฉลี่ยต้นทุนสบาย ๆ จนจบปี ดังนี้ 1. Global Equity กลุ่มหุ้นโลก 2. Global Thematic กลุ่มธีมเมกะเทรนด์ จากหุ้นทั่วโลก 3. USA Equity หุ้นอเมริกา 4. Europe Equity หุ้นภูมิภาคยุโรป 5. Japan Equity หุ้นญี่ปุ่น 6. Emerging Market Equity หุ้นประเทศเกิดใหม่ 7. Asia Pacific Ex. Japan หุ้นภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค ยกเว้น ญี่ปุ่น 8. ASEAN Equity กลุ่มหุ้นในอาเซียน 9. China Equity หุ้นจีน มีตัวเลือกเยอะมากๆ 10. India Equity หุ้นอินเดีย 11. Vietnam Equity หุ้นเวียดนาม 12. REIT and Infrastructure กองทุนรีทและโครงสร้างพื้นฐาน 13. Healthcare กองทุนกลุ่มแพทย์และสุขภาพ 14. Technology + Disruptive Technology กองทุนรวม บ. เทคยักษ์ใหญ่ และเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงโลก คำเตือน ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนในกองทุนรวมก่อนตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1369
Finance
ส่วนต่างของพันธบัตรที่แคบเข้าหากันมากขึ้น เพราะเหตุใด
null
ส่วนต่างของพันธบัตรที่แคบเข้าหากันมากขึ้น เพราะสภาวะเงินเฟ้อมันไม่ได้เกิดขึ้นแค่เฉพาะที่สหรัฐ แต่มันลามเฟ้อไปกันทั้งโลก โดยเฉพาะฝั่งยุโรป เยอรมัน อังกฤษ ฝรั่งเศส สเปน และอิตาลี ล้วนกำลังเผชิญปัญหาเงินเฟ้อพุ่งขึ้นรุนแรงกันทั้งหมด เงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นย่อมตามมาด้วยการคาดการณ์การปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางต่าง ๆ ดั่งเช่น อัตราผลตอบแทนพันธบัตรของรัฐบาลอังกฤษ GB 10Y Bond Yield ขึ้นมาอยู่ที่ 1.15% เนื่องจากกระแสคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางอังกฤษ BoE จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมนโยบายการเงินทั้งในเดือน พ.ย. 2021 และ ธ.ค. 2021 รวมทั้งจะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นต่อไปในปี 2022 หลังจากที่ นายแอนดรูว์ เบลีย์ ให้สัมภาษณ์พร้อมสัญญาณบ่งชี้ว่า BoE มีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อรับมือกับเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้น ทั้งนี้ การซื้อขายสัญญาอัตราดอกเบี้ยในตลาดฟิวเจอร์บ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่า BoE จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.15% ในเดือนพ.ย. และ 0.25% ในเดือน ธ.ค. 2021 รวมทั้งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 3 ครั้งในปี 2022 ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของ BoE พุ่งแตะระดับ 1.25% เช่นเดียวกับ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเยอรมัน DE 10Y Bond Yield ล่าสุดขึ้นมาที่ -0.1205% ใกล้ระดับสูงที่สุดในรอบ 3 ปี และเป็นที่น่าสังเกตว่า อัตราผลตอบแทนระยะสั้นของรัฐบาลเยอรมัน อย่าง DE 2Y Bond Yield ซึ่งมักเป็นตัวสะท้อนถึงโอกาสการตัดสินใจเปลี่ยนแปลงดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางยุโรปนั้น มีการปรับเพิ่มมาอยู่ที่ระดับ -0.646% สูงที่สุดในรอบ 8 เดือน
5.ความรู้ทางการเงิน,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_137
Finance
จงเสนอไอเดีย การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ กระทบคนทั่วไปและกระทบกับธุรกิจอย่างไรบ้าง
null
การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำกระทบคนทั่วไป คือ 1. กระทบค่าแรงวุฒิการศึกษาอื่นๆ โดยเบื้องต้นการขึ้นค่าแรงครั้งนี้ยังไม่ใช่การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำแบบถ้วนหน้า แต่นักวิเคราะห์เริ่มประมาณการกันแล้วว่าภายในปีนี้น่ามีการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง การปรับฐานเงินเดือนของวุฒิการศึกษา เช่น ปวช. ปวส. ปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก ก็จำเป็นต้องมีการปรับฐานค่าแรงขึ้นด้วยเช่นกัน เพราะหากไม่ปรับขึ้นตามค่าแรงขั้นต่ำ จะเกิดความเหลื่อมล้ำของค่าแรงระหว่างวุฒิการศึกษาที่ใกล้เคียงกัน ดังนั้น ยิ่งปรับค่าแรงขั้นต่ำขึ้นมาก วุฒิการศึกษาอื่นๆ ก็มีโอกาสที่จะปรับขึ้นมากด้วยเช่นกัน 2. สินค้าราคาแพงขึ้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าเมื่อมีการปรับค่าแรงขั้นต่ำขึ้น ก็ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นตาม ผู้ประกอบการก็มักเลือกวิธีการผลักภาระต้นทุนค่าแรงบางส่วน หรือทั้งหมดให้กับผู้บริโภคผ่านการขึ้นราคาสินค้าบริการ สิ่งที่ตามมาคือค่าครองชีพก็สูงขึ้นไปอีกเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า สุดท้ายก็ต้องมาดูว่าค่าแรงที่ขึ้นนั้น เพียงพอกับค่าสินค้าและบริการที่แพงขึ้นมาหรือเปล่า 3. เสี่ยงตกงาน ปฏิเสธไม่ได้ว่าหากมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอย่างเร่งรีบ ตัวเลขค่าจ้างก้าวกระโดดเกินไป อาจส่งผลให้ผู้ประกอบการ SME ธุรกิจขนาดย่อมบางส่วนปรับตัวไม่ทัน ไม่สามารถจ่ายค่าแรงขั้นต่ำตามที่กฎหมายกำหนดได้ ก็อาจเกิดการลดจำนวนพนักงานลง ยิ่งภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันที่เริ่มมีนักวิเคราะห์มองว่ามีแนวโน้มเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะชะลอตัว การขึ้นค่าแรงถือเป็นปัจจัยซ้ำเติมธุรกิจที่กำไรน้อยอยู่แล้ว แต่มีต้นทุนค่าแรงที่เพิ่มขึ้น หากธุรกิจแบกรับต้นทุนไม่ไหว ทางเลือกหนึ่งของการลดต้นทุนคงที่ ก็คือการลดจำนวนพนักงาน ส่งผลให้คนบางส่วนตกงานในขณะที่ยังมีภาระค่าใช้จ่ายที่ต้องแบกรับอยู่ ส่วนการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ กระทบธุรกิจคือ วิกฤตเงินเฟ้อสหรัฐฯ ช่วงปี 1970 แทบไม่ต่างจากวิกฤตเงินเฟ้อในปัจจุบัน ที่รัฐบาลสหรัฐฯ ในสมัยนั้นใช้มาตรการนโยบายการเงิน ผสานกับนโยบายการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ ให้เติบโต ประกอบกับโลกกำลังประสบปัญหาขาดแคลนน้ำมัน ส่งผลให้เงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้นแตะระดับ 11% ข้าวของราคาแพง แรงงานก็เรียกร้องการปรับขึ้นค่าจ้าง ตามค่าครองชีพที่สูงขึ้นจากเงินเฟ้อ โดยเมื่อปรับค่าแรงแล้ว ก็ส่งผลให้ราคาสินค้าสูงขึ้น เงินเฟ้อสูงขึ้น และลูกจ้างก็เรียกร้องขึ้นค่าจ้างวนเวียนแบบนี้ไม่จบสิ้น กลุ่มธุรกิจที่เสียประโยชน์จากการขึ้นค่าแรง ซึ่งโดยส่วนใหญ่มักเป็นธุรกิจที่มีการใช้แรงงานจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจก่อสร้าง ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ต้องใช้คนผลิตสินค้า เพราะยิ่งต้องใช้แรงงานมาก ต้นทุนโดยรวมก็จะสูงขึ้นไปอีก ทั้งนี้ก็ต้องติดตามว่าบริษัทเหล่านี้จะควบคุมต้นทุนรวมได้มากน้อยแค่ไหน หรือแม้กระทั่งธุรกิจ SME ที่มีสัดส่วนสร้างรายได้ให้กับ GDP ไทย 35% สร้างการจ้างงาน 12.6 ล้านคน คิดเป็น 70% ของการจ้างงานทั้งหมด ซึ่งก่อนหน้านี้ SME ที่ค่อยๆ ฟื้นตัวจากวิกฤต COVID-19 แต่ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น รวมถึงความน่าลงทุนของไทยในมุมมองชาวต่างชาติ เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านที่มีค่าแรงถูกกว่า หากเกิดการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยโดยภาพรวมในอนาคตไม่มากก็น้อย กลุ่มธุรกิจที่ได้ประโยชน์จากการขึ้นค่าแรง เช่น ธุรกิจค้าปลีก ที่ได้รับประโยชน์ เพราะเมื่อขึ้นค่าแรงแล้ว เงินในกระเป๋าและกำลังซื้อก็จะมีมากขึ้น ธุรกิจค้าปลีก ร้านค้าที่แทบจะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันจึงได้รับประโยชน์ด้วย โดยทาง บล.กสิกรไทย ประมาณการขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำประมาณ 15% จากค่ากลาง 331 บาท จะขยับขึ้นเป็น 380 บาท ซึ่งกระทบเงินเฟ้อให้ปรับสูงขึ้นประมาณ 0.45% นอกจากนี้ การที่เงินเฟ้อไทยที่อยู่ในระดับสูง ทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะขึ้นดอกเบี้ย หนุนกำไรสุทธิธนาคารเพิ่มขึ้น 6-8 %
4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Finance_1370
Finance
นักลงทุนรายย่อยควรลงทุนใน Bitcoin ETF เพียงอย่างเดียว หรือควรลงทุนใน Bitcoin โดยตรงด้วย?
null
นักลงทุนรายย่อยควรพิจารณากลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมกับตนเอง โดยคำนึงถึงความเสี่ยงที่รับได้ ระยะเวลาการลงทุน และความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ Bitcoin ข้อดีของการลงทุนใน Bitcoin ETF: สะดวกและคุ้นเคย: ซื้อขายได้ง่ายบนตลาดหลักทรัพย์ คล้ายกับกองทุนรวมแบบดั้งเดิม การกำกับดูแล: อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานกำกับดูแลหลักทรัพย์ กระจายความเสี่ยง: ลงทุนใน Bitcoin ผ่าน ETF ช่วยให้กระจายความเสี่ยง ข้อเสียของการลงทุนใน Bitcoin ETF: ค่าธรรมเนียม: ETF มักมีค่าธรรมเนียมการจัดการที่สูงกว่าการซื้อ Bitcoin โดยตรง ความเสี่ยงจากราคา: ETF อ้างอิงราคา Bitcoin Futures ซึ่งมีความผันผวนมากกว่าราคา Bitcoin Spot ความยืดหยุ่น: ETF มีตัวเลือกการลงทุนที่จำกัดกว่าการซื้อ Bitcoin โดยตรง ข้อดีของการลงทุนใน Bitcoin โดยตรง: ผลตอบแทนที่สูงกว่า: มีโอกาสได้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนใน ETF ความยืดหยุ่น: มีตัวเลือกการลงทุนที่หลากหลาย การควบคุม: ควบคุมเงินทุนและ Private Key ของตัวเองได้ ข้อเสียของการลงทุนใน Bitcoin โดยตรง: ความเสี่ยงสูง: Bitcoin เป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง ความซับซ้อน: จำเป็นต้องศึกษาข้อมูลและความรู้เกี่ยวกับ Bitcoin ความปลอดภัย: ต้องระวังเรื่องความปลอดภัยของ Private Key กลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสม: นักลงทุนที่รับความเสี่ยงสูง: ลงทุนใน Bitcoin โดยตรง ใช้กลยุทธ์ DCA (Dollar Cost Averaging) นักลงทุนที่รับความเสี่ยงปานกลาง: ลงทุนใน Bitcoin ผ่าน ETF กระจายเงินลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลประเภทอื่น นักลงทุนที่รับความเสี่ยงต่ำ: ลงทุนในสินทรัพย์ดั้งเดิม ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ Bitcoin เพิ่มเติม คำแนะนำ: ศึกษาข้อมูลและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ลงทุนเงินที่ไม่กระทบกับค่าใช้จ่ายหลัก กระจายเงินลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวของตลาด Bitcoin อยู่เสมอ สรุป: กลยุทธ์การลงทุนใน Bitcoin ETF ที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนรายย่อย ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงที่รับได้ ระยะเวลาการลงทุน และความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ Bitcoin นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน และควรกระจายเงินลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ
3.ตลาดการเงิน,2.ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,8.การวิเคราะห์ทางการเงิน,11.เทคโนโลยีทางการเงิน,12.การเงินดิจิทัล
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1371
Finance
ARK Innovation ETF (ARKK) คืออะไร
ARK Innovation ETF (ARKK) คือ กองทุนในจักรวาล ARK ที่ทาง ARK ได้กล่าวไว้ว่าเป็น “ธีมรากฐานสำคัญของ Disruptive Innovation” โดยกองทุน ARKK จะเน้นลงทุนในบริษัทที่มุ่งเน้นและได้รับประโยชน์จากการพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ ๆ รวมไปถึงการปรับปรุงทางเทคโนโลยีและความก้าวหน้าในการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งประกอบไปด้วย 4 ธีมหลัก ได้แก่ Genomic Revolution, Industrial Innovation, Next Generation Internet และ Fintech Innovation ซึ่ง ARKK จะมีการกระจายการลงทุนในองค์ประกอบของ Disruptive Innovation ทั้ง 4 ธีมหลัก 4 ธีมรากฐานสำคัญของ Disruptive Innovation - Industrial Innovation 3D Printing – เป็นกระบวนการสร้างวัตถุสามมิติที่สามารถจับต้องและนำไปใช้งานได้จริง ๆ แม้ว่านวัตกรรม 3D Printing จะยังคงเป็นอุตสาหกรรมที่มีความใหม่ในตลาด แต่ก็มีการพัฒนาที่สำคัญหลายอย่างเกิดขึ้นในทุกปี โดยมีแนวโน้มที่จะนำไปประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย ตั้งแต่การนำมาประยุกต์ใช้ในทางการแพทย์ เช่น การสร้างอวัยะเทียมสำหรับผู้ป่วยที่ต้องปลูกถ่ายอวัยวะ ใช้ในการทำขาเทียมต้นทุนต่ำกว่า $100 ไปจนถึงการนำไปใช้ในอุตสาหกรรมรถยนต์ในการสร้างต้นแบบได้อย่างรวดเร็ว - Next Generation Internet Digital Media – เป็นสื่อโสตทัศน์และแอปพลิเคชันที่เผยแพร่โดยตรงผ่านทางอินเตอร์เน็ต ซึ่งรวมถึง Digital Video เช่น ภาพยนตร์ ซีรีส์ และรายการทีวี Digital Music ที่ให้ดาวน์โหลดหรือสตรีมมิง ตลอดจน Digital Game สำหรับอุปกรณ์ต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมีเนื้อที่เผยแพร่ทางอิเล็กทรอนิกส์อย่าง ePublishing เช่น eBooks, eMagazines หรือ ePapers โดยการคาดการณ์อัตราการใช้จ่ายของผู้ใช้บริการ Digital Media ประเภทต่าง ๆ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเภท Video Games และ VoD - Genomic Revolution Gene Therapy – เป็นวิทยาการทางการแพทย์ที่ใช้ในการรักษาโรค หรือ ความผิดปกติทางพันธุกรรม โดยการผ่าตัดเปลี่ยนยีนที่ผิดปกติและถ่ายยีนที่ปกติเข้าไปแทนที่ หรือใส่ยีนที่ปกติเข้าไปโดยไม่ต้องตัดเอายีนที่ผิดปกติออก เพื่อรักษาโรคที่เกิดจากการผิดปกติของสารพันธุกรรม เช่น โรคมะเร็ง โรคธาลัสซีเมีย เป็นต้น โดยคาดว่าในอนาคตการรักษาแบบ Gene Therapy จะเป็นการรักษามาตรฐานในโรคหลายชนิดได้ โดยเฉพาะในโรคที่รักษาไม่ได้ผลในปัจจุบัน รวมถึงจะถูกนำมาใช้ในการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของมนุษย์ ให้มนุษย์มีอายุยืนยาวขึ้น - Fintech Innovation Digital Wallet – หรือ e-wallet เป็นระบบที่ใช้ซอฟต์แวร์จัดเก็บข้อมูลการชำระเงินและรหัสผ่านของผู้ใช้อย่างปลอดภัย ด้วยการใช้กระเป๋าเงินดิจิทัล ผู้ใช้สามารถดำเนินการชำระค่าสินค้าหรือบริการได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว กระเป๋าเงินดิจิทัลสามารถใช้ร่วมกับระบบชำระเงินผ่านมือถือ (Mobile Payment) ซึ่งช่วยให้ลูกค้าสามารถชำระเงินสำหรับการซื้อสินค้าด้วยสมาร์ทโฟนของตนเองได้ พร้อมสร้างรหัสผ่านที่รัดกุมขึ้นได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะจำได้ในภายหลังหรือไม่ด้วยระบบ Face ID หรือ Touch ID นอกจากนี้ยังสามารถใช้กระเป๋าเงินดิจิทัลเพื่อเก็บข้อมูลบัตรสะสมคะแนนและคูปองดิจิทัล โดยในปัจจุบันกระเป๋าเงินดิจิทัลมีการใช้งานกันอย่างแพร่หลายทั่วโลก ซึ่งสถาบันการเงินต่าง ๆ ก็ได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีนี้อย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองกับความต้องการของผู้ใช้บริการและตอบรับกับโลกสังคมไร้เงินสดในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ARK Innovation ETF (ARKK) คือ กองทุนในจักรวาล ARK ที่ทาง ARK ได้กล่าวไว้ว่าเป็น “ธีมรากฐานสำคัญของ Disruptive Innovation” โดยกองทุน ARKK จะเน้นลงทุนในบริษัทที่มุ่งเน้นและได้รับประโยชน์จากการพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ ๆ รวมไปถึงการปรับปรุงทางเทคโนโลยีและความก้าวหน้าในการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งประกอบไปด้วย 4 ธีมหลัก ได้แก่ Genomic Revolution, Industrial Innovation, Next Generation Internet และ Fintech Innovation ซึ่ง ARKK จะมีการกระจายการลงทุนในองค์ประกอบของ Disruptive Innovation ทั้ง 4 ธีมหลัก 4 ธีมรากฐานสำคัญของ Disruptive Innovation - Industrial Innovation 3D Printing – เป็นกระบวนการสร้างวัตถุสามมิติที่สามารถจับต้องและนำไปใช้งานได้จริง ๆ แม้ว่านวัตกรรม 3D Printing จะยังคงเป็นอุตสาหกรรมที่มีความใหม่ในตลาด แต่ก็มีการพัฒนาที่สำคัญหลายอย่างเกิดขึ้นในทุกปี โดยมีแนวโน้มที่จะนำไปประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย ตั้งแต่การนำมาประยุกต์ใช้ในทางการแพทย์ เช่น การสร้างอวัยะเทียมสำหรับผู้ป่วยที่ต้องปลูกถ่ายอวัยวะ ใช้ในการทำขาเทียมต้นทุนต่ำกว่า $100 ไปจนถึงการนำไปใช้ในอุตสาหกรรมรถยนต์ในการสร้างต้นแบบได้อย่างรวดเร็ว - Next Generation Internet Digital Media – เป็นสื่อโสตทัศน์และแอปพลิเคชันที่เผยแพร่โดยตรงผ่านทางอินเตอร์เน็ต ซึ่งรวมถึง Digital Video เช่น ภาพยนตร์ ซีรีส์ และรายการทีวี Digital Music ที่ให้ดาวน์โหลดหรือสตรีมมิง ตลอดจน Digital Game สำหรับอุปกรณ์ต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมีเนื้อที่เผยแพร่ทางอิเล็กทรอนิกส์อย่าง ePublishing เช่น eBooks, eMagazines หรือ ePapers โดยการคาดการณ์อัตราการใช้จ่ายของผู้ใช้บริการ Digital Media ประเภทต่าง ๆ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเภท Video Games และ VoD - Genomic Revolution Gene Therapy – เป็นวิทยาการทางการแพทย์ที่ใช้ในการรักษาโรค หรือ ความผิดปกติทางพันธุกรรม โดยการผ่าตัดเปลี่ยนยีนที่ผิดปกติและถ่ายยีนที่ปกติเข้าไปแทนที่ หรือใส่ยีนที่ปกติเข้าไปโดยไม่ต้องตัดเอายีนที่ผิดปกติออก เพื่อรักษาโรคที่เกิดจากการผิดปกติของสารพันธุกรรม เช่น โรคมะเร็ง โรคธาลัสซีเมีย เป็นต้น โดยคาดว่าในอนาคตการรักษาแบบ Gene Therapy จะเป็นการรักษามาตรฐานในโรคหลายชนิดได้ โดยเฉพาะในโรคที่รักษาไม่ได้ผลในปัจจุบัน รวมถึงจะถูกนำมาใช้ในการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของมนุษย์ ให้มนุษย์มีอายุยืนยาวขึ้น - Fintech Innovation Digital Wallet – หรือ e-wallet เป็นระบบที่ใช้ซอฟต์แวร์จัดเก็บข้อมูลการชำระเงินและรหัสผ่านของผู้ใช้อย่างปลอดภัย ด้วยการใช้กระเป๋าเงินดิจิทัล ผู้ใช้สามารถดำเนินการชำระค่าสินค้าหรือบริการได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว กระเป๋าเงินดิจิทัลสามารถใช้ร่วมกับระบบชำระเงินผ่านมือถือ (Mobile Payment) ซึ่งช่วยให้ลูกค้าสามารถชำระเงินสำหรับการซื้อสินค้าด้วยสมาร์ทโฟนของตนเองได้ พร้อมสร้างรหัสผ่านที่รัดกุมขึ้นได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะจำได้ในภายหลังหรือไม่ด้วยระบบ Face ID หรือ Touch ID นอกจากนี้ยังสามารถใช้กระเป๋าเงินดิจิทัลเพื่อเก็บข้อมูลบัตรสะสมคะแนนและคูปองดิจิทัล โดยในปัจจุบันกระเป๋าเงินดิจิทัลมีการใช้งานกันอย่างแพร่หลายทั่วโลก ซึ่งสถาบันการเงินต่าง ๆ ก็ได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีนี้อย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองกับความต้องการของผู้ใช้บริการและตอบรับกับโลกสังคมไร้เงินสดในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5.ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1378
Finance
จงสรุปบทความเรื่อง หุ้นเปิดเมือง ให้หน่อยค่ะ
หุ้นเปิดเมือง ​ สัปดาห์ก่อนนายกรัฐมนตรีได้ประกาศ “เปิดประเทศ” ให้ชาวต่างชาติที่มาจากประเทศที่มี “ความเสี่ยงต่ำ” และได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครบถ้วนแล้ว สามารถเดินทางมาเที่ยวประเทศไทยได้อย่างไม่ต้องกักตัว ตั้งแต่วันที่ 1 เดือนพฤศจิกายน 2564 เป็นต้นไป ข่าวนี้ทำให้วันรุ่งขึ้นดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับเพิ่มขึ้น 10 จุด แม้ว่าจะไม่มาก แต่เมื่อคำนึงถึงว่าดัชนีตลาดหุ้นต่างประเทศในวันนั้นต่างก็ไม่ดีนักก็ต้องถือว่านั่นเป็น “ข่าวดี” ที่ประชาชนและนักลงทุนต่างก็ตื่นเต้นที่คาดว่าภายในช่วงสิ้นปีนี้การท่องเที่ยวจะดีขึ้นมาก และนั่นก็จะหมายถึงว่าเศรษฐกิจโดยรวมก็น่าจะเริ่มฟื้นตัวและจะดีขึ้นอีกมากในปีต่อไป ราคาของหุ้นโดยรวมจึงปรับตัวขึ้น และหุ้นที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวโดยตรงทั้งจากต่างประเทศและในประเทศก็ปรับตัวขึ้นไปมากยิ่งกว่า นักวิเคราะห์และ “นักเก็งกำไร” ซึ่งมีเพิ่มขึ้นมากในช่วงโควิดต่างก็แนะนำให้ซื้อหุ้นและเข้าซื้อหุ้นโดยเฉพาะที่จะได้รับผลดีจากการเปิดเมืองโดยตรง ยิ่งได้ผลดีมากเท่าไร ก็น่าซื้อมากขึ้นเท่านั้น แต่ผมเองกลับมีความรู้สึกว่านี่อาจจะเป็น “ความเสี่ยง” ที่จะซื้อหุ้นแพงที่เกิดจากแรงกระตุ้นของการเก็งกำไรและการมองโลกในแง่ที่ดีเกินไป ประเด็นของผมก็คือ การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจนั้น อาจจะดีขึ้นเร็วในช่วงแรก อาจจะซัก 1 ปี อานิสงค์ส่วนหนึ่งจาก “Pent-Up Demand” หรือความต้องการที่เพิ่มขึ้นแรงทันทีเพราะกิจกรรมถูก “อั้นไว้” ไม่สามารถทำได้มานาน แต่เมื่อได้ทำแล้ว หลังจากนั้นความต้องการก็จะกลับสู่ภาวะปกติซึ่งก็อาจจะเติบโตช้าลงมากในปีต่อ ๆ ไปซึ่งน่าจะเกิดจากการที่ประชาชนมีหนี้สินมากขึ้น รายได้ไม่ได้เพิ่มขึ้น คนแก่ตัวลง และอาจจะบริโภคสิ่งที่เคยบริโภคบางอย่างน้อยลงเนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในช่วงเกือบ 2 ปีของการระบาดของโควิด-19 ทั้งหมดนั้นทำให้การเติบโตในระยะยาวซัก 3-4 ปีจากนี้อาจจะค่อนข้างต่ำ ซึ่งทำให้บริษัทจดทะเบียนจำนวนมากไม่สามารถเติบโตได้มากนัก และนั่นก็นำไปสู่มูลค่าหุ้นของกิจการที่จะ “ไปไม่ไกล” จากระดับที่เคยสูงสุดก่อนหน้าที่จะเกิดโควิดระบาดเมื่อสิ้นปี 2562 ลองมาดูหุ้นที่น่าสนใจในแต่ละกลุ่มโดยเฉพาะที่มีราคาเพิ่มขึ้นแรงเพราะผลของการประกาศเปิดเมือง โดย “กรอบความคิด” ของผมก็คือ ผมมีความเชื่อว่าโควิด-19 นั้น ได้ทำลายหรือทำร้ายเศรษฐกิจไทยค่อนข้างรุนแรงและเกิดขึ้นในภาวะที่เศรษฐกิจไทยกำลังอ่อนแอและอาจจะกำลังอิ่มตัวเนื่องจากโครงสร้างประชากรที่กำลังแก่ตัวลงอย่างรวดเร็วประกอบกับการที่ระบบการปกครองและโครงสร้างของสังคมไทยมีปัญหาค่อนข้างมากซึ่งจะส่งผลให้ไม่สามารถพัฒนาเศรษฐกิจต่อไปได้อีกมากอย่างที่เคยเป็นและอาจจะกลายเป็นสังคมที่ “ติดกับดักรายได้ปานกลาง” ไปอีกนาน ซึ่งนั่นก็จะส่งผลให้ราคาหุ้นที่อาจจะนิ่งเป็น “Sideways” ไปอีกนานหลังจากที่ปรับตัวขึ้นไปจนถึงระดับเมื่อก่อนสิ้นปี 2562 แล้ว หุ้นตัวแรกคือหุ้นสนามบินซึ่งมีแค่ตัวเดียวก็คือ AOT และราคาปรับตัวขึ้นไปแรงมากในวันแรกหลังประกาศ อาจจะเพราะการบินที่จะเปิดขึ้นรับกับการท่องเที่ยวที่ต้องใช้บริการของบริษัทอย่างแน่นอน นั่นทำให้นักลงทุนต่างก็เห็นว่าจะได้ประโยชน์เต็มที่จึงเข้ามาแย่งซื้อกันมากมายจนมูลค่าหุ้นนั้นใกล้เคียงกับราคาเมื่อสิ้นปี 2562 ที่เป็นจุดสูงสุดไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ถ้าดูตามการคาดการณ์ของคนที่อยู่ในวงการท่องเที่ยวจากต่างประเทศ ก็จะพบว่านักท่องเที่ยวจะเดินทางมาประเทศไทยแค่ประมาณ 10 ล้านคนในปี 2565 และกว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 40 ล้านคนเท่ากับปี 2562 ก็คงจะใช้เวลาอีกไม่น่าจะน้อยกว่า 3 ปีในปี 2567 ดังนั้น ราคาหุ้นที่เป็นอยู่ของ AOT จึงเป็นการมอง “ล่วงหน้า” ไปไกลมากว่า จำนวนนักท่องเที่ยวจะกลับมาเมืองไทยอย่างแน่นอนและจะยังเติบโตต่อไปจนเกิน 40 ล้านคนอีกมาก เป็นหุ้นที่จะโตเร็วมากและค่า PE ของหุ้นที่สูงระดับ 40 เท่ามาตลอดก็เป็นตัวสะท้อนความเชื่อนั้น หุ้นตัวต่อไปที่เกี่ยวข้องโดยตรงชัดเจนก็คือการบิน ซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้ประโยชน์เท่ากับสนามบินเพราะมีคู่แข่งจำนวนมาก แต่มูลค่าหุ้นปัจจุบันนั้นกลับสูงกว่าสิ้นปี 2562 ไปมากแล้ว แต่ยังต่ำกว่าปี 60 และ 61 ซึ่งเป็น “ปีทอง” อยู่มาก ถ้ามองจากมุมนี้ก็หมายความว่าโควิด-19 อาจจะเป็นสิ่งที่ดีต่อบริษัทในแง่ที่ว่ามันอาจจะ “ทำลายคู่แข่ง” ไปมากกว่ามาก และดังนั้น หุ้นที่ยังอยู่ก็จะได้ประโยชน์และพร้อมที่จะโตต่อไปหลังจากเปิดเมืองแล้ว นี่เป็นเรื่องจริงหรือไม่เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ หุ้นกลุ่มโรงแรมและ/หรืออาหาร นี่คือกลุ่มที่เจ็บหนักมากรอง ๆ จากสองกลุ่มแรกและกว่าที่จะกลับมาทำกำไรเท่าเดิมหลังจากโควิดคงจะใช้เวลายาวนานกว่าเนื่องจากมีการแข่งขันสูงมาก โดยปกติ กว่าที่ Occupancy Rate หรืออัตราการใช้ห้องพักจะคุ้มทุนก็น่าจะอยู่ระดับ 50-60% ขึ้นไปในโรงแรมแต่ละแห่ง ดังนั้น กว่าลูกค้าโดยเฉพาะชาวต่างชาติจะกลับมามากพอก็คงกินเวลาหลายปี นั่นแปลว่าโรงแรมอาจจะขาดทุนต่อไปอีกหลายปีหลังจากที่ขาดทุนหนักมากมาเกือบ 2 ปีแล้ว อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่ามูลค่าหุ้นของโรงแรมส่วนใหญ่จะไม่ได้ถูกกระทบอะไรมาก ว่าที่จริงหุ้นโรงแรมส่วนใหญ่ตอนนี้มีมูลค่ามากกว่าก่อนเกิดโควิดเมื่อสิ้นปี 2562 ไปแล้ว ดูเหมือนว่านักลงทุนจะคิดว่าหุ้นโรงแรมนั้นได้ประโยชน์จากการเกิดโควิด-19 ด้วยซ้ำและแม้ว่าจะขาดทุนติดต่อกันหลายปีและผลขาดทุนมหาศาลพร้อม ๆ กับหนี้ก้อนใหญ่มากจนรับแทบไม่ไหว นักลงทุนก็ “รอได้” พวกเขาคิดว่าทรัพย์สินที่มีอยู่นั้น ในที่สุดก็จะสร้างผลกำไรที่สูงมาก เหนือสิ่งอื่นใด ประเทศไทยอย่างไรเสียก็คงเป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญของโลก ดังนั้น โรงแรมจึงมีค่ามากกว่าปกติ หุ้นห้างหรือพวกช็อปปิ้งมอลรวมทั้งโรงภาพยนตร์ที่ถูกกระทบหนักเพราะต้องปิดไปหลายช่วงเวลา เมื่อมีการประกาศเปิดเมืองนั้น วันแรก ๆ ห้างก็แทบจะ “ระเบิด” เพราะคน “อัดอั้น” ที่ต้องอยู่กับบ้านมานาน และคนไทยซึ่งมองห้างเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจและจับจ่ายใช้สอยและต้องไปแทบจะทุกสัปดาห์จึงต่างก็แห่กันไปใช้บริการ อย่างไรก็ตาม มูลค่าของหุ้นแม้ว่าจะดีขึ้นบ้างแต่ก็ยังไม่ถึงระดับก่อนโควิดในปี 2562 และยังต่ำกว่ามูลค่าห้างในปี 2561 และ 2560 ที่เป็นปีที่น่าจะสูงสุดอยู่มาก ดังนั้น เหตุผลที่มูลค่าห้างมีราคาที่ต่ำลงมาเรื่อย ๆ อาจจะเป็นเพราะมีการเปิดห้างมากขึ้นเรื่อย ๆ จน “ล้น” ในช่วงที่ผ่านมาก่อนที่จะเกิดโควิด-19 โควิดทำให้เศรษฐกิจของห้างแย่ลงไปอีกเพราะห้างถูกปิดและคนเข้าห้างน้อยลง ยิ่งไปกว่านั้น การค้าขายผ่านอี-คอมเมิร์ซที่เฟื่องฟูขึ้นมากเนื่องจากโควิดก็ยังน่าจะทำให้การค้าขายผ่านห้างแย่ลงในระยะยาว ดังนั้น แม้ว่าในที่สุดโควิดก็จะหมดไป แต่ห้างก็อาจจะไม่ดีเท่าเดิมได้ ดังนั้น มูลค่าหุ้นห้างจึงไม่ได้ปรับตัวดีเหมือนกลุ่มอื่น ๆ ร้านค้าขายสินค้าจำเป็นเช่นอาหารหรืออุปกรณ์เครื่องใช้ในบ้านทั้งที่เป็นแนวร้านใหญ่และสะดวกซื้อนั้น มองในแง่พื้นฐานระยะยาวแล้วน่าจะมีการเปลี่ยนแปลงน้อย การเกิดโควิด-19 นั้น ทำให้การเดินทางลดลงไปมาก ร้านสะดวกซื้อก็น่าจะขายได้น้อยลงมาก แต่เมื่อโควิดจบ และคนเดินทางเป็นปกติ ยอดขายก็น่าจะกลับมา อาจจะขาดนักท่องเที่ยวต่างชาติไปบ้างเพราะจำนวนยังไม่เท่าเดิมแต่ก็ไม่น่าจะมากนักเมื่อเทียบกับคนไทยทั้งประเทศ ในส่วนของร้านใหญ่เองนั้น ผลกระทบต่อยอดขายและกำไรก็อาจจะไม่มากเลย เพราะมันเป็นสินค้าจำเป็นที่ยังไงคนต้องกินต้องใช้ ภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำลงไปก็อาจจะทำให้มีการใช้จ่ายลดลงบ้างแต่ก็ไม่น่าจะมากนัก เพราะคนจะงดใช้สินค้าฟุ่มเฟือยมากกว่า ดังนั้น ทั้งสองกลุ่มนั้น เมื่อโควิด-19 สงบลงและมีการเปิดเมืองแล้ว ยอดขายก็คงจะกลับมาเท่าของเดิมก่อนสิ้นปี 2562 ได้ในเวลาไม่นานและดังนั้นมูลค่าหุ้นก็คงจะกลับไปที่เดิมได้ ว่าที่จริงหุ้นห้างขนาดใหญ่นั้นมีมูลค่าหุ้นสูงขึ้นตั้งแต่เกิดโควิดและปัจจุบันสูงกว่าปี 2562 ไปมากแล้ว โควิดก่อให้เกิดผลดีต่อห้างขนาดใหญ่มาก นิคมอุตสาหกรรมและการก่อสร้างเองนั้น มูลค่าหุ้นบางบริษัทก็ได้ปรับตัวขึ้นไปมากและสูงกว่าก่อนปีโควิดแล้ว โดยเหตุผลที่ถูกนำมาใช้ก็คือ จะมีคนมาลงทุนมากขึ้นหลังจากที่ต้องหยุดไปในช่วงโควิด อย่างไรก็ตาม การลงทุนสร้างโรงงานในประเทศไทยเองนั้น ดูเหมือนว่าจะเป็นอุตสาหกรรมที่ไม่ค่อยจะสดใสนักเพราะประเทศไทยดูเหมือนว่าจะสูญเสียความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่หลายประเทศ เช่น เวียดนามและอินโดนีเซีย เป็นต้น ดังนั้น การที่มูลค่าหุ้นเพิ่มขึ้นสู่จุดที่สูงสุดก่อนโควิดจึงเป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงว่ามันจะไปต่อได้แค่ไหนถ้าอุตสาหกรรมการผลิตโดยเฉพาะการส่งออกอิ่มตัวไปแล้ว สุดท้ายก็คือ แม้แต่หุ้นเล็ก ๆ เช่นหุ้นที่ขายเครื่องสำอางหรือบริการนวดให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติก็พลอยปรับตัวขึ้นแรงเช่นเดียวกัน ทั้งหมดนั้น ในฐานะนักลงทุนที่เน้นพื้นฐานระยะยาวของกิจการจะต้องวิเคราะห์และพิจารณาว่ามูลค่าหุ้นที่เพิ่มขึ้นสมเหตุสมผลหรือไม่เพียงใด สุดท้ายก็คือ แม้แต่หุ้นเล็ก ๆ เช่นหุ้นที่ขายเครื่องสำอางหรือบริการนวดให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติก็พลอยปรับตัวขึ้นแรงเช่นเดียวกัน ทั้งหมดนั้น ในฐานะนักลงทุนที่เน้นพื้นฐานระยะยาวของกิจการจะต้องวิเคราะห์และพิจารณาว่ามูลค่าหุ้นที่เพิ่มขึ้นสมเหตุสมผลหรือไม่เพียงใด ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร . ที่มาบทความ:
การประกาศเปิดประเทศให้ชาวต่างชาติที่มาจากประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำ และได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครบถ้วนแล้ว สามารถเดินทางมาเที่ยวประเทศไทยได้อย่างไม่ต้องกักตัว ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 เป็นต้นไป การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจอาจจะดีขึ้นเร็วในช่วงแรก อาจจะซัก 1 ปี อานิสงค์ส่วนหนึ่งจาก “Pent-Up Demand” หรือ ความต้องการที่เพิ่มขึ้นแรงทันที เพราะกิจกรรมถูกอั้นไว้ไม่สามารถทำได้มานาน แต่เมื่อได้ทำแล้ว หลังจากนั้นความต้องการก็จะกลับสู่ภาวะปกติซึ่งก็อาจจะเติบโตช้าลงมากในปีต่อ ๆ ไปซึ่งน่าจะเกิดจากการที่ประชาชนมีหนี้สินมากขึ้น รายได้ไม่ได้เพิ่มขึ้น คนแก่ตัวลง และอาจจะบริโภคสิ่งที่เคยบริโภคบางอย่างน้อยลง เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในช่วงเกือบ 2 ปีของการระบาดของโควิด-19 ทำให้การเติบโตในระยะยาวอาจจะค่อนข้างต่ำ ซึ่งทำให้บริษัทจดทะเบียนจำนวนมากไม่สามารถเติบโตได้มากนัก และนั่นก็นำไปสู่มูลค่าหุ้นของกิจการที่จะไปไม่ไกลจากระดับที่เคยสูงสุดก่อนหน้าที่จะเกิดโควิดระบาดเมื่อสิ้นปี 2562 หุ้นตัวแรกคือ หุ้นสนามบิน ซึ่งมีแค่ตัวเดียวก็คือ AOT อาจจะเพราะการบินที่จะเปิดขึ้นรับกับการท่องเที่ยวที่ต้องใช้บริการของบริษัทอย่างแน่นอน ทำให้นักลงทุนต่างเห็นว่าจะได้ประโยชน์เต็มที่จึงเข้ามาแย่งซื้อกันมากมายจนมูลค่าหุ้นนั้นใกล้เคียงกับราคาเมื่อสิ้นปี 2562 ที่เป็นจุดสูงสุดไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ถ้าดูตามการคาดการณ์ของคนที่อยู่ในวงการท่องเที่ยวจากต่างประเทศ ก็จะพบว่านักท่องเที่ยวจะเดินทางมาประเทศไทยแค่ประมาณ 10 ล้านคนในปี 2565 และกว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 40 ล้านคนเท่ากับปี 2562 ก็คงจะใช้เวลาอีกไม่น่าจะน้อยกว่า 3 ปีในปี 2567 ดังนั้น ราคาหุ้นที่เป็นอยู่ของ AOT จึงเป็นการมองล่วงหน้าไปไกลมากว่า จำนวนนักท่องเที่ยวจะกลับมาเมืองไทยอย่างแน่นอนและจะยังเติบโตต่อไปจนเกิน 40 ล้านคนอีกมาก เป็นหุ้นที่จะโตเร็วมากและค่า PE ของหุ้นที่สูงระดับ 40 เท่ามาตลอดก็เป็นตัวสะท้อนความเชื่อนั้น หุ้นตัวต่อไปที่เกี่ยวข้องโดยตรงชัดเจนก็คือ การบิน ซึ่งไม่ได้ประโยชน์เท่ากับสนามบิน เพราะมีคู่แข่งจำนวนมาก แต่มูลค่าหุ้นกลับสูงกว่าสิ้นปี 2562 ไปมาก แต่ยังต่ำกว่าปี 60 และ 61 ซึ่งเป็นปีทองอยู่มาก หมายความว่าโควิด-19 อาจจะเป็นสิ่งที่ดีต่อบริษัทในแง่ที่ว่าอาจจะทำลายคู่แข่งไปมากกว่ามาก และดังนั้น หุ้นที่ยังอยู่ก็จะได้ประโยชน์และพร้อมที่จะโตต่อไปหลังจากเปิดเมืองแล้ว เป็นเรื่องจริงหรือไม่เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ หุ้นกลุ่มโรงแรมและอาหาร คือกลุ่มที่เจ็บหนักมากรอง ๆ จากสองกลุ่มแรกและกว่าที่จะกลับมาทำกำไรเท่าเดิมหลังจากโควิดคงจะใช้เวลายาวนานกว่า เนื่องจากมีการแข่งขันสูงมาก โดยปกติกว่าที่อัตราการใช้ห้องพักจะคุ้มทุนก็น่าจะอยู่ระดับ 50-60% ขึ้นไปในโรงแรมแต่ละแห่ง ดังนั้น กว่าลูกค้าโดยเฉพาะชาวต่างชาติจะกลับมามากพอก็คงกินเวลาหลายปี แปลว่าโรงแรมอาจจะขาดทุนต่อไปอีกหลายปี หลังจากที่ขาดทุนหนักมากมาเกือบ 2 ปีแล้ว อย่างไรก็ตาม มูลค่าหุ้นของโรงแรมส่วนใหญ่จะไม่ได้ถูกกระทบอะไรมาก หุ้นโรงแรมส่วนใหญ่มีมูลค่ามากกว่าก่อนเกิดโควิดเมื่อสิ้นปี 2562 ไปแล้ว ดูเหมือนว่านักลงทุนจะคิดว่าหุ้นโรงแรมนั้นได้ประโยชน์จากการเกิดโควิด-19 ด้วยซ้ำและแม้ว่าจะขาดทุนติดต่อกันหลายปีและผลขาดทุนมหาศาลพร้อม ๆ กับหนี้ก้อนใหญ่มากจนรับแทบไม่ไหว นักลงทุนก็รอได้ พวกเขาคิดว่าทรัพย์สินที่มีอยู่นั้น ในที่สุดก็จะสร้างผลกำไรที่สูงมาก เหนือสิ่งอื่นใด ประเทศไทยอย่างไรเสียก็คงเป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญของโลก ดังนั้น โรงแรมจึงมีค่ามากกว่าปกติ หุ้นห้างหรือพวกช็อปปิ้งมอล รวมทั้งโรงภาพยนตร์ที่ถูกกระทบหนักเพราะต้องปิดไปหลายช่วงเวลา เมื่อมีการประกาศเปิดเมืองนั้น วันแรก ๆ ห้างก็แทบจะระเบิดเพราะคนอัดอั้นที่ต้องอยู่กับบ้านมานาน และคนไทยซึ่งมองห้างเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจและจับจ่ายใช้สอยและต้องไปแทบจะทุกสัปดาห์ จึงต่างก็แห่กันไปใช้บริการ อย่างไรก็ตาม มูลค่าของหุ้นแม้ว่าจะดีขึ้นบ้างแต่ก็ยังไม่ถึงระดับก่อนโควิดในปี 2562 และยังต่ำกว่ามูลค่าห้างในปี 2561 และ 2560 ที่เป็นปีที่น่าจะสูงสุดอยู่มาก ดังนั้น เหตุผลที่มูลค่าห้างมีราคาที่ต่ำลงมาเรื่อย ๆ อาจจะเป็นเพราะมีการเปิดห้างมากขึ้นเรื่อย ๆ จนล้น ก่อนที่จะเกิดโควิด-19 โควิดทำให้เศรษฐกิจของห้างแย่ลงไปอีก เพราะห้างถูกปิดและคนเข้าห้างน้อยลง ยิ่งไปกว่านั้น การค้าขายผ่านอี-คอมเมิร์ซที่เฟื่องฟูขึ้นมาก เนื่องจากโควิดก็ยังน่าจะทำให้การค้าขายผ่านห้างแย่ลงในระยะยาว แม้ว่าในที่สุดโควิดจะหมดไป แต่ห้างก็อาจจะไม่ดีเท่าเดิมได้ ดังนั้น มูลค่าหุ้นห้างจึงไม่ได้ปรับตัวดีเหมือนกลุ่มอื่น ๆ ร้านค้าขายสินค้าทั้งที่เป็นแนวร้านใหญ่และสะดวกซื้อ มองในแง่พื้นฐานระยะยาวแล้วน่าจะมีการเปลี่ยนแปลงน้อย การเกิดโควิด-19 ทำให้การเดินทางลดลงไปมาก ร้านสะดวกซื้อก็น่าจะขายได้น้อยลงมาก แต่เมื่อโควิดจบ และคนเดินทางเป็นปกติ ยอดขายก็น่าจะกลับมา อาจจะขาดนักท่องเที่ยวต่างชาติไปบ้าง เพราะจำนวนยังไม่เท่าเดิม แต่ก็ไม่น่าจะมากนักเมื่อเทียบกับคนไทยทั้งประเทศ ในส่วนของร้านใหญ่ ผลกระทบต่อยอดขายและกำไรก็อาจจะไม่มาก เพราะเป็นสินค้าจำเป็นที่ยังไงคนต้องกินต้องใช้ ภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำลงไปก็อาจจะทำให้มีการใช้จ่ายลดลงบ้างแต่ก็ไม่น่าจะมากนัก เพราะคนจะงดใช้สินค้าฟุ่มเฟือยมากกว่า ดังนั้น ทั้งสองกลุ่มนี้ เมื่อโควิด-19 สงบลงและมีการเปิดเมืองแล้ว ยอดขายก็คงจะกลับมาเท่าของเดิมก่อนสิ้นปี 2562 ได้ในเวลาไม่นานและมูลค่าหุ้นก็คงจะกลับไปที่เดิมได้ นิคมอุตสาหกรรมและการก่อสร้าง มูลค่าหุ้นบางบริษัทก็ได้ปรับตัวขึ้นไปมากและสูงกว่าก่อนโควิด โดยเหตุผลที่ถูกนำมาใช้คือ จะมีคนมาลงทุนมากขึ้นหลังจากที่ต้องหยุดไปในช่วงโควิด อย่างไรก็ตาม การลงทุนสร้างโรงงานในประเทศไทยดูเหมือนว่าจะเป็นอุตสาหกรรมที่ไม่ค่อยจะสดใสนัก เพราะดูเหมือนว่าจะสูญเสียความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่หลายประเทศ ดังนั้น การที่มูลค่าหุ้นเพิ่มขึ้นสู่จุดที่สูงสุดก่อนโควิด จึงเป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงว่ามันจะไปต่อได้แค่ไหน ถ้าอุตสาหกรรมการผลิตโดยเฉพาะการส่งออกอิ่มตัวไปแล้ว หุ้นเล็ก ๆ เช่น หุ้นที่ขายเครื่องสำอางหรือบริการนวดให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ก็พลอยปรับตัวขึ้นแรงเช่นเดียวกัน ในฐานะนักลงทุนที่เน้นพื้นฐานระยะยาวของกิจการ จะต้องวิเคราะห์และพิจารณาว่ามูลค่าหุ้นที่เพิ่มขึ้นสมเหตุสมผลหรือไม่เพียงใด
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Summarization
cc-by-nc-4.0
Finance_1379
Finance
สิ่งใดเป็นจุดจบแรกที่ทั้งตลาดอยากเห็นและน่าจะได้เห็นในไตรมาสสุดท้ายของปี 2021 ระหว่าง การระบาดใหญ่ของโควิด หรือ สินทรัพย์ทางเลือก
null
การระบาดใหญ่ของโควิด เพราะการระบาดใหญ่ของโควิด เป็นจุดจบแรกที่ทั้งตลาดอยากเห็นและน่าจะได้เห็นในไตรมาสสุดท้ายของปี 2021 ทั่วโลกจะได้รับมือกับหน้าหนาวที่สองของวิกฤตขณะที่มีวัคซีนพร้อม ถ้าผ่านไตรมาสนี้ได้เชื่อว่าความกลัวการระบาดใหญ่ทั่วโลกหรือ Pandemic จะลดลงเหลือเพียงระดับโรคประจำถิ่น (Endemic) กิจกรรมทางเศรษฐกิจมีโอกาสฟื้นชัดเจนในปี 2022 แต่ Good News for the Economy อาจเป็น Bad News for the Markets เมื่อไม่มีโรคระบาด รัฐบาลทั่วโลกก็ควรลดการอัดฉีดทางการคลังลง เพราะไม่ใช่แค่ใน EM ที่มีหนี้รวมสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 1970 เกินกว่า 200% ของจีดีพี ฝั่ง DM ก็มีหนี้รวมสูงเป็นประวัติศาสตร์กว่า 3 เท่าของจีดีพี ผลข้างเคียงของหนี้จะเข้ามาเป็นตัวแปรในสมการเศรษฐกิจ อาจเป็นจุดเริ่มต้นของแนวโน้ม “ภาษี” ซึ่งเป็นสิ่งที่ตลาดการเงินไม่อยากได้เห็น ส่วนสินทรัพย์ทางเลือก เป็นสิ่งที่นักลงทุนจับตามองเมื่อแรงหนุนของสินทรัพย์หลักกำลังหมดลง มีความเป็นไปได้ที่จะเห็นจุดเริ่มต้นใหม่ของระบบการเงินโลกในปี 2022 หลังจากที่ใช้ Fiat currency system มานานกว่า 50ปี แม้จุดจบของ currency system ในอดีต เป็นขั้นตอนที่ใช้เวลาไม่ต่ำกว่าทศวรรษ เพราะเกี่ยวข้องทั้งกับความเชื่อมั่น การเมือง ไปจนถึงระบบที่จะเข้ามาแทนที่ แต่ในปัจจุบัน โครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี บริษัทระดับโลกที่แข็งแกร่ง และการตอบรับของตลาดกับ Decentralized Finance ก็เพิ่มเร็วกว่าที่โลกนี้เคยพบ ในปี 2022 เชื่อว่าจะเห็นความพยายามของทั่วโลกที่จะสร้างระบบขึ้นมาเป็นทางเลือกใหม่ อย่างไรก็ดี การที่ Crypto จะก้าวขึ้นมาทัดเทียมระบบการเงินหลักได้ ไม่ใช่แค่เพราะมีสถาบันสนใจหรือมีบทบาทกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจ แต่ต้องหาจุดจบความ “ไร้กฎเกณฑ์” ให้ได้ด้วย ในอดีตช่วงเปลี่ยนผ่านจาก Bretton Woods System มาเป็น Fiat Currency ในปี 1973 ก็สร้างความผันผวนมากในช่วงแรก ก่อนที่จะมีกฎชัดเจนเป็นจุดเริ่มต้นของการประยุกต์ใช้ในวงกว้าง จึงไม่ควรประมาทกับความผันผวนช่วงเริ่มต้นของยุค DeFi เช่นกัน
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_138
Finance
ถ้าการลดหย่อนภาษีอย่างเดียวยังไม่น่าพอ แนะนำว่าควรประหยัดเงินให้ได้มากที่สุด พยายามลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น เพื่ออะไร
null
ถ้าการลดหย่อนภาษีอย่างเดียวยังไม่น่าพอ แนะนำว่าควรประหยัดเงินให้ได้มากที่สุด พยายามลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น เพื่อเพิ่มเงินเก็บในกระเป๋า แล้วนำเงินไปเก็บ ไปลงทุนทั้งหมด รวมถึงเงินที่ได้คืนจากการลดหย่อนภาษีด้วย โดยตัวอย่างที่เก็บเงิน ได้แก่ ​• เงินฝากพิเศษ super senior 30 เดือน ดอกเบี้ย 2% ต่อปี (ข้อมูลอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ณ วันที่ 23 ส.ค. 66) และได้ความคุ้มครองการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุสูงสุด 3 ล้านบาท เริ่มต้นฝากตั้งแต่ 1 แสนบาทขึ้นไป โดยผู้ฝากต้องมีอายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไป • ทวีทรัพย์ 24 เดือน ฝากประจำปลอดภาษี ที่เหมาะกับคนที่ต้องการฝากเงินทุกเดือน ดอกเบี้ย 2.3% ต่อปี (ข้อมูลอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ณ วันที่ 23 ส.ค. 66) ฝากได้สูงสุด 25,000 บาท/เดือน • หุ้นกู้ Investment Grade ที่มีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในระดับสูงกว่าหุ้นกู้ Non-Investment Grade หุ้นกู้ Investment Grade มีอันดับความน่าเชื่อถือน้อยที่สุดคือ BBB- และสูงที่สุดคือ AAA ซึ่งแม้หุ้นกู้จะให้ดอกเบี้ยที่สูงกว่าฝากเงิน แต่เงินจะถูกล็อกเอาไว้ตามระยะเวลาที่กำหนด ไม่สามารถเอาเงินออกมาใช้ก่อนได้ ดังนั้น เงินที่จะนำมาลงทุน ควรเป็นเงินเย็น มั่นใจว่าจะไม่นำมาทำอะไรก่อนครบกำหนด ซึ่งหากใครสนใจลงทุนหุ้นกู้ Investment Grade แนะนำกระจายการลงทุนหุ้นกู้หลายๆ ตัว • กองทุนรวมที่มีความเสี่ยงต่ำ เนื่องจากเงินจะขาดทุนไม่ได้ เช่น กองทุนที่อยู่ในกลุ่มตราสารหนี้ กองทุน K-SF-A เหมาะกับพักเงินสั้นๆ 6 เดือนขึ้นไป ผลตอบแทนย้อนหลังสะสม 6 เดือนอยู่ที่ 0.68% กองทุน K-FIXEDPLUS-A เหมาะกับการพักเงินตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป ผลตอบแทนย้อนหลังสะสม 1 ปีอยู่ที่ 1.69% แต่หากสามารถกันเงินบางส่วนที่พอจะรับความเสี่ยงได้เพิ่มขึ้นอีกหน่อย แนะนำ กองทุนผสม K-PLAN2 ระยะเวลาลงทุนแนะนำตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 ปีอยู่ที่ 2.61% ต่อปี (ข้อมูลผลตอบแทนย้อนหลัง ณ วันที่ 6 ก.ย. 66) สำหรับใครที่มีระยะเวลาการเก็บเงินเพื่อการเกษียณ มากกว่า 5 ปีขึ้นไป ไม่ว่าจะเป็นคนใกล้เกษียณ ที่พึ่งอายุ 50 ปี คนวัยกลางคน วัยทำงานมานาน หรือแม้แต่ First Jobber เพิ่งเริ่มทำงาน ให้เก็บเงินมากระจายการลงทุนเพื่อเป้าเกษียณ • กระจายส่วนแรก นำไปลงทุนระยะยาว (Core Portfolio) • กระจายส่วนที่สอง ลงทุนระยะสั้น (Satellite Portfolio) เพื่อให้การลงทุนไม่ผันผวนมาก และยังมีโอกาสได้ผลตอบแทนได้แบบจัดการได้ง่าย
5.ความรู้ทางการเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1380
Finance
ลักษณะเฉพาะตัวของเศรษฐกิจในภูมิภาคต่างๆ มีส่วนเป็นอย่างสูงในเรื่องใด ระหว่าง การกำหนดระดับและแนวโน้มของอัตราเงินเฟ้อในภูมิภาคนั้น ๆ หรือ การมองข้ามตัวเลขอัตราเงินเฟ้อระยะสั้นที่สูงขึ้นมาแบบชั่วคราว
null
การกำหนดระดับและแนวโน้มของอัตราเงินเฟ้อในภูมิภาคนั้น ๆ เพราะลักษณะเฉพาะตัวของเศรษฐกิจในภูมิภาคต่างๆ มีส่วนเป็นอย่างสูงในการกำหนดระดับและแนวโน้มของอัตราเงินเฟ้อในภูมิภาคนั้น ๆ จะสังเกตได้ว่า หากว่าเป็นเศรษฐกิจสหรัฐแล้ว ด้วยความพร้อมของเงินทุนและเครื่องจักรที่มีอยู่แล้ว เมื่อมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นหลังโควิด-19 เริ่มซาลง ย่อมส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นอย่างค่อนข้างรวดเร็ว ในขณะที่ในยุโรปและญี่ปุ่น การขยับขึ้นของอัตราเงินเฟ้อจะเกิดขึ้นได้ช้ากว่า ดังนั้น การดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางต้องพิจารณาปัจจัยเหล่านี้ประกอบด้วย ในขณะที่สำหรับตลาดเกิดใหม่ ด้วยความที่มีภาระหนี้ต่างประเทศในสกุลเงินดอลลาร์ค่อนข้างมาก และการพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันดิบจากต่างประเทศ จึงทำให้ปัจจัยต่างประเทศส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อในระยะสั้นและระยะปานกลางค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในส่วนหลัง ส่วนการมองข้ามตัวเลขอัตราเงินเฟ้อระยะสั้นที่สูงขึ้นมาแบบชั่วคราว เป็นหนึ่งในปัจจัยที่นายธนาคารกลางต้องยืนอยู่บนเส้นด้ายแห่งความสมดุล ซึ่งเส้นด้ายแห่งความสมดุลมีอยู่ 2 ปัจจัย ได้แก่ หนึ่ง การมองข้ามตัวเลขอัตราเงินเฟ้อระยะสั้นที่สูงขึ้นมาแบบชั่วคราวเพื่อหลีกเลี่ยงการลดระดับการผ่อนคลายนโยบายการเงินก่อนเวลาอันควร จนกระทั่งเห็นสัญญาณการเพิ่มขึ้นของระดับราคาสินค้าและบริการแบบเป็นระบบ และ สอง การเตรียมพร้อมขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายโดยทันท่วงทีเมื่อตัวเลขอัตราเงินเฟ้อขึ้นมาแบบต่อเนื่อง ทั้งนี้ นโยบายการคลังต้องทำหน้าที่ทำให้กรอบการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะเวลาปานกลางเป็นไปตามเป้าหมายที่ต้องการ โดยเฉพาะเพื่อให้ระดับอัตราการเติบโตที่เต็มศักยภาพทางเศรษฐกิจ (Potential Output) มีความยั่งยืน อย่างไรก็ดี ด้วยความเปราะบางของโลกแห่งความเป็นจริงทางการเมืองต่อผู้ดำเนินการนโยบายการคลังทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รัฐบาลสหรัฐ ทำให้นายธนาคารกลางต้องพิจารณาด้วยความรอบคอบขึ้นสำหรับการดำเนินการ เพื่อให้กรอบเงินเฟ้อทั้งในระยะสั้นและระยะเวลาปานกลางเป็นไปตามเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้
5.ความรู้ทางการเงิน,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Classification
cc-by-nc-4.0
Finance_1381
Finance
คริปโทเคอร์เรนซีกลุ่มหลักๆ ที่สามารถใช้เป็นแนวทางสำหรับการเลือกลงทุนได้ มีอะไรบ้าง
null
คริปโทเคอร์เรนซีกลุ่มหลักๆ ที่สามารถใช้เป็นแนวทางสำหรับการเลือกลงทุนได้ มีดังนี้ 1. กลุ่มรักษามูลค่า (Store of Value) เช่น Bitcoin (BTC), Litecoin (LTC), Bitcoin Cash (BCH) จุดเด่นของเหรียญในกลุ่มนี้คือ จำนวนเหรียญที่มีจำกัด โดยเฉพาะ Bitcoin ที่มีจำนวนจำกัดเพียง 21 ล้านเหรียญ ประกอบกับเครือข่ายของ Bitcoin ที่ได้รับการยอมรับว่าเครือข่ายที่น่าเชื่อถือและปลอดภัยที่สุดเครือข่ายหนึ่ง ทำให้นับวัน Bitcoin เริ่มมีสถานะใกล้เคียงกับ “ทองคำ” เข้าไปใหญ่ แต่เป็นทองคำดิจิทัลที่สามารถซื้อสะสมได้ง่ายกว่าทองคำจริง ๆ เสียอีก มูลค่าของเหรียญในกลุ่มนี้ ขึ้นอยู่กับความต้องการของตลาดและข่าวสารต่าง ๆ นอกจากนี้ Bitcoin ยังเป็นคริปโทเคอร์เรนซีที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดในปัจจุบัน การเคลื่อนไหวของราคา Bitcoin จึงมักจะส่งผลให้เหรียญอื่น ๆ ให้เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับ Bitcoin 2. กลุ่มสัญญาอัจฉริยะ (Smart contract) เช่น Ethereum (ETH), Cardano (ADA), Polkadot (DOT), Kusama (KSM) ฯลฯ จุดเด่นของเหรียญกลุ่มนี้คือ การเป็นเครือข่ายบล็อกเชนที่สามารถใช้ Smart contract ได้ ทำให้นักพัฒนาสามารถสร้างแอปพลิเคชันแบบกระจายศูนย์ (Dapp) รวมถึง DeFi ขึ้นบนเครือข่ายเหล่านี้ มูลค่าเหรียญในกลุ่มนี้ หลัก ๆ มักจะมาจากความต้องการของตลาดเช่นเดียวกับคริปโทเคอร์เรนซีสกุลอื่น ๆ และในบางครั้งที่เหรียญเหล่านี้มีการอัปเกรด หรือมี DeFi ที่น่าสนใจเกิดขึ้นบนเครือข่าย มูลค่าก็อาจเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน การติดตามข่าวสารอย่างต่อเนื่องจะมีประโยชน์มากสำหรับการลงทุนในเหรียญกลุ่มนี้ 3. กลุ่ม DeFi (Decentralized Finance) เช่น Uniswap (UNI), Maker (MKR), AAVE และอีกมากมาย เหรียญกลุ่ม DeFi มักจะถูกสร้างขึ้นบนเครือข่ายบล็อกเชนที่มี Smart contract อย่าง Ethereum ทำให้เหรียญในกลุ่มนี้ถูกจัดเป็นโทเคน (Token) ซึ่งแต่ละเหรียญก็จะมีการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป และมักจะใช้ได้เฉพาะแพลตฟอร์มที่เกี่ยวข้องเท่านั้น เช่น UNI จะใช้ได้กับ Uniswap หรือ AAVE ที่ใช่ร่วมกับแพลตฟอร์ม AAVE เป็นต้น มูลค่าของเหรียญในกลุ่มนี้ นอกจากจะมาจากความนิยมในตัว DeFi หรือแพลตฟอร์มที่เกี่ยวข้องแล้ว บางครั้งมูลค่าเหรียญ DeFi ก็ผันผวนตามเครือข่ายที่เหรียญนั้นถูกสร้างขึ้นได้ด้วยเช่นกัน 4. กลุ่มส่งต่อมูลค่า (Value Transfer) เช่น Ripple (XRP), Stellar (XLM) เหรียญในกลุ่มนี้เป็นเหรียญของเครือข่ายที่ถูกพัฒนาขึ้นสำหรับการส่งต่อมูลค่าผ่านอินเทอร์เน็ตที่รวดเร็วและมีค่าธรรมเนียมถูกโดยใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน จุดที่แตกต่างกันระหว่าง XRP กับ XLM คือ XRP เป็นเหรียญของเครือข่าย RippleNet ที่สร้างโดยบริษัท Ripple ใช้เพื่อเชื่อมต่อระบบชำระเงินของแต่ละธนาคารเข้าด้วยกันเป็นหลัก สามารถให้เงินจากธนาคารหนึ่งไปอีกธนาคารหนึ่งที่อยู่ต่างประเทศได้อย่างรวดเร็วและมีค่าธรรมเนียมถูก ขณะที่ XLM เกิดขึ้นจากองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร อย่าง Stellar Development Foundation โดย Stellar เป็นเครือข่ายที่มีพื้นฐานมาจาก RippleNet แต่มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงระบบการโอนเงินที่รวดเร็วและมีค่าธรรมเนียมต่ำ ไม่ใช่แค่ธนาคาร 5. กลุ่ม Oracle เช่น Chainlink (LINK), Band Protocol (BAND) Oracle ในวงการบล็อกเชน คือ ผู้คอยป้อนข้อมูลจากโลกแห่งความจริงเข้าสู่บล็อกเชน เพื่อให้ Dapp หรือ DeFi สามารถนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้งานต่อได้ ซึ่งข้อมูลที่ Oracle คอยป้อนให้บล็อกเชน มีตั้งแต่ ราคาเหรียญ ราคาสินทรัพย์ ไปจนถึงข้อมูลทั่วไปอย่าง สภาพอากาศ หรือผลการแข่งขัน Oracle นับเป็นอีกส่วนประกอบสำคัญที่วงการบล็อกเชนขาดไม่ได้ ขณะที่เหรียญในกลุ่ม Oracle ก็มักจะถูกใช้เพื่อให้สามารถเข้าถึงบริการของ Oracle มูลค่าของเหรียญก็เลยมาจากความนิยมใน Oracle แต่ละตัวนั่นเอง 6. กลุ่ม Stablecoin เช่น USDT, USDC, DAI เหรียญในกลุ่มนี้มีมูลค่าที่ค่อนข้างคงที่ เพราะได้ทำการผูกมูลค่าเข้ากับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในอัตรา 1:1 จึงเหมาะกับผู้ที่ไม่ชอบความผันผวนของมูลค่า หรือผู้ที่ต้องกระจายพอร์ตการลงทุน รวมถึงเหมาะสำหรับใช้แลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ อย่างไรก็ตาม แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นเหรียญที่มีมูลค่าคงที่ แต่เหรียญเหล่านี้ก็มีมูลค่าที่ใกล้เคียงกับเงินดอลลาร์ ดังนั้น ทิศทางเศรษฐกิจทั้งของไทยและสหรัฐอเมริกาต่างส่งผลต่อมูลค่าเหรียญเหล่านี้ได้ เหมือนกับการอ่อนค่า หรือแข็งค่าของเงินดอลลาร์เมื่อตอบรับกับข่าวเศรษฐกิจนั่นเอง 7. กลุ่มมีม (Meme) เช่น Dogecoin (DOGE) เหรียญในกลุ่มมีมอย่าง Dogecoin ส่วนใหญ่จะถูกสร้างขึ้นสนุก ๆ แต่เนื่องจากชื่อเสียงที่โด่งดังของ Dogecoin ทำให้เหรียญนี้สามารถใช้แทนการให้ทิปบนโซเชียล รวมถึงการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการจากร้านค้าที่รองรับได้ การลงทุนในเหรียญกลุ่มนี้ ส่วนใหญ่มักจะเป็นการเก็งกำไรระยะสั้น ๆ จากความผันผวนของราคาที่สูงกว่าเหรียญกลุ่มอื่น ๆ หากสนใจการลงทุนในเหรียญกลุ่มนี้ ก็ต้องพอมีประสบการณ์ด้านการเทรดมาบ้าง เช่น รู้ว่าจังหวะไหนควรเข้าซื้อหรือเทขาย สามารถวิเคราะห์ทางเทคนิคได้ และที่สำคัญคือ การใช้เงินเย็น หรือเงินที่สามารถเสียได้โดยไม่กระทบการใช้ชีวิตในการลงทุนเท่านั้น
1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Finance_1384
Finance
จงบอกคำแนะนำสำหรับนักลงทุนที่สนใจกองทุน ABGDD
null
คำแนะนำสำหรับนักลงทุนที่สนใจกองทุน ABGDD - กองทุน ABGDD เป็นกองทุนที่เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มองหากองทุนที่สามารถสร้างกระแสเงินสดได้ในภาวะผลตอบแทนต่ำดังเช่นปัจจุบัน โดยกองทุน จะมีทั้งในรูปแบบสะสมมูลค่า ABGDD-A รูปแบบ Auto Redemption ผ่าน ABGDD-R และแบบประหยัดภาษี ABGD-SSF หากต้องการซื้อสามารถติดต่อได้ที่ บลจ. Aberdeen Standard โทร 02 352 3388 หรือติดต่อเข้ามาที่ FINNOMENA โทร 02 026 5100 (ซื้อผ่านแอป FINNOMENA ได้แล้ว เข้าไปที่หน้าพอร์ตกองทุน กดทำคำสั่งซื้อ และค้นหากองทุน) - กองทุน ABGDD (Global Dynamic Dividend) เป็นกอง Income แบบ Dynamic ยืดหยุ่นที่สามารถสร้างกระแสเงินสดได้สม่ำเสมอเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 5% ต่อปี ที่มีให้เลือกทั้งรูปแบบ Auto-Redemption (ลดหน่วยจ่ายผลตอบแทน) ที่สามารถสร้างกระแสเงินสดได้ทุกเดือน แบบสะสมมูลค่า และประหยัดภาษี - Master Fund ของ ABGDD คือ Aberdeen Standard SICAV I Global Dynamic Dividend จัดตั้งมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปี 2020 ที่ Luxemburg โดยเริ่มมีการสร้างกระแสเงินสดต่อเนื่อง หรือเรียกได้ว่ายังสร้างกระแสเงินสดได้ท่ามกลางวิกฤต - กอง Master Fund ของ ABGDD ใช้กลยุทธ์บริหารตามกองทุนสหรัฐฯ ที่มีการจัดตั้งมาแล้ว ตั้งแต่ปี 2012 ซึ่งมีผลการดำเนินงานที่ยาวนานและมีความโดดเด่นในด้านการจ่ายเงินปันผลที่สม่ำเสมอเป็นรายเดือน - ผลการดำเนินงานในอดีต/ผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต - ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน - การลงทุนในกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจทำให้ได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรก - กองทุนมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจผู้จัดการกองทุน - ผู้ลงทุุนควรศึกษาข้อมููลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุุไว้ในคู่มือการลงทุุนในกองทุุนรวม
5.ความรู้ทางการเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1385
Finance
หุ้นใดคือหุ้นที่ธุรกิจพอไปได้และไม่ตาย แต่อาจจะไม่โตแล้ว ระหว่าง หุ้น Cyclical หรือ หุ้น Deep Value
หุ้น Cyclical คือสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีราคาขึ้นลงเป็นรอบ ๆ อาจจะรอบละ 3-7 ปี ตัวอย่างเช่น ราคาน้ำมัน ถ่านหิน เหล็ก ปิโตรเคมี ราคาพืชผลการเกษตร ราคาค่าระวางเรือ เป็นต้น เวลาที่ควรจะซื้อหุ้นเหล่านั้นก็คือ เวลาที่ราคาสินค้าหรือบริการตกต่ำมากซึ่งก็มักทำให้บริษัทขาดทุน บางครั้งหนักมากและทำให้ราคาหุ้นตกลงมาแทบจะไม่มีค่า แต่ก็ต้องมั่นใจว่าบริษัทสามารถยืนอยู่ได้ ส่วนเวลาขายหุ้นก็คือ เวลาที่สินค้าปรับตัวขึ้นรุนแรงและน่าจะมีความต่อเนื่องไปอีกนานพอสมควร ในช่วงเวลาแบบนั้น ราคาหุ้นก็จะปรับตัวขึ้นโดดเด่นและสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะเมื่อกำไรของบริษัทเพิ่มขึ้นสูงมาก บางทีทำให้ค่า PE เหลือแค่ไม่เกิน 5-6 เท่าก็มี และนั่นก็คือเวลาขายหุ้น อย่าไปคิดว่าหุ้นราคาถูกมากและไม่ยอมขาย หุ้น Deep Value คือ หุ้นที่ธุรกิจพอไปได้และไม่ตาย แต่อาจจะไม่โตแล้ว แต่ราคาหุ้นถูกมาก วัดจากค่า PE ปกติที่ต่ำมากและไม่ควรเกิน 10 เท่า และปันผลตอบแทนที่ค่อนข้างมั่นคงในระดับ 4-5% ขึ้นไป หุ้นแบบนี้เมื่อซื้อแล้วก็จะถือไปเรื่อย ๆ ตราบที่ยังไม่มีหุ้นหรือหลักทรัพย์อื่นที่น่าสนใจกว่า และจะขายเมื่อราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปจนเต็มหรือเกือบจะเต็มมูลค่าแล้ว ซึ่งทั้งสองกรณีบางทีก็กินเวลานานเหมือนกัน แต่ก็มักจะไม่รู้สึกเดือดร้อนมากนัก เพราะอย่างน้อยก็ได้กินปันผลที่งดงามไปเรื่อย ๆ
หุ้น Deep Value เพราะหุ้น Deep Value หรืออาจจะเรียกว่าหุ้นแบกะดิน คือ หุ้นที่ธุรกิจพอไปได้และไม่ตาย แต่อาจจะไม่โตแล้ว แต่ราคาหุ้นถูกมาก วัดจากค่า PE ปกติที่ต่ำมากและไม่ควรเกิน 10 เท่า และปันผลตอบแทนที่ค่อนข้างมั่นคงในระดับ 4-5% ขึ้นไป หุ้นแบบนี้เมื่อซื้อแล้วก็จะถือไปเรื่อย ๆ ตราบที่ยังไม่มีหุ้นหรือหลักทรัพย์อื่นที่น่าสนใจกว่า และจะขายเมื่อราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปจนเต็มหรือเกือบจะเต็มมูลค่าแล้ว ซึ่งทั้งสองกรณีบางทีก็กินเวลานานเหมือนกัน แต่ก็มักจะไม่รู้สึกเดือดร้อนมากนัก เพราะอย่างน้อยก็ได้กินปันผลที่งดงามไปเรื่อย ๆ ส่วนหุ้น Cyclical มักจะเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีราคาขึ้นลงเป็นรอบ ๆ อาจจะรอบละ 3-7 ปี ตัวอย่างเช่น ราคาน้ำมัน ถ่านหิน เหล็ก ปิโตรเคมี ราคาพืชผลการเกษตร ราคาค่าระวางเรือ เป็นต้น เวลาที่ควรจะซื้อหุ้นเหล่านั้นก็คือ เวลาที่ราคาสินค้าหรือบริการตกต่ำมากซึ่งก็มักทำให้บริษัทขาดทุน บางครั้งหนักมากและทำให้ราคาหุ้นตกลงมาแทบจะไม่มีค่า แต่ก็ต้องมั่นใจว่าบริษัทสามารถยืนอยู่ได้ ส่วนเวลาขายหุ้นก็คือ เวลาที่สินค้าปรับตัวขึ้นรุนแรงและน่าจะมีความต่อเนื่องไปอีกนานพอสมควร ในช่วงเวลาแบบนั้น ราคาหุ้นก็จะปรับตัวขึ้นโดดเด่นและสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะเมื่อกำไรของบริษัทเพิ่มขึ้นสูงมาก บางทีทำให้ค่า PE เหลือแค่ไม่เกิน 5-6 เท่าก็มี และนั่นก็คือเวลาขายหุ้น อย่าไปคิดว่าหุ้นราคาถูกมากและไม่ยอมขาย
5.ความรู้ทางการเงิน,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1386
Finance
การเงินโลกในปัจจุบัน กำลังปั่นป่วน จากอะไร
null
การเงินโลกในปัจจุบัน กำลังปั่นป่วน จากการใช้นโยบายการเงินแบบขยายตัว(QE) ในกลุ่มประเทศมหาอำนาจ ทำให้เงินที่ถืออยู่ทุก ๆ วันมีมูลค่าน้อยลง และอาจจะเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ตราบเท่าที่สถานการณ์เศรษฐกิจโลกยังซบเซา ตั้งแต่ก่อนโควิด-19 จนมาถึงยุคโควิด-19 ระบาด ยังมองไม่ออกว่าหากไม่ทำ QE หรืออัดฉีดเงินเข้ามาในระบบมาก ๆ เศรษฐกิจกลับมาเป็นปกติ หรือเริ่มฟื้นตัวได้อย่างไร โดยหากเป็นสถานการณ์เดิมๆ เช่นนี้ ทองคำถือว่าเป็นสินทรัพย์ที่เหมาะมาก ๆ ในการที่จะป้องกันหรือคงมูลค่าเงินที่ถืออยู่ได้ แต่ตั้งแต่ต้นปี 2564 มาจนถึงปัจจุบัน ราคาทองคำกลับย่ำอยู่กับที่ แทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย เรียกว่าเป็นปีที่ ทองคำ underperform ที่สุดนับตั้งแต่การปรับตัวขึ้นครั้งใหญ่ในช่วงปี 2018-2020 ถามว่าหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร เมื่อบิทคอยน์ได้ถูกพูดถึงว่าเป็นทองคำดิจิทัล หรือสิ่งที่จะมาแทนที่ทองคำได้ ในอนาคตอันใกล้บิทคอยน์หรือพวกคริปโทเคอร์เรนซี น่าจะมีบทบาทที่มากขึ้นกว่าเดิม และอาจจะโตขึ้นได้เรื่อย ๆ เช่นกัน แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าอยู่ในสมมุติฐานที่ว่า เงินในมือมีโอกาสด้อยค่าลงเรื่อยๆ แล้วละก็นักลงทุนหรือคนที่ต้องการรักษาความมั่งคั่งของตัวเองไว้ ก็ต้องหาแหล่งพักเงินที่มีคุณภาพและได้รับการเชื่อถือมานานก่อน ทำให้ยังไงทองคำ ก็น่าจะยังเป็นเบอร์ 1 ในวงการนี้และยังมองว่าทองคำและบิทคอยน์มีโอกาสที่ไปด้วยกันได้ แต่ทางฝั่งคริปโทเคอร์เรนซี อาจต้องใช้เวลาพิสูจน์สักหน่อย เนื่องจากบิทคอยน์หรือพวกเหรียญคริบโตในปัจจุบันยังถูกจัดอยู่ในหมวดสินทรัพย์เสี่ยงและยังถือว่าเป็นตลาดที่ใหม่อยู่ นั้นหมายความว่ายังมีอุปสรรคและความเสี่ยงที่อาจจะยังไม่เห็นอีกเยอะ เพราะทองคำหรือตลาดหุ้นในยามก่อน ๆ ต่างก็ผ่านสมรภูมิวิกฤตต่าง ๆ มาอย่างโชกโชน ทำให้ตลาดเหล่านี้มีความแข็งแกร่งหรือมีโครงสร้างที่แน่นกว่า ตลาดคริบโตมากนัก อย่างไรก็ตามขอเพียงระยะเวลาหรือบททดสอบ ที่นานพอให้พิสูจน์ว่า ตลาดคริปโต สามารถผ่านอะไรหนัก ๆ ไปได้ โดยเฉพาะตลาดการเงินหลังโควิด-19 ที่ยังไม่รู้ว่าจะพบเจออะไรใหม่ ๆ อีกไหม หากตลาดคริปโตรอดและผู้คนต่างยอมรับมากขึ้น ในไม่ช้า คริปโตก็อาจจะกลายเป็นสกุลเงินทางเลือก หรือแหล่งสะสมความมั่งคั่งได้เช่นกัน
1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1389
Finance
ช่วยเขียนโฆษณาแคมเปญเกี่ยวกับ "เจริญรุ่งกับกองทุน: ความมั่นใจและผลตอบแทนที่สูงสุด!" ให้หน่อย
null
แคมเปญ: "เติมทรัพย์กับกองทุนที่ดีที่สุดในสัปดาห์นี้ สวัสดีชาวลงทุนทุกท่าน! หากกำลังมองหาโอกาสในการลงทุนที่มั่นคงและได้ผลตอบแทนที่ดี มีสิ่งที่ทุกคนต้องการ! แนะนำกองทุนผลตอบแทนเด่นและกองทุนยอดนิยมประจำสัปดาห์ สำหรับสัปดาห์ที่ 2 – 8 ตุลาคม 2564 ที่จะทำให้เติมทรัพย์ได้อย่างมั่นคงและมีกำไร! กองทุนผลตอบแทนเด่น : กองทุนที่มีผลตอบแทนที่โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ เรามุ่งมั่นที่จะให้บริการที่ดีที่สุดในการเติมทรัพย์ของคุณ ด้วยการวิเคราะห์และเลือกสรรสินทรัพย์ที่มีศักยภาพในการเติมทรัพย์ของคุณอย่างมั่นคง กองทุนยอดนิยมประจำสัปดาห์ กองทุนที่ได้รับความนิยมและได้รับการยอมรับจากผู้ลงทุนทั่วไป ด้วยกำไรที่มั่นคงและความเชื่อมั่นจากลูกค้า ขอเสนอสิ่งที่ดีที่สุดให้กับทุกคน ประโยชน์ที่คุณจะได้รับ 1. ความมั่นคงในการลงทุนที่สูงสุด 2. ผลตอบแทนที่น่าพอใจและมั่นคง 3. บริการที่มีคุณภาพและใส่ใจในการดูแลลูกค้า 4. โอกาสในการเติมทรัพย์อย่างมั่นคงและมีความเสี่ยงต่ำ รีบลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมกับเราและเติมทรัพย์ให้มั่นคง! อย่าพลาดโอกาสที่ดีนี้! ติดต่อเราเพื่อรับคำแนะนำและข้อมูลเพิ่มเติมวันนี้เลย! ** สรุปกองทุนผลตอบแทนเด่นและกองทุนยอดนิยมประจำสัปดาห์ (2 – 8 ต.ค. 64)" นำเสนอโอกาสในการลงทุนที่น่าเชื่อถือและมั่นคง โดยเน้นการคัดเลือกลงทุนอย่างประณีตและการบริหารการลงทุนที่มืออาชีพ เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการความมั่นใจในการลงทุน
4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_139
Finance
สิทธิตัวช่วยที่จะช่วยลดค่าใช้จ่ายการท่องเที่ยวจากสถานการณ์โควิด-19 มีอะไรบ้าง
null
สิทธิตัวช่วยที่จะช่วยลดค่าใช้จ่ายการท่องเที่ยวจากสถานการณ์โควิด-19 ได้แก่ 1. โครงการเราเที่ยวด้วยกัน : เป็นโครงการที่รัฐบาลออกมากระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการท่องเที่ยว โดยผู้ใช้สิทธิจะได้รับส่วนลดค่าที่พักเป็นเงินสนับสนุน 40% ของราคาที่พัก คูปองอาหาร 600 บาทต่อห้องต่อคืน ค่าเข้าสถานที่ท่องเที่ยว และเงินสนับสนุน 40% ของค่าตั๋วเครื่องบิน หากวางแผนที่จะไปเที่ยวก็ไม่ควรพลาดสิทธิประโยชน์เหล่านี้ คนที่ยังไม่เคยเข้าร่วมโครงการเราเที่ยวด้วยกัน จะต้องลงทะเบียนก่อน ซึ่งเปิดให้ลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 1/2/65 และจะได้รับสิทธิเมื่อลงทะเบียนสำเร็จ ส่วนคนที่เคยลงทะเบียนโครงการเราเที่ยวด้วยกันในเฟส 1-3 แล้ว ไม่ต้องลงทะเบียนรับสิทธิใหม่ จะได้รับสิทธิในเฟส 4 ทันที ซึ่งสามารถใช้จ่ายในโรงแรม ร้านอาหาร หรือสถานที่ท่องเที่ยวได้ทุกจังหวัดทั่วประเทศภายใน 31 พฤษภาคม 2565 ยกเว้นจังหวัดตามทะเบียนบ้านของผู้ใช้สิทธิ 2. โครงการคนละครึ่งเฟส 4 : เป็นโครงการที่รัฐบาลช่วยออกเงินให้ 50% ไม่เกินวันละ 150 บาท หรือสูงสุดไม่เกิน 1,200 บาท ใช้ได้ถึงวันที่ 30/4/65 ซึ่งมีประโยชน์กับคนที่จะเดินทางไปท่องเที่ยวในช่วงเดือนเมษายน 2565 มากๆ เพราะสามารถนำไปเป็นส่วนลดในการซื้อของกิน ของใช้ได้ ฯลฯ ซึ่งจำนวนสิทธิสำหรับผู้สมัครได้ครบแล้ว ไม่สามารถสมัครเพิ่มได้ ดังนั้นใครที่สมัครทันก็อย่าลืมใช้ให้เป็นประโยชน์ 3. โปรโมชันจากบัตรเครดิต : แนะนำลองเช็กดูบัตรเครดิตหรือแอปพลิเคชันต่างๆ ที่มีอยู่ว่ามีโปรโมชันอะไรบ้างที่ใช้เป็นส่วนลดเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายได้ เช่น ได้รับเงินคืน 100 บาท/บัตร หากเติมน้ำมันที่ปั๊ม ปตท. แล้วจ่ายเงินด้วยบัตร PTT Blue Credit Card หรือ จ่ายเงินค่าน้ำมันรถด้วยแอปพลิเคชัน Blue Connect ถือเป็นอีกสิทธิประโยชน์ที่ต้องบริหารใช้ร่วมกันไปในช่วงฤดูท่องเที่ยวปี 2565
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1390
Finance
ช่วยสรุปเรื่อง "แนวทางการเติบโตตลอดชีวิตโดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร" ให้หน่อยค่ะ
ทั้งหมดนั้นผมคิดว่ามาจากแนวทางและประสบการณ์สำคัญ ๆ ดังต่อไปนี้คือ ข้อแรก ตั้งอยู่ในความสมถะ ไม่ทะนงตนเองเกินไป สอง คือการไม่หยุดศึกษาและอ่านหนังสือตลอดชีวิต สาม คือพยายามทำอะไรที่เป็นการ “ทบต้น” ความหมายคือ เมื่อทำอะไรสำเร็จไปแล้ว ก้าวต่อไปก็ต้องต่อยอดจากความสำเร็จนั้นไม่ต้องเริ่มต้นใหม่ตลอดเวลา สี่ คือพยายามไม่ทำอะไรซ้ำนานเกินไปโดยเฉพาะถ้าสิ่งที่ทำนั้นไม่ได้นำไปสู่ความสำเร็จมากขึ้นอีกแล้ว ผมเคยลองนึกย้อนหลังดูก็พบว่าประมาณทุก 10 ปีชีวิตผมจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญทุกครั้ง และสุดท้ายก็คือ ชีวิตผมดีขึ้นซึ่งรวมถึงความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นเกือบทุกปีเป็นเวลาเกือบ 70 ปีแล้ว และแม้ว่าการดีขึ้นแต่ละปีนั้นมักจะเกิดขึ้นทีละน้อยแต่มัน “ทบต้น” มาตลอด ซึ่งทำให้ความแตกต่างระหว่างวันนี้กับวันที่ผมยังเป็นเด็กเล็กนั้นแตกต่างราวกับ “ฟ้ากับดิน” อย่างไรก็ตาม ผมยังจำชีวิตในช่วงเวลาต่าง ๆ นั้นได้เสมอและเตือนตัวเองว่าผมมาถึงวันนี้ได้อย่างไร ซึ่งข้อสรุปก็คือ ผมไม่ได้มีความสามารถอะไรเป็นพิเศษ ผมเพียงแต่ค่อย ๆ ทำเพิ่มขึ้นและดีขึ้นทีละเล็กละน้อยในสิ่งที่ไม่ได้ยากเกินไปทุกปี
แนวทางการเติบโตตลอดชีวิตโดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร 1. ตั้งอยู่ในความสมถะ 2. ไม่หยุดศึกษาตลอดชีวิต 3. เมื่อทำอะไรสำเร็จแล้ว ก้าวต่อไปต้องต่อยอดจากความสำเร็จโดยไม่ต้องเริ่มต้นใหม่ 4. พยายามไม่ทำอะไรซ้ำนานเกินไป เพราะไม่ได้นำไปสู่ความสำเร็จอีกแล้ว 5. ชีวิตที่ดีขึ้นรวมถึงความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นเกือบทุกปี
6.การบริหารสินทรัพย์,7.การจัดการการเงินส่วนบุคคล
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1391
Finance
กองทุน TMBEAE, M-EM และ WE-DEWORLD มีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง
null
กองทุน TMBEAE และกองทุน M-EM ซึ่งมีกองทุนหลักคือ Baillie Gifford Worldwide Emerging Markets โดย TMBEAE เพิ่งเปลี่ยนกองทุนหลักเมื่อ 8 มีนาคม 2021 ส่วน M-EM เพิ่งจัดตั้งกองทุนใหม่เมื่อ 22 มกราคม 2021 และกองทุน WE-DEWORLD จัดตั้งกองทุนเมื่อ 9 เมษายน 2021 ซึ่งมีกองทุนหลักคือ Arisan Developing World Funds จุดเด่นของกองทุนหลัก - Baillie Gifford Worldwide Emerging Markets ที่กองทุน TMBEAE และ M-EM ไปลงทุนนั้น ได้ 5 ดาว Morningstar โดยข้อมูลล่าสุดเดือนกรกฎาคม 2021 กองทุนหลักลงทุนในหุ้นเพียงแค่ 44 ตัว มีความ High conviction ตามแนวของ Baillie Gifford และเมื่อเทียบกับ MSCI Emerging Market กองทุนได้ underweight จีน overweight บราซิลและรัสเซีย ในส่วนของ sector ก็ overweight กลุ่ม Consumer discretionary, Financials และ underweight กลุ่ม Communication services เมื่อเทียบหุ้นรายตัว ก็มีการ overweight TSMC และ Samsung อีกด้วย - Arisan Developing World Funds ที่กองทุน WE-DEWORLD ไปลงทุน โดยข้อมูลล่าสุดเดือนกรกฎาคม 2021 กองทุนหลักนี้ถือว่ามีความแปลกมาก ๆ เพราะชื่อกองบอกว่าเป็น Developing World แต่เมื่อดูภูมิภาคที่กองทุนไปลงทุนนั้นมีกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (Developed Market) กว่า 51.5% เกินครึ่งอีก ซึ่งใน 51.5% นี้ก็เป็นสหรัฐฯ ไปแล้วกว่า 40.3% ตามด้วยเนเธอร์แลนด์ 7.7% และฝรั่งเศส 3.5% ทั้งนี้กองทุนลงทุนในกลุ่ม EM อย่างเอเชีย 39.5% ซึ่งก็ underweight จีนอยู่ และยังมีลงทุนใน LATAM 7.8% และรัสเซีย 1.2% นอกจากนี้ต้องเรียกว่ากองทุนมีความ Super high conviction เพราะลงทุนในหุ้นเพียง 29 ตัว ซึ่งน้อยกว่า Baillie Gifford ที่ลงทุนในหุ้น 44 ตัว เมื่อดูหุ้นรายตัวก็แตกต่างจาก MSCI Emerging Market แทบทั้งหมด เมื่อเห็นภูมิภาค และหุ้นที่กองทุนไปลงทุนแบบนี้แล้ว ก็ไม่ต้องแปลกใจเลยถ้าจะเห็นผลตอบแทนมีความผันผวนหนักกว่ากองทุนของ Baillie Gifford มาก ค่าธรรมเนียม - TMBEAE: TER = 1.788%, FE = 1.5% - M-EM: TER = 1.958%, FE = 1.5% - WE-DEWORLD: TER = 1.95%, FE = 1.605% การป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน - TMBEAE: ป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจ - M-EM: ป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจ - WE-DEWORLD: ป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจ (ข้อมูล ณ 31 July 2021 อยู่ที่ 91.02%)
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1392
Finance
จากข้อมูลของ Bloomberg ในเดือนกันยายน 2021 มีกองทุน ETF หุ้นทั่วโลกออกใหม่เปิดซื้อขายแล้วถึง 35 กองทุน และมี 3 Thematic ETFs ที่น่าสนใจ ซึ่งได้แก่กองทุนอะไรบ้าง
null
จากข้อมูลของ Bloomberg ในเดือนกันยายน 2021 มีกองทุน ETF หุ้นทั่วโลกออกใหม่เปิดซื้อขายแล้วถึง 35 กองทุน และมี 3 Thematic ETFs ที่น่าสนใจ ดังนี้ กองทุนแรก คือ Goldman Sachs Future Tech Leaders Equity ETF ตัวย่อ GTEK Active ETF ที่ตั้งเป้าหมายลงทุนในบริษัท Technology แห่งอนาคตที่ยังไม่เป็นที่รู้จักในปัจจุบัน ถือเป็น Thematic ETF ที่ 3 ของ Goldman Sachs ต่อจาก GSFP (GS Future Planet Equity ETF) และ GINN (GS Innovate Equity ETF) กองทุนที่สอง คือ WisdomTree Carbon ตัวย่อ CARB เปิดตัวในฝั่งยุโรป โดยเป็น ETP Managed Future ตั้งเป้าหมายทำผลตอบแทนตามราคาของ European Union Carbon Emission Allowances (ICE EUA) เทียบได้กับราคาของ Carbon ที่ซื้อขายบนเป้าหมายของการลดภาวะโลกร้อน กองทุนที่สาม คือ ETFMG Breakwave Sea Decarbonization Tech ETF ตัวย่อ BSEA ลงทุนในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งทางทะเล และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการลดการปล่อยคาร์บอนในอุตสาหกรรมเดินสมุทร สำหรับ Thematic Investor ต้องจับตาทิศทางของบอนด์ยีลด์ ตลาดแรงงาน และนโยบายเศรษฐกิจ และต้องระวังว่าหลายธีมอาจยังไม่หยึดปรับฐาน การที่เงินเฟ้อกลับขึ้นมาเป็นปัญหาสำคัญของโลกตะวันตก เป็นเหตุผลที่จะหนุนให้บอนด์ยีลด์ทั่วโลกไม่ปรับตัวลงไปในระดับต่ำ ขณะเดียวกัน ธนาคารกลางก็มีแนวโน้มที่จะส่งสัญญาณนโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น ทำให้ธีมลงทุนที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีแห่งอนาคตมีความเสี่ยงปรับฐานได้อีก
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1395
Finance
จงเขียนเรื่องสั้น เรื่อง "The NFT Bible: คู่มือสำหรับการเข้าใจและประยุกต์ใช้ Non-Fungible Tokens" ให้หน่อย
null
หนังสือเก่าที่อยู่บนชั้นหนังสือของชุมชนดิจิทัล ได้ถูกหยิบออกมาอีกครั้ง เป็นหนังสือที่รองรับได้กับยุคสมัยใหม่ๆ โดยเฉพาะเมื่อพูดถึงเทคโนโลยีบล็อกเชนและ NFT หรือ Non-Fungible Token นั้นที่กำลังเป็นกระแสสุดฮิตในวงการศิลปะและอินเทอร์เน็ตในช่วงหลังจากนี้ เมื่อก้าวเข้าสู่โลกของ NFT จะพบว่ามันไม่ได้เป็นเพียงการสะสมของรูปภาพหรือวีดีโอธรรมดา เมื่อเห็น NFT มันเหมือนเป็นศิลปะที่เกิดขึ้นอย่างเป็นนิสัย แต่มีความพิเศษเพราะมีลายละเอียดที่เอื้อมถึงเทคโนโลยีแบบเจาะลึกอย่างบล็อกเชน ในตำนานของโลก NFT มีหนังสือเล่มหนึ่งที่นับถือว่าเป็น "The NFT Bible" หนังสือนี้ไม่ใช่เพียงเรื่องสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับ NFT เท่านั้น แต่มันเป็นการสร้างสรรค์ที่ยิ่งใหญ่เกินกว่านั้น เป็นชนิดของพิมพ์เล่มพิเศษที่ใช้เทคโนโลยี NFT ในการตระเวนคุ้มครองข้อมูลและทรัพย์สินทางปัญญาของมันเอง หนังสือนี้ถูกเขียนขึ้นโดยนักเขียนชื่อดังในวงการเทคโนโลยีและศิลปะดิจิทัล มีข้อมูลที่ครอบคลุมทุกด้านของ NFT ตั้งแต่ประวัติของการพัฒนามาจนถึงการใช้งานและการประยุกต์ใช้ในวงการศิลปะ หนังสือนี้ไม่เพียงแต่เป็นที่สำคัญสำหรับนักเรียนที่ศึกษาเกี่ยวกับเทคโนโลยีและศิลปะดิจิทัล แต่ยังเป็นแหล่งข้อมูลที่ไร้เทียมทานสำหรับนักลงทุนและนักสะสมศิลปะที่กำลังเข้ามาในโลกของ NFT อย่างจริงจัง "The NFT Bible" เป็นการผสมผสานของความรู้ทางวิชาการและประสบการณ์จริงจากผู้เชี่ยวชาญ และมันไม่เพียงเป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่จะอยู่บนชั้นหนังสือของนักอ่าน แต่มันเป็นแหล่งอ้างอิงที่น่าสนใจและควรมีสำหรับผู้ที่ต้องการทราบเกี่ยวกับภาพรวมของโลก NFT ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน
4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_14
Finance
การลงทุนในทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) มีข้อดีอย่างไรเมื่อเทียบกับการลงทุนในตราสารหนี้หรือหุ้น?
null
การลงทุนใน REITs หรือทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์มีข้อดีหลายประการเมื่อเทียบกับการลงทุนในตราสารหนี้หรือหุ้น ดังนี้ 1.อัตราเงินปันผลที่สูงกว่า: ในสถานการณ์ที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ การลงทุนใน REITs มีความน่าสนใจเนื่องจากอัตราเงินปันผลที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยตราสารหนี้ ตัวอย่างเช่น ในตลาดหลักอย่างสหรัฐฯ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ออสเตรเลีย และยุโรป อัตราเงินปันผลของ REITs อยู่ที่ระดับ 3.5 - 5.0% ซึ่งสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยพันธบัตร 10 ปีที่อยู่ระหว่าง -0.3 - 2.1% การที่อัตราเงินปันผลของ REITs สูงกว่าเช่นนี้ ทำให้การลงทุนใน REITs เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการหาผลตอบแทนที่สูงขึ้น 2.ผลตอบแทนรวมที่น่าสนใจ: นอกจากเงินปันผลแล้ว REITs ยังมีผลตอบแทนรวมที่ใกล้เคียงกับการลงทุนในหุ้น ซึ่งหมายความว่าผู้ลงทุนสามารถได้รับผลตอบแทนจากการเปลี่ยนแปลงด้านราคาและเงินปันผลที่จ่ายออกมา อย่างไรก็ตาม การลงทุนใน REITs มีความผันผวนน้อยกว่าการลงทุนในหุ้น ทำให้อัตราผลตอบแทนต่อความเสี่ยงอยู่ในระดับสูงกว่า ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ REITs เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลดความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุนของตน 3.การกระจายความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ: การลงทุนใน REITs สามารถช่วยกระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุนได้ดี เนื่องจาก REITs ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่มีตัวตนจริง เช่น อาคารสำนักงาน ห้างสรรพสินค้า โรงแรม และอพาร์ตเมนต์ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มีความคงทนและมักมีรายได้สม่ำเสมอจากการเช่า การมีอสังหาริมทรัพย์เป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตการลงทุนจึงช่วยลดความเสี่ยงที่มาจากการลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินที่มีความผันผวนสูง 4.การบริหารทรัพย์สินโดยมืออาชีพ: REITs มักมีทีมผู้จัดการสินทรัพย์ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการบริหารทรัพย์สิน ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับสินทรัพย์และเพิ่มรายได้จากการเช่า การมีมืออาชีพในการบริหารทรัพย์สินช่วยให้ผู้ลงทุนมั่นใจได้ว่าการลงทุนใน REITs จะได้รับการดูแลและบริหารจัดการอย่างดี
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1400
Finance
สมาชิกคณะกรรมการเฟด คาดการณ์อัตราดอกเบี้ยปี 2023 ณ เดือนกันยายน 2021 เป็นเท่าไหร่ ระหว่าง 0.75% หรือ 0.5%
null
0.75% เพราะสมาชิกคณะกรรมการเฟด คาดการณ์อัตราดอกเบี้ยปี 2023 ณ เดือนกันยายน 2021 เป็น 0.75% (ขึ้นดอกเบี้ย 2 ครั้ง) ส่วน 0.5% เป็นเปอร์เซ็นต์ที่สมาชิกคณะกรรมการเฟด คาดการณ์อัตราดอกเบี้ยปี 2023 ณ เดือนกรกฎาคม 2021 ผลการประชุมนัดสำคัญของธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด เมื่อคืนวันที่ 22 กันยายน 2021 เฟดทำการประกาศแนวทางการลดการซื้อพันธบัตรสหรัฐที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ น้อยกว่าที่คาดไว้ โดยมิได้ระบุอะไรใด ๆ ในผลการประชุมของเฟดที่ประกาศออกมาในถ้อยแถลงอย่างเป็นทางการ มีแต่เพียงการพูดผ่านทางวาจาว่าน่าจะเริ่มลด QE ในช่วงต้นปี 2022 สำหรับความเร็วในการลด QE น่าจะใช้เวลาราว ๆ 6 เดือน โดยกล่าวในทางวาจาว่าจะเริ่มลด QE ในช่วงต้นปี 2022 และเสร็จสิ้นในตอนกลางปี 2022 รวมถึงบอกว่าจะมีความยืดหยุ่นในความเร็วของการลด โดยคำนึงถึงสภาพเศรษฐกิจในช่วงเวลานั้น ๆ การคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยในอนาคตของสมาชิกคณะกรรมการเฟดแต่ละท่าน หรือ Dot Plot มีหน้าตาเป็นดังนี้ ปี ระดับดอกเบี้ย (คาดการณ์ ณ กันยายน 2021) ระดับดอกเบี้ย (คาดการณ์ ณ กรกฎาคม 2021) 2022 0.25% (ขึ้นดอกเบี้ย 1 ครั้ง) 0% (ขึ้นดอกเบี้ย 0 ครั้ง) 2023 0.75% (ขึ้นดอกเบี้ย 2 ครั้ง) 0.5% (ขึ้นดอกเบี้ย 2 ครั้ง) 2024 1.75% ระยะยาว 2.5% 2.5% ท้ายสุด ภาพเศรษฐกิจสหรัฐ หรือ Economic outlook ของสมาชิกเฟด ปี 2021 เศรษฐกิจสหรัฐน่าจะชะลอลงหรือจีดีพีเติบโตลดลงร้อยละ 1 โดยมองว่าจีดีพีสหรัฐปี 2021 จะโตอยู่ที่ราวร้อยละ 5 ลดลงจากร้อยละ 6 ที่เคยคาดไว้ แต่ปี 2022 สมาชิกเฟดคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัวได้ดีขึ้น โดยคาดว่าจะโตขึ้นมาเป็นร้อยละ 4 จากร้อยละ 3.5 ด้านอัตราการว่างงานสหรัฐ ในปี 2021 น่าจะสูงขึ้นเล็กน้อยจากที่คาดก่อนหน้าเป็นร้อยละ 4.8 และในปี 2022 น่าจะลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ร้อยละ 3.7
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1401
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ทิศทางต่อไปของทองคำ เมื่อเฟดส่งสัญญาณการปรับลดวงเงิน QE ในช่วงปลายปี 2021
null
หลังจากที่เฟดส่งสัญญาณการปรับลดวงเงิน QE ในช่วงปลายปี 2021 ทองคำจะมีสถานการณ์อย่างไรต่อไป มันจะส่งผลให้สกุลเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นจากการคาดการณ์ดอกเบี้ยล่วงหน้าของนักลงทุน ทำให้ราคาทองคำในต่างประเทศมีการฉุดลงและมีเค้าว่าจะปรับแนวโน้มขาลง หรือนักลงทุนอาจจะไม่สนใจมันเลยก็ได้ ในทางกลับกัน ผลจากการที่สกุลเงินดอลลาร์แข็งค่า จะทำให้ค่าเงินบาทไทยอ่อนลง เป็นสาเหตุที่ทำให้ทองคำแท่งในไทยไม่ได้รับผลกระทบมากเท่าไร แต่ถ้าการอ่อนค่าของค่าเงินบาทไทยมีแนวโน้มมากกว่ากาฉุดลงของทองคำในต่างประเทศ ก็มีโอกาสที่ทองแท่งในไทยจะปรับตัวขึ้นสวนทางกับทองในต่างประเทศ บทเรียนจากย่อหน้าข้างต้น จากแถลงการณ์ของเฟดที่ส่งสัญญาณอย่างชัดเจนว่าจะเริ่มปรับลดวงเงิน QE (QE tapering) ในช่วงปลายปี 2021 พร้อมกับส่งสัญญาณว่าจะมีการขึ้นดอกเบี้ยหลังจากการสิ้นสุด QE ซึ่งกรอบเวลาคือในช่วงกลางปี 2022 นั้น หมายความว่าเฟดจะทำการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้น 1 ปี จากที่เคยประกาศไว้ว่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงปี 2023 หลังจากที่เฟดประกาศแบบนี้แล้ว สถานการณ์ต่อไปของทองคำจะเป็นอย่างไร ถือว่าเป็นข่าวร้ายของตลาดการลงทุนทองคำ เนื่องจากข่าวนี้อาจจะส่งผลให้สกุลเงินดอลลาร์มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นอย่างมากจากการคาดการณ์ดอกเบี้ยล่วงหน้าของนักลงทุน ซึ่งจะฉุดให้ราคาทองคำในต่างประเทศส่อแววปรับเป็นแนวโน้มขาลงหรือไม่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอีกต่อไป อย่างไรก็ตามผลพวงของสกุลเงินดอลลาร์ที่มีแนวโน้มแข็งค่า ในอีกทางหนึ่งก็ส่งผลให้ค่าเงินบาทเราอ่อนตามไปเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ทองคำแท่งในไทยมีโอกาสที่จะทรง ๆ หรืออาจไม่ได้รับผลกระทบมากนัก อีกทั้งถ้าผลของการอ่อนค่าของค่าเงินบาทมีมากกว่าการล่วงลงของทองคำในต่างประเทศ อาจเห็นทองแท่งในไทยปรับตัวขึ้นสวนทองต่างประเทศได้เช่นกัน
4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1402
Finance
เกม Big Time มีระบบ Time Machine – NFT ไอเทม ที่เปรียบเสมือนกับอะไร
ก. ห้องส่วนตัวที่สามารถตกแต่งตามความต้องการได้ ข. ทีมผจญภัย ค. ระบบ Class ของตัวละคร ง. ระบบอาวุธภายในเกม
ข้อที่ถูกต้องได้แก่ ก. เนื่องจาก Big Time คือ NFT เกมส์แนว MMORPG ที่ถูกพัฒนาโดย Big Time Studios โดยภายในตัวเกมนั้นจะได้สวมบทบาทเป็นเหมือนนักผจญภัยที่ต้องออกไปผจญภัยในช่วงเวลาต่าง ๆ โดยในแต่ละช่วงเวลานั้นก็จะพบเจอกับสิ่งมีชีวิตในช่วงเวลานั้น ๆ และยังรวมไปถึงบุคคลที่มีชื่อเสียงอีกด้วย รูปแบบการเล่น จะเป็นการจับทีมผจญภัยไปในช่วงเวลาต่าง ๆ ร่วมกันเคลียร์ภารกิจในช่วงเวลานั้น ๆ โดยจะได้รับไอเทมต่าง ๆ ระหว่างการเคลียร์ภารกิจไปด้วย ซึ่งไอเทมที่ได้รับมานั้นจะมาในรูปแบบของ NFT ที่สามารถนำมาซื้อ-ขาย แลกเปลี่ยนกับผู้เล่นคนอื่น ๆ ได้ (โมเดล Play-2-Earn ที่หลาย ๆ เกมเลือกใช้) หรือ จะเลือกเก็บมาใช้เองเพื่อทำให้ตัวละครเก่งขึ้นก็ได้เช่นกัน ตัวเกมยังมีระบบ Time Machine – NFT ไอเทม ที่เปรียบเสมือนกับห้องส่วนตัวที่สามารถตกแต่งตามความต้องการได้ จะใช้เป็นที่พักผ่อนจากการผจญภัย หรือจะจัดแสดงงานศิลปะ ให้กับผู้เล่นคนอื่นสามารถเข้ามาดูก็ทำได้เช่นกัน Class ภายในเกม Big Time นั้นมีอยู่ด้วยกัน 4 คลาสด้วยกันคือ Time Warrior, Chronomanacer, Shadowblade และ Quantum Fixer ซึ่งผู้เล่นนั้นสามารถเลือกเล่นได้อย่างอิสระและสามารถสลับสับเปลี่ยนไปยังคลาสอื่น ๆ ได้เสมอ ไม่จำเป็นต้องเล่นคลาสเดียวไปตลอด
5.ความรู้ทางการเงิน,1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_1404
Finance
กองทุน KF-HJAPAND คืออะไร?
null
KF-HJPAND คือ ตัวกองทุนกวาดรางวัลในช่วงล่าสุดมาถึง 3 รางวัลถ้วน ส่วนกลยุทธ์และผลงานแบบเจาะลึกของกองทุนที่ว่าจะเป็นอย่างไรไปพิสูจน์กันผ่านบทความนี้ 5 เหตุผลทำไมหุ้นญี่ปุ่นถึงมีจังหวะที่น่าลงทุน นายทาโร โคโนะ ได้รับคะแนนนิยมสูงสุดในการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีครั้งถัดไปของญี่ปุ่น โดยมีการเปิดเผยว่า เขาจะพยายามผลักดันการเปิดใช้งานโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์อีกครั้ง เพื่อบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ให้เป็นศูนย์ภายในปี 2050 สะท้อนให้เห็นถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและแผนการลงทุนขนาดใหญ่ที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต ชาวญี่ปุ่นในตอนนี้ได้รับวัคซีนมากกว่า 50% ของประชากรทั้งหมดในขณะที่อัตราการฉีดวัคซีนเฉลี่ยในตอนนี้สูงถึง 1.2 ล้านโดส จึงอาจทำให้ญี่ปุ่นเข้าสู่ภาวะภูมิคุ้มกันหมู่ในอีกไม่ช้า ซึ่งปัจจัยนี้อาจช่วยหนุนนำให้ญี่ปุ่นสามารถฟื้นตัวและเริ่มวัฏจักรเศรษฐกิจใหม่อีกครั้ง ปัจจัยนี้สอดคล้องกับปัจจัยก่อนหน้าโดยประมาณการ GDP จาก Bloomberg ชี้ให้เห็นว่าการเติบโตของ GDP ญี่ปุ่น ถูกปรับขึ้นต่อเนื่องนับตั้งแต่การระบาดระลอกใหม่ที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ ดัชนี TOPIX หนึ่งในตัวแทนหุ้นญี่ปุ่นมีประมาณการกำไรต่อหุ้น (EPS) ที่สูงกว่าดัชนี S&P 500 มาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2021 และมีปัจจัยกระตุ้นทางด้านราคาอย่างการลาออกของคุณ โยชิฮิเดะ ซูงะ ในขณะที่ประมาณการกำไรของแต่ละอุตสาหกรรมในญี่ปุ่นก็ได้มีการปรับประมาณการขึ้นในเชิงบวกต่อเนื่องเช่นเดียวกัน เกิดสัญญาณทางเทคนิคอย่างการทำนิวไฮของราคาซึ่งหากนับจากสถิติตั้งแต่ปี 2005 นั้น สัญญาณที่ว่าเกิดขึ้นมาแล้ว 6 ครั้ง และสามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยได้ 27.10% ในช่วง 8-14 เดือน ในขณะที่ใน Timeframe Weekly ดัชนี TOPIX ได้ทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบ 30 ปี ในขณะที่ Indicators อย่าง MACD ได้ตัดขึ้นและสามารถยืนเหนือเส้น 0 ได้ บ่งบอกถึงสัญญาณในการเข้าซื้อ (Buy Signal)
4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1406
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ปัจจัยที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จีนมีลักษณะเฉพาะตัวที่แตกต่างจากประเทศอื่น
null
สาเหตุที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศจีนมีลักษณะเฉพาะตัวที่แตกต่างจากประเทศอื่น สาเหตุแรกก็คือ บริษัทอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ส่วนมากจะมีความเป็น conglomerate หรือ การประกอบธุรกิจหลาย ๆ อย่างพร้อมกัน สาเหตุต่อมา รัฐบาลท้องถิ่นตามมลรัฐและเมืองต่าง ๆ จะได้รับรายได้ที่ใหญ่มาก ๆ จากการขายที่ดินให้กับริษัทอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ และสาเหตุสุดท้ายคือ มีบริษัทอสังหาริมทรัพย์ขนาดกลางแห่งหนึ่ง ขอเอกสารเพิ่มเติมในการถือหุ้นกับบริษัทที่เป็นพรรคพวกของตนเองในรูปแบบหุ้นส่วน โดยรายได้ส่วนใหญ่มาจากบริษัทหุ้นส่วนมากกว่าบริษัทตนเอง จึงเป็นที่มาที่รัฐบาลจีนเข้มวงดกับการตรวจสอบการออกตราสารหนี้ในรูปแบบ Off-balance sheet รวมถึงการถือหุ้นจากการร่วมทุนกับบริษัทอื่น ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์เป็นพิเศษ ทำให้การออกหุ้นกู้สกุลเงินดอลลาร์ขทำได้ยากขึ้นนั่นเอง บทเรียนจากย่อหน้านี้ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จีนมีลักษณะเฉพาะตัวที่ออกจะแตกต่างจากประเทศอื่นอยู่ 3 ประการ ได้แก่ 1. บริษัทอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ของจีน ส่วนใหญ่มีความเป็น conglomerate กล่าวคือประกอบธุรกิจหลาย ๆ อย่างไปพร้อมกัน อาทิ Evergrande ยังทำธุรกิจน้ำดื่ม ทีมฟุตบอล และรถยนต์ ซึ่งทำให้การกู้ยืมกันระหว่างกันข้ามสายธุรกิจสามารถที่จะทำได้ รวมถึงมีการออกตราสาร Wealth Management Product หรือหน่วยลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีซึ่งไม่ได้อยู่ภายใต้การคุ้มครองของแบงก์ชาติจีนเพื่ออกขายให้ชาวจีนทั่วไป 2. รัฐบาลท้องถิ่นตามมลรัฐและเมืองต่าง ๆ ของจีน ได้รับรายได้ก้อนใหญ่จากการขายที่ดินให้กับบรรดาบริษัทอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ของจีน 3. มีบริษัทอสังหาฯ จีนขนาดกลางแห่งหนึ่ง ที่มีบริษัทตรวจสอบบัญชี Big 4 ขอเอกสารเพิ่มเติมในส่วนของการถือหุ้นกับบริษัทที่เป็นพรรคพวกของตนเองในรูปแบบของหุ้นส่วน โดยที่รายได้ส่วนใหญ่ของบริษัทนั้น มาจากบริษัทหุ้นส่วนมากกว่าของตนเอง นอกจากนี้ ยังมีบริษัทบริษัทอสังหาฯ จีนขนาดกลางที่หุ้นกู้ในรูปแบบสกุลเงินดอลลาร์มูลค่า 350 ล้านดอลลาร์ ที่ถูกเทขายจนราคาเกิดส่วนลดลงไปราวร้อยละ 15 ในช่วงกลางปีที่ผ่านมา ในช่วงนี้ รัฐบาลจีนจึงเข้มกับการตรวจสอบการออกตราสารหนี้ในรูปแบบ Off-balance sheet รวมถึงการถือหุ้นในส่วนของการร่วมทุนกับบริษัทอื่น ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ของจีนเป็นพิเศษ ทำให้การออกหุ้นกู้สกุลเงินดอลลาร์ของบริษัทเหล่านี้ในฮ่องกงทำได้ยากขึ้น
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1407
Finance
ข้อใดเป็นข้อได้เปรียบของไทยพาณิชย์ หลังประกาศปรับโครงสร้างครั้งใหญ่โดยการแยกธุรกิจแบงก์และธุรกิจอื่น ๆ ระหว่าง การเป็นผู้นำที่ประกาศบุกธุรกิจยุคดิจิทัลอย่างเต็มตัว หรือ วัฒนธรรมขององค์กรและของพนักงาน
null
การเป็นผู้นำที่ประกาศบุกธุรกิจยุคดิจิทัลอย่างเต็มตัว เพราะการเป็นผู้นำที่ประกาศบุกธุรกิจยุคดิจิทัลอย่างเต็มตัว เป็นข้อได้เปรียบของไทยพาณิชย์ หลังประกาศปรับโครงสร้างครั้งใหญ่โดยการแยกธุรกิจแบงก์และธุรกิจอื่น ๆ รวมถึงการปรับโครงสร้างกลุ่มบริษัทเพื่อให้พร้อมที่จะทำธุรกิจเหล่านั้นทำให้สามารถจับ “หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์” ที่เป็นผู้นำที่ให้บริการระบบโทรศัพท์มือถือและ/หรือผู้ที่มีความเชี่ยวชาญและให้บริการเกี่ยวกับฟินเทคหรือธุรกิจดิจิตอลอื่น ๆ อยู่แล้วแต่ยังมีขนาดเล็กในตลาดเป้าหมาย เป็นต้น อย่าลืมว่า ในธุรกิจสตาร์ทอัพทั้งหลายนั้น การเป็นผู้นำและการบุกอย่างรวดเร็วนั้น เป็นปัจจัยสำคัญมากต่อความสำเร็จในธุรกิจ ส่วนวัฒนธรรมขององค์กรและของพนักงาน เป็นข้อเสียเปรียบของไทยพาณิชย์ หลังประกาศปรับโครงสร้างครั้งใหญ่โดยการแยกธุรกิจแบงก์และธุรกิจอื่น ๆ หรือว่าที่จริงก็คือ แบงค์แบบดั้งเดิมทุกแบงก์ในการเข้ามาทำธุรกิจสตาร์ทอัพ ประเด็นแรกก็คือ อายุของผู้บริหารนั้นน่าจะค่อนข้างสูงค่าที่ว่าเป็นธนาคารที่เก่าแก่และผู้บริหารส่วนใหญ่นั้นอยู่กับธนาคารมานาน การที่จะคิดหรือตัดสินใจต่าง ๆ ก็อาจจะ “ตามของใหม่ไม่ทัน” นอกจากนั้น นายแบงก์ส่วนใหญ่นั้นมักจะมีความคิดแบบอนุรักษ์นิยมและกลัวความเสี่ยงมากกว่าคนที่ทำสตาร์ทอัพซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ที่คุ้นเคยกับเทคโนโลยีดิจิทัลมากกว่า รวมถึงกล้าที่จะรับความเสี่ยงมากกว่าปกติ ทางแก้ของแบงก์ก็คือ การนำบุคลากรรุ่นใหม่เข้ามาทำงานแบบใหม่จากภายนอก แต่นี่จะเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนโดยเฉพาะถ้าพนักงานส่วนใหญ่ก็ยังคงเป็นพนักงานแบงก์เดิมที่คุ้นเคยกับวัฒนธรรมเดิม ทางแก้อีกทางหนึ่งก็คือการ “เปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม” ในด้านของความคิดและการทำงานผ่านผู้นำใหม่ที่จะต้อง “ปฏิวัติ” องค์กรใหม่
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Classification
cc-by-nc-4.0
Finance_1408
Finance
REIT คืออะไร?
REIT ย่อมาจาก Real Estate Investment Trust คือ กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ หน้าที่หลักของกองนี้คือ เข้าไปบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างรายได้ได้อย่างต่อเนื่อง แล้วก็นำผลกำไรที่ได้มาจ่ายเป็นเงินปันผลให้กับนักลงทุน บางครั้งกอง REIT จะเรียกรวมไปถึงกลุ่ม Property Fund และ Infrastructure Fund ด้วย เพราะมีลักษณะการลงทุนคล้ายกัน แต่ปัจจุบัน Property Fund จะไม่มีออกมาใหม่แล้ว เพราะ กลต. จะให้ออกในรูปของ REIT ทั้งหมด กองทุนอสังหาริมทรัพย์ ทั้ง REIT / Property Fund / Infrastructure Fund เป็นกองทุนปิด จะมีการเปิด IPO ให้นักลงทุนครั้งเดียว แล้วก็ให้ซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์เหมือนซื้อขายหุ้นตัวหนึ่ง รายได้ของกองทุนจะมาจากการ “เก็บค่าเช่า” ในอสังหาริมทรัพย์ที่ไปลงทุนนั้นๆ เช่น ห้างสรรพสินค้า อาคารสำนักงาน สถานที่จัดแสดงสินค้า หรือพวกนิคมอุตสาหกรรม เป็นต้น โดยธรรมชาติของ REIT จะจ่ายเงินปันผลสูง 5 – 7% ต่อปี ซึ่งสร้างรายได้ให้กับนักลงทุนอย่างสม่ำเสมอ และความผันผวนก็อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าการลงทุนในหุ้นพอสมควร ปัจจัยที่ส่งผลต่อมูลค่าของ REIT ได้แก่ ทำเลและสภาพเศรษฐกิจ ถ้าเกิดทำเลดี เศรษฐกิจดี ผู้เช่าก็จะเยอะ และสามารถขึ้นค่าเช่าได้ อีกปัจจัยหนึ่ง คือ เรื่องความน่าสนใจของ REIT ในมุมมองของนักลงทุนในช่วงนั้น เพราะกอง REIT ซื้อขายเหมือนหุ้นตัวหนึ่ง ถ้าคนสนใจมากราคาก็จะสูง ถ้าคนสนใจน้อยราคาก็จะต่ำ ความน่าสนใจของ REIT จะขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ยในช่วงนั้น ถ้าช่วงที่ดอกเบี้ยเป็นขาลง ผลตอบแทนที่ค่อนข้างคงที่ของ REIT จะน่าดึงดูด แต่ช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น ผลตอบแทนที่คงที่จะน่าสนใจน้อยลง
REIT ย่อมาจาก Real Estate Investment Trust แปลไทยคือ กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ หน้าที่หลักของกองนี้คือ เข้าไปบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างรายได้ได้อย่างต่อเนื่อง แล้วก็นำผลกำไรที่ได้มาจ่ายเป็นเงินปันผลให้กับนักลงทุน บางครั้งกอง REIT จะเรียกรวมไปถึงกลุ่ม Property Fund และ Infrastructure Fund ด้วย เพราะมีลักษณะการลงทุนคล้ายกัน แต่ปัจจุบัน Property Fund จะไม่มีออกมาใหม่แล้ว เพราะ กลต. จะให้ออกในรูปของ REIT ทั้งหมด กองทุนอสังหาริมทรัพย์ ทั้ง REIT / Property Fund / Infrastructure Fund เป็นกองทุนปิด จะมีการเปิด IPO ให้นักลงทุนครั้งเดียว แล้วก็ให้ซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์เหมือนซื้อขายหุ้นตัวหนึ่ง รายได้ของกองทุนจะมาจากการ “เก็บค่าเช่า” ในอสังหาริมทรัพย์ที่ไปลงทุนนั้นๆ เช่น ห้างสรรพสินค้า อาคารสำนักงาน สถานที่จัดแสดงสินค้า หรือพวกนิคมอุตสาหกรรม เป็นต้น โดยธรรมชาติของ REIT จะจ่ายเงินปันผลสูง 5 – 7% ต่อปี ซึ่งสร้างรายได้ให้กับนักลงทุนอย่างสม่ำเสมอ และความผันผวนก็อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าการลงทุนในหุ้นพอสมควร ปัจจัยที่ส่งผลต่อมูลค่าของ REIT ได้แก่ ทำเลและสภาพเศรษฐกิจ ถ้าเกิดทำเลดี เศรษฐกิจดี ผู้เช่าก็จะเยอะ และสามารถขึ้นค่าเช่าได้ อีกปัจจัยหนึ่ง คือ เรื่องความน่าสนใจของ REIT ในมุมมองของนักลงทุนในช่วงนั้น เพราะกอง REIT ซื้อขายเหมือนหุ้นตัวหนึ่ง ถ้าคนสนใจมากราคาก็จะสูง ถ้าคนสนใจน้อยราคาก็จะต่ำ ความน่าสนใจของ REIT จะขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ยในช่วงนั้น ถ้าช่วงที่ดอกเบี้ยเป็นขาลง ผลตอบแทนที่ค่อนข้างคงที่ของ REIT จะน่าดึงดูด แต่ช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น ผลตอบแทนที่คงที่จะน่าสนใจน้อยลง
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1409
Finance
จงบอกฟังก์ชั่นต่าง ๆ ในแอปพลิเคชั่น และเว็บไซต์ของ กบข.
null
กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เป็นระบบออมเกษียณภาคบังคับสำหรับข้าราชการโดยเฉพาะ เป็นหนึ่งในระบบออมเกษียณภาคบังคับในประเทศไทย นอกเหนือไปจากการออมในกองทุนชราภาพประกันสังคม และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอย่างฝั่งบริษัทเอกชน ในภาพรวมแล้ว ทั้ง 3 กองทุนนี้ก็มีลักษณะคล้าย ๆ กัน คือ เป็นการออมภาคบังคับ ที่เมื่อฝั่งลูกจ้างออม จะมีนายจ้างหรือรัฐบาลช่วยออมให้ด้วย และเงินที่สะสมแต่ละปีก็สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ การบริการข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับการตัดสินใจลงทุน ในหน้าเว็บไซต์ของ กบข. จะมีบริการข้อมูล Fund fact sheet รายแผนการลงทุน มีการชี้แจงสถานะและสัดส่วนการลงทุนในแต่ละสินทรัพย์ของแต่ละแผนการลงทุนอย่างละเอียด รวมถึงการอัปเดตผลตอบแทนการลงทุนย้อนหลังของแต่ละกองเอาไว้ค่อนข้างเป็นปัจจุบัน แผนที่ให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 5 ปีสูงสุด ณ สิ้นปี 2563 เป็นแผนผสมหุ้นทวี ซึ่งให้ผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 5.24% ต่อปี ฟังก์ชั่นต่าง ๆ ในแอปพลิเคชั่น และเว็บไซต์ของ กบข. - บริการนัดหมายบริการข้อมูลการเงิน โดยสมาชิกสามารถนัดวางแผนการเงินกับผู้เชี่ยวชาญที่ได้จัดไว้ให้ด้วยการจองเวลาผ่านแอปได้เลย - มีการจัดทำสื่อที่ให้ความรู้การเงินการลงทุนแก่สมาชิก - มีสิทธิประโยชน์ร้านค้าต่าง ๆ มากมาย เช่น ส่วนลดค่าน้ำมัน ส่วนลดค่าตั๋วเครื่องบิน - มีฟังก์ชั่นคำนวณเงินเกษียณ โดยจะดึงข้อมูลเงินสะสม เงินสมทบ ผลตอบแทนย้อนหลังของแผนการลงทุนที่เลือกอยู่มาคำนวณให้ เพื่อหาส่วนต่างของเงินที่ควรออมเพิ่ม
4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_141
Finance
ช่วยสรุปบทความ เปิดโอกาสซื้ออสังหาฯราคาย่อมเยา ด้วย NPA
ที่อยู่อาศัยหรือบ้านเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ และด้วยสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด 19 นอกจากจะส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมแล้ว ยังกระทบตลาดอสังหาฯอีกด้วย จากการเปิดเผยข้อมูลไนท์แฟรงค์(บริษัทที่ปรึกษาทางด้านอสังหาริมทรัพย์)* ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา จำนวนยูนิตของคอนโดที่เปิดใหม่ในกรุงเทพ ลดลงถึง 65% จากในช่วงก่อนโควิดกว่า 60,000 ยูนิต ในปี 2563 ลดลงเหลือ 22,000 ยูนิต และปี 2564 เหลือ 11,000 ยูนิต ซึ่งถือเป็นโอกาสของผู้ที่ซื้อเป็นที่อยู่อาศัยที่จะได้คอนโดที่มีราคาขายถูกขนาดนี้ เนื่องจากกำลังซื้อในประเทศลดลงจากคนตกงานหรือถูกลดเงินเดือน รวมทั้งกำลังซื้อจากต่างชาติหายไปจากการล็อกดาวน์และเดินทางเข้าประเทศยากขึ้น สอดคล้องกับข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ปี 2564 ของ Terra BKK (ผู้ให้บริการ Market Place ด้านอสังหาริมทรัพย์)** ที่ออกมาเปิดเผยว่า ภาพรวมอสังหาฯ โครงการ(เปิดตัว)ใหม่ลดลงทุกประเภท (บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์​ คอนโด​) โดยราคาของคอนโดปรับตัวลดลง 10-15% ทุกทำเล ในขณะที่ราคาบ้​านเดี่ยวกลับสวนกระแสปรับสูงขึ้น 20% จากราคาเฉลี่ย 6.2 ล้านบาท ในปี 2562 เพิ่มเป็น 8 ล้านบาท ในปี 2563 แล้วถ้ามองหาบ้านเดี่ยวสักหลัง คงต้องพึ่งตลาดบ้านมือสอง เพื่อให้ได้ราคาย่อมเยาและเข้าถึงได้ ​ ​3 วิธีซื้ออสังหาฯราคาต่ำกว่าราคาตลาด​​​​​​​ ​​​​​​​​​​​​​​ สำหรับตลาดบ้านมือสอง จะช่วยให้เพิ่มโอกาสได้ราคาอสังหาฯต่ำกว่าราคาตลาด โดยมี 3 วิธีการใหญ่ๆ ดังนี้ 1) ประมูลทรัพย์จากกรมบังคับคดี จุดเด่น คือ จะมีราคาถูกกว่าท้องตลาดประมาณ 30%-50% ขึ้นอยู่กับปัจจัยทำเล สภาพบ้าน เป็นต้น โดยผู้ที่ต้องการประมูลจะต้องค้นหาทรัพย์และรอบประมูลทรัพย์นั้นจากกรมบังคับคดี (www.led.go.th) ข้อมูลสำคัญผู้ที่สนใจซื้อทรัพย์ขายทอดตลาดควรรู้ คือ ลักษณะบ้านหรือทรัพย์ที่จะซื้อ ราคาประมูลเริ่มต้น จำนวนเงินที่วางเป็นหลักประกัน (ไม่น้อยกว่า 5% ของราคาประเมิน) โดยหากประมูลทรัพย์ได้ จะต้องชำระเงินส่วนที่เหลือภายในกำหนด อีกสิ่งหนึ่งที่ควรรู้ คือ หากมีผู้พักอาศัยหรือผู้เช่าเดิมอยู่ แต่ไม่ยอมย้ายออก สามารถยื่นฟ้องต่อศาลที่ทรัพย์ตั้งอยู่เพื่อขอให้ศาลออกหมายบังคับคดี และให้เจ้าพนักงานบังคับคดีขับไล่แทนโดยไม่ต้องฟ้องใหม่ 2) ทรัพย์ฝากขาย คือ ทรัพย์ที่ยังเป็นกรรมสิทธิ์ของบุคคลอื่น และเป็นหลักประกันของธนาคาร นำมาฝากธนาคารช่วยขายใน Website (เช่น ธนาคารกสิกรไทย) โดยการตัดสินใจอยู่ที่ผู้จะขาย เงื่อนไขการขาย ราคา ผู้จะซื้อต้องตกลงกับผู้จะขายเอง นอกจากนี้ ยังมีทรัพย์ที่ผู้ขายต้องการเงินด่วน จะเป็นอีกแนวทางที่ทำให้ซื้ออสังหาฯต่ำกว่าราคาตลาดได้เช่นกัน 3) ทรัพย์รอการขาย NPA (Non-Performing Asset) เป็นทรัพย์ที่ธนาคารซื้อมาจากการขายทอดตลาดจากกรมบังคับคดี ซึ่งเป็นทรัพย์ที่ลูกหนี้นำมาเป็นหลักประกันการกู้เงินและหลุดจำนอง หรือทรัพย์ที่ธนาคารได้มาจากการตีมูลค่าทรัพย์สินเพื่อชำระหนี้คืนธนาคาร รวมถึงทรัพย์ที่ธนาคารไม่ใช้ประโยชน์แล้ว ขอยกตัวอย่างทรัพย์รอการขายของธนาคารกสิกรไทย โดยผู้ที่สนใจ สามารถค้นหาทรัพย์ได้ที่ K-Property ใน Website ของธนาคารกสิกรไทย ซึ่งจะมีทั้งทรัพย์ที่ธนาคารเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์แล้ว และทรัพย์ฝากขายตามข้อ 2 ด้วย ข้อมูลที่สำคัญใน Website เช่น ทรัพย์ที่เราสนใจ อยู่ในสถานะพร้อมขาย หรือมีผู้ใช้ประโยชน์อยู่ ทรัพย์เป็นทรัพย์ฝากขาย (ตามข้อ 2) หรือกำลังจะโอนกรรมสิทธิ์หรือเป็นกรรมสิทธิ์ของธนาคารแล้ว ซึ่งจะช่วยให้ผู้ที่สนใจใช้ตัดสินใจได้เบื้องต้น หากจะนัดดูทรัพย์สามารถกดติดต่อเจ้าหน้าที่ผ่าน Website หรือ K-Contact Center (02-888-8888) ได้เลย โดยหากต้องการซื้อทรัพย์ จะมีขั้นตอน ดังนี้ 1. เสนอซื้อผ่าน Website ทรัพย์รอการขาย(https://www.kasikornbank.com/th/PropertyForSale​) เท่านั้น 2. ชำระเงิน 1% ของราคาเสนอซื้อ ผ่าน K-PLUS 3. รอแจ้งผลการอนุมัติผ่าน SMS ภายใน 5 วันทำการ และทางไปรษณีย์ 4. กรณีได้รับอนุมัติขาย ลูกค้าจะต้องทำสัญญาจะซื้อจะขาย และวางมัดจำการซื้อให้ครบ 10% ของราคาอนุมัติขาย ภายใน 15 วัน นับจากวันที่มีหนังสือแจ้งผลการอนุมัติ 5. ลูกค้าจะต้องโอนกรรมสิทธิ์ภายใน 30 วัน นับจากวันที่ทำสัญญาจะซื้อจะขาย หมายเหตุ: ทรัพย์ใน Website (K-Property) จะมีทั้งทรัพย์ฝากขาย และทรัพย์รอการขาย NPA​​​​ ​3 เหตุผลที่ NPA น่าสนใจ​​​​​​​ ​​​​​​​​​​​​​​ 1) ราคาต่ำกว่าท้องตลาดประมาณ 10-20% อาจจะมีมากหรือน้อยกว่านี้ ขึ้นอยู่กับสภาพของบ้านและทำเลที่ตั้งด้วย ในบางช่วงจะมีราคาโปรโมชัน 2) ทำเลที่ตั้ง ซึ่งบ้านมือสองมีข้อได้เปรียบด้านนี้ เนื่องจากโครงการบ้าน(เปิด)ใหม่จะขยับออกไปชานเมืองมากขึ้น หากต้องการทำเลในเมือง ตลาดมือสอง คือ คำตอบ 3) กรณีต้องการขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินที่เป็นเจ้าของทรัพย์ NPA จะมีสิทธิพิเศษจากโปรโมชันของธนาคาร กู้ได้วงเงินเยอะ ระยะเวลาผ่อนยาว ขึ้นอยู่กับสถาบันการเงิน และเงื่อนไขอื่นๆ เช่น ยกเว้นค่าประเมินราคา อัตราดอกเบี้ยพิเศษ ทั้งนี้อยู่ที่เงื่อนไขที่ตกลงกัน อย่างไรก็ตาม ผู้ที่สนใจซื้อ NPA ต้องเข้าไปชมทรัพย์ เพื่อตรวจสอบสภาพทรัพย์ รวมถึงบุคคลอาศํยอยู่ในทรัพย์นั้น (ถ้ามี) ซึ่งใน Website K-Property จะใช้คำว่า “มีผู้ใช้ประโยชน์” และถ้าเขาไม่ให้เข้าไปดูสภาพบ้าน จะทำให้เราไม่สามารถประเมินค่าซ่อมแซมหรือปรับปรุงได้ชัดเจน​​​​ ​เรื่องต้องเตรียมตัวเมื่อจะซื้อบ้าน NPA ​​​​​​​ ​​​​​​​​​​​​​​ 1) ดูสภาพจริงของทรัพย์ เพราะราคาที่ถูกกว่าตลาด เป็นการซื้อขายทรัพย์ตามสภาพ เพื่อพิจารณาความคุ้มค่าระหว่างราคาที่ถูกกว่าท้องตลาด และค่าตกแต่งซ่อมแซมเพิ่มเติม 2) ศึกษาขั้นตอนของการซื้อทรัพย์ เพื่อประเมินจำนวนเงินที่ต้องชำระและระยะเวลา โดยเฉพาะกรณีขอสินเชื่อต้องเผื่อระยะเวลาขออนุมัติด้วย และดีที่สุด ควรขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินเจ้าของทรัพย์ เพื่อยืดหยุ่นเงื่อนไขต่างๆ เช่น ระยะเวลาในการดำเนินการต่างๆ รวมถึงอัตราดอกเบี้ย และสิทธิพิเศษอื่นๆด้วย ซึ่งเงื่อนไขขึ้นอยู่กับแต่ละสถาบันการเงิน 3) ประเมินค่าใช้จ่ายทั้งก่อน และหลังโอนกรรมสิทธิ์ เช่น ค่าตกแต่งซ่อม ค่าธรรมเนียมในการโอน ค่าจดจำนอง ค่าอากรแสตมป์ เป็นต้น การซื้อบ้านมือสองจากทรัพย์รอการขาย (NPA) ถือเป็นทางเลือกที่ดี อย่าลืมให้ความสำคัญกับสิ่งที่ต้องพิจารณาก่อนตัดสินใจซื้อ เช่น การตรวจสอบสภาพบ้าน ประเมินค่าใช้จ่ายในการตกแต่งซ่อมแซมเพิ่มเติม รวมทั้งหากต้องการขอสินเชื่อควรประเมินวงเงินให้เพียงพอกับค่าใช้จ่ายต่างๆในการซื้อบ้าน ดังนั้น ก่อนตัดสินใจซื้อทรัพย์รอการขาย (NPA) ควรพิจารณาข้อดีและข้อระวังเพื่อให้เกิดความคุ้มค่ามากที่สุด
สถานการณ์โควิด-19 ทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ลดลง โครงการคอนโดในกรุงเทพลดลง 65% เปรียบเทียบกับก่อนโควิด ด้วยจำนวนยูนิตลดลงจาก 60,000 เป็น 22,000 ในปี 2563 และ 11,000 ในปี 2564 ผู้ซื้อที่สนใจที่อยู่อาศัยมีโอกาสได้รับราคาคอนโดที่ถูกลง 10-15% ส่วนบ้านเดี่ยวราคาสูงขึ้น 20% จากราคาเฉลี่ย 6.2 ล้านบาทในปี 2562 เพิ่มเป็น 8 ล้านบาทในปี 2563 ยังมีบ้านมือสองเป็นทางเลือกที่มีราคาย่อมเยาและเข้าถึงได้ 3 วิธีซื้ออสังหาฯราคาต่ำกว่าตลาด 1.ประมูลทรัพย์จากกรมบังคับคดี ที่มีราคาถูกกว่าท้องตลาดประมาณ 30%-50% 2.ทรัพย์ฝากขายผ่านธนาคาร ยังมีทรัพย์ที่ผู้ขายต้องการเงินด่วน จอสังหาฯต่ำกว่าราคาตลาดได้เช่นกัน 3.ทรัพย์รอการขาย NPA (Non-Performing Asset) ที่เกิดจากการขายทอดตลาดหรือกรมบังคับคดี 3 เหตุผลที่ NPA น่าสนใจ 1.ราคาต่ำกว่าท้องตลาดประมาณ 10-20% ขึ้นอยู่กับสภาพของบ้านและทำเลที่ตั้ง 2.ทำเลที่ตั้งมีความสำคัญ เนื่องจากบ้านมือสองมีโอกาสตั้งอยู่ในทำเลที่ดี 3.มีสิทธิพิเศษจากโปรโมชันของธนาคารหากต้องการขอสินเชื่อ เช่น วงเงินเยอะ ระยะเวลาผ่อนยาว และเงื่อนไขพิเศษอื่นๆ อย่างไรก็ตาม ควรตรวจสอบสภาพทรัพย์และบุคคลในทรัพย์ก่อนการซื้อ​ เตรียมตัวเมื่อจะซื้อบ้าน NPA 1.ตรวจสอบสภาพทรัพย์เพื่อประเมินความคุ้มค่าที่สุด 2.ศึกษาขั้นตอนการซื้อทรัพย์และขอสินเชื่อ พิจารณาเงื่อนไขที่ดีที่สุดจากสถาบันการเงิน 3.ประเมินค่าใช้จ่ายทั้งก่อนและหลังโอนกรรมสิทธิ์ เพื่อให้การซื้อเป็นไปอย่างคุ้มค่า​
5.กลยุทธ์การลงทุน
Summarization
cc-by-nc-4.0
Finance_1410
Finance
นักลงทุนต่างชาติควรขายหุ้นจีนทั้งหมดทิ้งในตอนนี้หรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: ปัญหา Evergrande ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีนทั้งหมด: Evergrande เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์เพียงแห่งเดียวที่เผชิญปัญหาสภาพคล่อง เศรษฐกิจจีนยังมีภาคส่วนอื่น ๆ ที่เติบโตดี เช่น เทคโนโลยี การบริโภคภายในประเทศ และการส่งออก รัฐบาลจีนมีนโยบายสนับสนุนเศรษฐกิจ: รัฐบาลจีนได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลายอย่าง เช่น การลดอัตราดอกเบี้ย การเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐ และการสนับสนุนภาคธุรกิจ ตลาดหุ้นจีนมี Valuation ที่น่าสนใจ: ดัชนี MSCI China A-Shares มี P/E Ratio อยู่ที่ 12.5 เท่า ซึ่งถือว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว เงินหยวนมีแนวโน้มแข็งค่า: เงินหยวนมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะส่งผลดีต่อนักลงทุนต่างชาติ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนต่างชาติควร: เลือกหุ้นอย่างระมัดระวัง: ควรเลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีแนวโน้มการเติบโตสูง และไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหา Evergrande กระจายความเสี่ยง: ไม่ควรลงทุนในหุ้นจีนเพียงอย่างเดียว ควรกระจายเงินลงทุนไปยังสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ และภูมิภาคอื่น ๆ ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด: ควรติดตามข่าวสารเกี่ยวกับเศรษฐกิจจีน นโยบายของรัฐบาล และผลประกอบการของบริษัทที่ลงทุน สรุป: นักลงทุนต่างชาติไม่ควรขายหุ้นจีนทั้งหมดทิ้งในตอนนี้ แต่ควรเลือกหุ้นอย่างระมัดระวัง กระจายความเสี่ยง และติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1411
Finance
ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับ My DeFi Pet
A. NFT Game แนวจำลองการทำเหมืองเพชรที่ถูกพัฒนาขึ้นอยู่บน Cross-chain อย่าง Binance Smart Chain และ Kardia Chain B. NFT Game แนวจำลองการปลูกต้นไม้ที่ถูกพัฒนาขึ้นอยู่บน Cross-chain อย่าง Binance Smart Chain และ Kardia Chain C. NFT Game แนวจำลองการเลี้ยงสัตว์ที่ถูกพัฒนาขึ้นอยู่บน Cross-chain อย่าง Binance Smart Chain และ Kardia Chain D. NFT Game แนวจำลองการสร้างบ้านที่ถูกพัฒนาขึ้นอยู่บน Cross-chain อย่าง Binance Smart Chain และ Kardia Chain
คำตอบได้แก่ C. เนื่องจาก My DeFi Pet คือ NFT Game แนวจำลองการเลี้ยงสัตว์ที่ถูกพัฒนาขึ้นอยู่บน Cross-chain อย่าง Binance Smart Chain และ Kardia Chain ตัวเกมนั้นมาในรูปแบบของ Play-2-Earn หมายความว่านอกจากการที่เราจะเล่นเพื่อความสนุกเพียงอย่างเดียวแล้วเรายังจะสามารถสร้างรายได้จากการเล่นเกมขึ้นอีกด้วย จากการขายสัตว์เลี้ยงต่าง ๆ ภายในเกม ที่อาจจะมาจากการประมูล หรือจาก Event ต่าง ๆ ภายในเกม ระบบต่าง ๆ ภายในเกม ระบบหลัก ๆ ที่อยู่บนตัวเกมส์นั้นจะแบ่งออกเป็น 6 ส่วนด้วยกันคือ Collect, Breed, Evolve, Season and Event, Battle, Trading-Ranking & Social Features
5.ความรู้ทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_1414
Finance
สูตรเลือกหุ้นสไตล์ Peter Lynch เขามีวิธีการเลือกหุ้นอย่างไร?
null
สูตรเลือกหุ้นสไตล์ “Peter Lynch” เขามีวิธีการเลือกหุ้นอย่างไรให้ได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 29% ต่อปีตลอด 13 ปี ลงทุนในสิ่งที่คุณรู้ดีหรือเป็นลูกค้า เลือกหุ้นที่ดีในราคาที่สมเหตุผล – Peter Lynch ปรัญชาการลงทุน เชื่อว่ารายย่อยได้เปรียบรายใหญ่และสถาบันในด้านความยืดหยุ่น ไม่มีข้อบังคับและกฎระเบียบในการเลือกหุ้น และไม่ต้องสนใจผลการดำเนินงานในระยะสั้น และเชื่อว่าเราสามารถพบหุ้นที่ดีได้ในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่บทวิเคราะห์หรือผู้เชี่ยวชาญ แบ่งหุ้นตาม Peter Lynch 1. หุ้นโตเร็ว 2. หุ้นแข็งแรง 3. หุ้นโตช้า 4. หุ้นวัฏจักร 5. หุ้นฟื้นตัว 6. หุ้นทรัพย์สินมาก สไตล์หุ้นที่ชอบ • มองบริษัทก่อนอุตสาหกรรม • หุ้นขนาดเล็ก-กลาง เติบโตเร็ว • มีจุดแข็งชัดเจน คนใช้ซ้ำ • กำไรเพิ่มเฉลี่ย >20% ต่อปี • PE/Growth น้อยกว่า 1 • ถือยาวจนกว่าพื้นฐานจะเปลี่ยน หรือเกินมูลค่า คำเตือน ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน
5.ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1416
Finance
กองทุน K-USA-A หรือ K USA Equity Fund จาก บลจ.กสิกรไทย (KAsset) มีนโยบายลงทุนในกองทุนใดเป็นกองทุนหลัก (Master Fund)
null
กองทุน K-USA-A หรือ K USA Equity Fund จาก บลจ.กสิกรไทย (KAsset) มีนโยบายลงทุนในกองทุน Morgan Stanley US Advantage Fund เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ กองทุนหลักเน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทในสหรัฐอเมริกาที่มีขีดความสามารถในการแข่งขันที่สูงเป็นหลัก โดยมีนโยบายเลือกหุ้นแบบ Bottom-Up ไม่ได้อิงตามดัชนี ปัจจัยความเสี่ยงของกองทุน K-USA-A: กองทุน K-USA-A จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงสูงระดับ 6 โดยมีปัจจัยความเสี่ยงในด้านต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ - ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน: มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนบางส่วน โดยป้องกันไม่น้อยกว่า 75% ของเงินลงทุนในต่างประเทศ (ยกเว้น KUSARMF ที่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน โดยป้องกันประมาณ 50-100% ของเงินลงทุนในต่างประเทศ) - ความเสี่ยงจากการลงทุนกระจุกตัว: มีการลงทุนกระจุกตัวในประเทศสหรัฐฯ และหมวดอุตสาหกรรม Information Technology และ Communication Services ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ของกองทุน K-USA-A: - ค่าธรรมเนียมการจัดการ: 1.2840% ค่าธรรมเนียมการขาย: - K-USA-A(A) และ K-USA-A(D): 1.50% - K-USA-SSF: ยกเว้น - KUSARMF: ไม่มี ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายรวม: - K-USA-A(A), K-USA-A(D) และ K-USA-SSF: 1.3789% - KUSARMF: 1.3466% ข้อมูลจาก K-USA-A Fund Factsheet ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2564 เงินลงทุนขั้นต่ำในการลงทุน K-USA-A: มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรกและครั้งถัดไป: 500 บาท (ทุกชนิด)
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1417
Finance
จะเกิดอะไรขึ้น เมื่อ Evergrande อสังหาจีนล้ม ในปี 2021
null
เอเวอร์แกรนด์นั้น  บริษัทอยู่ในอุตสาหกรรมพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของจีนซึ่งมีการเติบโตร้อนแรงมาต่อเนื่องยาวนานอานิสงค์จากการที่จีนมีการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่รวดเร็วมากที่ทำให้คนจีนมีรายได้มากขึ้นมากและต้องการซื้อบ้านหรืออสังหาริมทรัพย์  ไม่ใช่แค่อยู่อาศัย  แต่ถือว่าเป็นการลงทุนด้วย  ดังนั้น  อุตสาหกรรมก่อสร้างที่อยู่อาศัยและอสังหาริมทรัพย์อื่น ๆ  จึงเป็นอุตสาหกรรมที่ใหญ่มากและมีสัดส่วนใน GDP สูงมากถึงประมาณ 10 สิบเปอร์เซ็นต์  และลูกหนี้เงินกู้ของธนาคารจำนวนมหาศาลก็เกี่ยวข้องกับภาคธุรกิจนี้  อย่างไรก็ตาม  การเพิ่มขึ้นของราคาของอสังหาริมทรัพย์ก็ทำให้ราคาปรับตัวสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ จนถึงจุดที่อาจจะเป็น “ฟองสบู่” ในหลาย ๆ  เมือง  และนักวิเคราะห์บางคนก็มองว่ามีโอกาสที่ฟองสบู่อสังหาจีนอาจจะ “แตก” ได้ในวันหนึ่ง  และถ้าฟองสบู่แตก  ก็มีโอกาสที่เศรษฐกิจจีนอาจจะเกิด “วิกฤติ” อย่างที่เคยเกิดในหลายแห่งทั่วโลก การผิดนัดชำระหนี้ของเอเวอร์แกรนด์ซึ่งเป็นบริษัทที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศและมีหนี้มหาศาลนั้น  หลายคนคิดว่ามันอาจจะเป็นตัว “จุดประกาย” ให้เกิดวิกฤติตามมาถ้าไม่มีคนมาช่วยแก้ไขไม่ให้บริษัทล้มละลายซึ่งจะส่งผลต่อคนที่เกี่ยวข้องจำนวนมากรวมถึงสถาบันการเงินและนักลงทุนของบริษัท  นาทีนี้ดูเหมือนว่าไม่น่าจะมีใครนอกจากรัฐบาลจีนที่จะสามารถเข้ามากู้หรือแก้ไขปัญหานี้ได้ สิ่งที่จะเป็นไปน่าจะออกในแนวทางดังต่อไปนี้ 1.เอเวอร์แกรนด์น่าจะ “ไม่รอด” เมื่อคำนึงถึงนโยบายของสีจิ้นผิงเมื่อเร็ว ๆ  นี้ที่เปลี่ยนแปลงไปจากการที่เน้น  “ทุนนิยม” และเอื้อต่อธุรกิจขนาดใหญ่มาเป็นการเน้นสร้างความเท่าเทียมให้กับประชาชน  ดังนั้น  ผมคิดว่ารัฐบาลจีนคงปล่อยให้เอเวอร์แกรนด์ล้มละลายและรัฐบาลก็จะดูแลแค่ลูกค้ารายย่อยที่ซื้อบ้านของบริษัท  ส่วนเจ้าหนี้รายใหญ่โดยเฉพาะที่เป็นสถาบันการเงินและนักลงทุนในตลาดทุนก็จะต้องรับผิดชอบความเสียหายกันเอง 2.สถาบันการเงินส่วนใหญ่ที่เป็นเจ้าหนี้นั้น  น่าจะมีจำนวนมากและไม่น่าจะมีรายไหนที่จะปล่อยกู้มากจนเสียหายหนักขนาดที่จะล้มได้อันเนื่องมาจากความเสียหายที่เกี่ยวข้องกับเอเวอร์แกรนด์รวมถึงซัพพลายเออร์ซึ่งก็น่าจะกระจายไปมากเช่นเดียวกัน ดังนั้น การล้มต่อเนื่องน่าจะมีน้อย 3.“ฟองสบู่” ของอสังหาริมทรัพย์จีนนั้น  คงไม่แตกเพราะเอเวอร์แกรนด์เจ๊ง อุตสาหกรรมอสังหาของจีนใหญ่กว่าขนาดของเอเวอร์แกรนด์มาก  ราคาของอสังหาอาจจะปรับตัวลดลงบ้างเล็กน้อยเมื่อมีการ “ชำระบัญชี” คือการตัดขายสินทรัพย์ทั้งหมดอย่างรวดเร็วซึ่งแน่นอนว่าในราคาที่ลดลง  แต่เนื่องจากสภาพคล่องทางการเงินของจีนซึ่งก็น่าจะคล้ายสถานการณ์ของโลกที่สูงมากในช่วงนี้  ก็น่าจะทำให้มีคนต้องการซื้ออสังหาที่ถูกเทขายออกมามาก  ผลก็คือ  คนที่ถือทรัพย์สินที่เป็นอสังหาริมทรัพย์อยู่อาจจะไม่ได้ขาดทุนรุนแรงและก่อให้เกิดปัญหาขึ้นทั้งระบบ
4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1422
Finance
การลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซีเหมาะกับทุกคนหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: ความเสี่ยงสูง: คริปโทเคอร์เรนซีมีความผันผวนสูง ราคาอาจขึ้นลงอย่างรวดเร็ว ความรู้: ผู้ลงทุนควรมีความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีบล็อกเชน คริปโทเคอร์เรนซี และกลยุทธ์การลงทุน กฎระเบียบ: กฎระเบียบเกี่ยวกับคริปโทเคอร์เรนซียังอยู่ในระหว่างการพัฒนา สภาพคล่อง: ตลาดคริปโทเคอร์เรนซียังมีสภาพคล่องน้อย ความปลอดภัย: มีความเสี่ยงจากการถูกโจรกรรมทางไซเบอร์ รายละเอียด: ความเสี่ยงสูง: คริปโทเคอร์เรนซีมีความผันผวนสูง ราคาอาจขึ้นลงอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาสั้น ๆ ตัวอย่าง: ราคา Bitcoin เคยพุ่งสูงถึง 64,000 ดอลลาร์สหรัฐในปี 2021 ราคา Bitcoin เคยร่วงลงต่ำกว่า 20,000 ดอลลาร์สหรัฐในปี 2023 สาเหตุ: ปัจจัยทางเทคนิค เช่น ปริมาณการซื้อขาย ปัจจัยทางข่าว เช่น กฎระเบียบใหม่ ความรู้: ผู้ลงทุนควรมีความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีบล็อกเชน คริปโทเคอร์เรนซี และกลยุทธ์การลงทุน ตัวอย่าง: เข้าใจวิธีการทำงานของเทคโนโลยีบล็อกเชน เข้าใจประเภทของคริปโทเคอร์เรนซี เข้าใจกลยุทธ์การลงทุน เช่น การเทรด การถือระยะยาว กฎระเบียบ: กฎระเบียบเกี่ยวกับคริปโทเคอร์เรนซียังอยู่ในระหว่างการพัฒนา สถานะปัจจุบัน: ยังไม่มีกฎหมายรองรับคริปโทเคอร์เรนซีในไทย อยู่ในระหว่างการพัฒนาพระราชบัญญัติสินทรัพย์ดิจิทัล ความเสี่ยง: กฎระเบียบใหม่ที่อาจส่งผลกระทบต่อราคาคริปโทเคอร์เรนซี ความเสี่ยงทางกฎหมาย สภาพคล่อง: ตลาดคริปโทเคอร์เรนซียังมีสภาพคล่องน้อย ปัญหา: อาจยากที่จะซื้อหรือขายคริปโทเคอร์เรนซีในบางช่วงเวลา อาจเกิดปัญหา slippage สูง ความปลอดภัย: มีความเสี่ยงจากการถูกโจรกรรมทางไซเบอร์ ตัวอย่าง: การโจมตีแลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซี การหลอกลวงทางออนไลน์ วิธีป้องกัน: เก็บคริปโทเคอร์เรนซีในกระเป๋าเงินที่ปลอดภัย ระมัดระวังการหลอกลวงทางออนไลน์ สรุป: การลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซีมีความเสี่ยงสูง เหมาะกับนักลงทุนที่มีความรู้ ประสบการณ์ และสามารถรับความเสี่ยงได้ คำเตือน: ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้ละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน
1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1423
Finance
จงสรุปบทความ อยากเริ่มต้นกับ Bitcoin แต่ไม่รู้จะจัดพอร์ตกี่ % ดี
ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสินทรัพย์ดิจิทัลในตอนนี้ เพราะราคาขึ้นมาสูงและสักพักก็ปรับฐานลงมาลึก หลังจากนั้น Rebound กลับมาทดสอบแถว ๆ High เดิมอีก ทำให้ผู้ที่สนใจไม่ว่านักลงทุนหรือนักเก็งกำไรมีความสับสนลังเลกับทิศทางของสินทรัพย์ดิจิทัลว่าจะเป็นอย่างไรต่อไปในอนาคต แม้หลายท่านจะเริ่มเชื่อว่า สินทรัพย์ชนิดนี้อาจจะเติบโตขึ้นได้อีกพอสมควร หลังจากที่มีข่าวการเข้ามาของสถาบันการเงินขนาดใหญ่ทั่วโลก เริ่มสนใจ เริ่มลงทุน กันมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว สถาบันการลงทุนหลายแห่งแนะนำลูกค้าให้เพิ่มน้ำหนักในสินทรัพย์ดิจิทัล สถาบันการเงินการลงทุนชื่อดังใน Wall Street เริ่มออกมาให้คำแนะนำลูกค้าของตนเองเกี่ยวกับการเพิ่มน้ำหนักพอร์ตลงทุนว่าควรแบ่งเงินบางส่วนมา “ถือครอง” สินทรัพย์ดิจิทัลโดยเฉพาะ Bitcoin ที่เป็นเหรียญขนาดใหญ่ มีน้ำหนักกว่า 45% ของตลาดรวมทั้งหมด ซึ่งแต่ละสถาบันก็จะมีมุมมองในอนาคตที่แตกต่างกันรวมถึงน้ำหนักการลงทุนที่แนะนำก็ต่างกันออกไปด้วย มีตั้งแต่ 1% ของพอร์ตไปจนถึงไม่เกิน 20% ของพอร์ต จึงเป็นที่มาของบทความนี้ที่อยากจะลองย้อนเวลาทดสอบอดีตดูว่า การแบ่งเงิน “บางส่วน” มาลงทุน/เก็งกำไรใน Bitcoin จะให้ผลลัพธ์เป็นอย่างไร และเจ้าคำว่าบางส่วนที่ว่านั่น ประมาณไหนถึงเรียกว่าเหมาะสม น้ำหนักการลงทุนที่แตกต่าง กับผลลัพธ์ที่นักลงทุนต้องเลือก อันดับแรกก่อนจะนำผลลัพธ์มาให้ดูกันต้องบอกก่อนว่าน้ำหนักการลงทุนที่แตกต่างกัน ล้วนให้ผลที่ต่างกันแน่นอน แต่ไม่มีผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับทุกคนนะครับ บางแบบอาจให้ผลลัพธ์ดีแต่ความผันผวนสูง บางแบบผันผวนต่ำผลตอบแทนพอใช้ได้ ขึ้นอยู่กับโจทย์ทางการเงินของเรา เวลาในการติดตามสินทรัพย์นั้น และความสบายใจของตัวเรา จึงไม่มีวิธีที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน เงื่อนไขการทดสอบ เงื่อนไขในการทดสอบนั้นเราหยิบกลยุทธ์เส้นค่าเฉลี่ยสองเส้นที่นักลงทุนหลายท่านใน FINNOMENA คุ้นเคยกันดีคือเส้นค่าเฉลี่ยตัดกัน เราจึงขอนำวิธีง่าย ๆ นี้มาระบุแนวโน้มว่าช่วงนี้ควรถือ Bitcoin หรือควรขายออกไปซึ่งจะใช้เส้นค่าเฉลี่ย 7วัน (1 สัปดาห์) และเส้นค่าเฉลี่ย 30 วัน (1 เดือน) ส่วนโจทย์สำคัญที่เราต้องการทดสอบก็คือ น้ำหนักการลงทุนเท่าไรดี และแต่ละแบบแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน โดยเราจะลองทดสอบทั้งหมด 4 ครั้งดังนี้ แบ่งเงินลงทุนใน Bitcoin 1% ของพอร์ต แบ่งเงินลงทุนใน Bitcoin 5% ของพอร์ต แบ่งเงินลงทุนใน Bitcoin 10% ของพอร์ต แบ่งเงินลงทุนใน Bitcoin 20% ของพอร์ต แล้วเงินส่วนที่เหลือจะถือเป็นเงินสด เมื่อลงทุนใน Bitcoin ไปแล้วได้ผลลัพธ์เช่นไร จะนำมารวมกับเงินสดและคำนวณน้ำหนักการลงทุนใหม่ทุกครั้ง เป็นการ Reinvest ทันที ช่วงเวลาการทดสอบตั้งแต่วันที่ 1/1/2015- 30/6/2021 เงินลงทุนเริ่มต้น 1 ล้านบาท แบ่งเงินลงทุนใน Bitcoin 1% ของพอร์ต การแบ่งเงินเพียง 1% มาลงในสินทรัพย์ชนิดใดก็ตาม ฟังดูเป็นเรื่องตลกที่น่าจะไม่มีคนทำเพราะออกแนวเหนื่อยเปล่า ได้ก็ได้ไม่เยอะ แต่กินพลังงานพอ ๆ กันแต่ผลการทดสอบนี้จะทำให้ทุกท่านเห็นภาพมากขึ้นว่า 1% ก็สร้างผลกระทบได้เช่นกัน จากรูปจะสังเกตเห็นว่าเงิน 1% ที่มาอยู่ใน Bitcoin นั้นให้ผลลัพธ์ที่น่าสนใจเช่นกัน กราฟด้านซ้ายคือกราฟเงินทุน กราฟด้านขวาคือความผันผวนของพอร์ตระหว่างทางหรือก็คือ Drawdown เพราะกว่า 6 ปี 6 เดือนที่ผ่านมานั้น พอร์ตโตขึ้นถึง 10% แม้จะใช้เงินต่อครั้งที่เข้าซื้อ Bitcoin แค่ 1% เท่านั้นเอง ส่วน Max DD% อยู่ที่ 1.8% และเฉลี่ยอยู่ที่ 0.5% โดยประมาณเท่านั้น แบ่งเงินลงทุนใน Bitcoin 5% ของพอร์ต น้ำหนักการลงทุนที่ 5% ก็ยังดูน้อยเกินไปในความคิดของนักลงทุน/เก็งกำไร ถือให้สินทรัพย์นั้นได้กำไรเยอะก็เหมือนจะไม่มีผลต่อพอร์ตโดยรวมสักเท่าไร แต่ลงมาดู 5% ใน Bitcoin กันบ้างครับ การเพิ่มน้ำหนักขึ้นอีกหน่อยทำให้ผลรวมในพอร์ตดีขึ้นอย่างมาก โตมาประมาณ 60% ตลอดหลายปี ส่วน Max DD% นั้นอยู่ที่ 8% กว่า ค่าเฉลี่ย Drawdown ประมาณ 3-4% เท่านั้นเอง แบ่งเงินลงทุนใน Bitcoin 10% ของพอร์ต น้ำหนักประมาณนี้คือวิธีที่หลายคนเลือกใช้ เพราะง่ายดี 10% ต่อตัว ต่อสินทรัพย์ น้ำหนักพอไหว กระจายการลงทุนได้ ลองมาดูกันว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรครับ แม้จะแบ่งเงินเพียง 10% ก็ยังทำให้พอร์ตโดยรวมได้ผลตอบแทนที่โดดเด่น และความเสี่ยงไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ Max DD% อยู่ที่ 15% ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 6% ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่หลายคนรับไหว บางคน Stop Loss ต่อไม้ลึกกว่า 6% ของพอร์ตด้วยซ้ำ แบ่งเงินลงทุนใน Bitcoin 20% ของพอร์ต แบบนี้ถือว่าจัดหนักเหมือนกัน แต่ก็มีสถาบันและนักลงทุนชื่อดังหลายท่านที่ออกมาให้สัมภาษณ์สื่อเกี่ยวกับน้ำหนักการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลว่าควรให้น้ำหนักมากขึ้น แต่ไม่เกิน 20% ของพอร์ต เราเลยขอทดสอบดูว่าพอร์ตจะผันผวนมากแค่ไหน จากเงิน 1 ใน 5 นั้นสามารถเติบโตไปได้มากจากกลยุทธ์ง่าย ๆ ไม่มีการกระจายการลงทุนเลย เงินที่เหลืออีก 80% ของพอร์ตก็เก็บไว้เฉย ๆ แต่ก็ยังปั้นพอร์ตได้ถึง 5 เท่าแต่ต้องแลกมากับความผันผวนระหว่างทางที่เริ่มจุกอกพอสมควร Max DD% สูงถึง 25% ค่าเฉลี่ย DD ประมาณ 10% บทสรุปของการทดลองแบ่งเงินลงทุนใน Bitcoin เนื่องจากการปรับตัวขึ้นของสินทรัพย์ดิจิทัลที่รุนแรงทำให้การแบ่งเงินบางส่วนมาลงทุนถือว่ายังให้ผลตอบแทนที่ดีอยู่ แต่ความผันผวนระหว่างทางของ Bitcoin ก็ใช่ว่าจะเหมาะสมกับทุก ๆ คน เพราะฉะนั้นการที่เราจะให้น้ำหนักมากหรือน้อยแค่ไหน อาจจะต้องประเมินจากความเสี่ยงของพอร์ตโดยรวมที่เรารับได้ก่อน ว่าประมาณไหนที่จะทำให้เรานอนหลับสบาย ไม่ผวาตื่นกลางดึกเพราะราคา Bitcoin ลงอย่างรุนแรง หลังจากนั้นเราถึงจะพอออกแบบได้ว่า “น้ำหนักการลงทุนเท่าไร’’ ที่เหมาะสมในสินทรัพย์ดิจิทัลครับ
สถาบันการลงทุนหลายแห่งแนะนำลูกค้าให้เพิ่มน้ำหนักในสินทรัพย์ดิจิทัล Wall Street เริ่มออกมาให้คำแนะนำลูกค้าของตนเองเกี่ยวกับการเพิ่มน้ำหนักพอร์ตลงทุนว่าควรแบ่งเงินบางส่วนมา “ถือครอง” สินทรัพย์ดิจิทัลโดยเฉพาะ Bitcoin น้ำหนักการลงทุนที่แตกต่าง กับผลลัพธ์ที่นักลงทุนต้องเลือก การลงทุนที่แตกต่างกัน ล้วนให้ผลที่ต่างกันแน่นอน ขึ้นอยู่กับโจทย์ทางการเงินของเรา เวลาในการติดตามสินทรัพย์นั้น และความสบายใจของตัวเรา จึงไม่มีวิธีที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน เงื่อนไขการทดสอบ น้ำหนักการลงทุนเท่าไรดี และแต่ละแบบแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน โดยเราจะลองทดสอบทั้งหมด 4 ครั้งดังนี้ 1.แบ่งเงินลงทุนใน Bitcoin 1% ของพอร์ต 2.แบ่งเงินลงทุนใน Bitcoin 5% ของพอร์ต 3.แบ่งเงินลงทุนใน Bitcoin 10% ของพอร์ต 4.แบ่งเงินลงทุนใน Bitcoin 20% ของพอร์ต - แบ่งเงินลงทุนใน Bitcoin 1% ของพอร์ต ผลการทดสอบนี้จะทำให้ทุกท่านเห็นภาพมากขึ้นว่า 1% ก็สร้างผลกระทบได้เช่นกัน - แบ่งเงินลงทุนใน Bitcoin 5% ของพอร์ต การเพิ่มน้ำหนักขึ้นอีกหน่อยทำให้ผลรวมในพอร์ตดีขึ้นอย่างมาก โตมาประมาณ 60% ตลอดหลายปี ส่วน Max DD% นั้นอยู่ที่ 8% กว่า ค่าเฉลี่ย Drawdown ประมาณ 3-4% เท่านั้นเอง - แบ่งเงินลงทุนใน Bitcoin 10% ของพอร์ต แม้จะแบ่งเงินเพียง 10% ก็ยังทำให้พอร์ตโดยรวมได้ผลตอบแทนที่โดดเด่น และความเสี่ยงไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ Max DD% อยู่ที่ 15% ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 6% ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่หลายคนรับไหว บางคน Stop Loss ต่อไม้ลึกกว่า 6% ของพอร์ตด้วยซ้ำ - แบ่งเงินลงทุนใน Bitcoin 20% ของพอร์ต จากเงิน 1 ใน 5 นั้นสามารถเติบโตไปได้มากจากกลยุทธ์ง่าย ๆ ไม่มีการกระจายการลงทุนเลย เงินที่เหลืออีก 80% ของพอร์ตก็เก็บไว้เฉย ๆ แต่ก็ยังปั้นพอร์ตได้ถึง 5 เท่าแต่ต้องแลกมากับความผันผวนระหว่างทางที่เริ่มจุกอกพอสมควร Max DD% สูงถึง 25% ค่าเฉลี่ย DD ประมาณ 10% เนื่องจากการปรับตัวขึ้นของสินทรัพย์ดิจิทัล การลงทุนถือว่ายังให้ผลตอบแทนที่ดีอยู่ ก็ใช่ว่าจะเหมาะสมกับทุก ๆ คน อาจจะต้องประเมินจากความเสี่ยงของพอร์ตโดยรวมที่เรารับได้ก่อน พอออกแบบได้ว่า “น้ำหนักการลงทุนเท่าไร’’ ที่เหมาะสมในสินทรัพย์ดิจิทัล
6.การบริหารสินทรัพย์,12.การเงินดิจิทัล,11.เทคโนโลยีทางการเงิน,5.กลยุทธ์การลงทุน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1425
Finance
ช่วยสรุปเรื่อง "My Neighbor Alice คืออะไร?" ให้หน่อยค่ะ
My Neighbor Alice คืออะไร? My Neighbor Alice คือ เกม NFT Play to Earn แนวทำฟาร์มปลูกผักที่ถูกพัฒนาโดยบริษัท Antler Interactive มีจุดเด่นในเรื่องของการดีไซน์ตัวละครและการออกแบบโลกของเกมให้มีความน่ารัก ตัวเกมนั้นได้รับแรงบันดาลใจมาจากเกมทำฟาร์มชื่อดังอย่าง Animal Crossing และระบบการสร้างสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ที่มาจาก Minecraft ตัวเกมไม่ได้จำกัดแค่ผู้เล่นในโลกของ Blockchain เกมเพียงเท่านั้นเพราะตัวเกมนั้นพอร์ตลงในตัว Stream อีกด้วยทำให้คนทั่วไปนั้นเข้าถึงได้ง่ายและตรงที่มันเข้าถึงง่ายตรงนี้ที่แอดคิดว่าน่าจะเป็นส่วนที่ทำให้อนาคตของเกมนั้นน่าจะไปในทางที่ดี บวกกับตัวเกมที่เป็น Multiplayer Openworld อีกด้วย รูปแบบการเล่นภายในเกม ระบบหลัก ๆในตอนนี้จะมีอยู่ 5-6 อย่างด้วยกัน (ตอนนี้ตัวเกมยังอยู่ใน Pre-Alpha test เวลาเปิดจริงอาจจะมีระบบใหม่ ๆ เพิ่มเข้ามา) 1. ระบบปลูกผัก 2. ระบบเลี้ยงสัตว์ 3. ระบบตกปลา 4. ระบบเควสกับ NPC ที่จะได้รับรางวัลเป็นเหรียญ Alice 5. ระบบ Community ที่เราสามารถเล่นกับเพื่อนได้ 6. ระบบการสร้างสิ่งก่อสร้างรูปแบบการเล่นภายในเกม
My Neighbor Alice คือ เกม NFT แนวทำฟาร์มผักที่พัฒนาโดย Antler Interactive มีจุดเด่นในการดีไซน์ตัวละครและโลกของเกมให้มีความน่ารัก โดยตัวเกมได้แรงบันดาลใจจาก Animal Crossing และระบบการสร้างสิ่งก่อสร้างจาก Minecraft ตัวเกมไม่ได้จำกัดแค่ผู้เล่นใน Blockchain เท่านั้น แต่พอร์ตลงในตัว Stream ทำให้คนทั่วไปเข้าถึงง่ายและตัวเกมเป็น Multiplayer Openworld อีกด้วย ระบบในเกมมีอยู่ 6 อย่าง ได้แก่ 1. ระบบปลูกผัก 2. ระบบเลี้ยงสัตว์ 3. ระบบตกปลา 4. ระบบเควสที่ได้รับหรียญ Alice 5. ระบบ Community สามารถเล่นกับเพื่อนได้ 6. ระบบการสร้างสิ่งก่อสร้าง
12.การเงินดิจิทัล,11.เทคโนโลยีทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1426
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ คุณสมบัติที่ FA ควรจะต้องมี
null
FA คือ อาชีพที่ให้คำปรึกษาในการบริหารเงินของลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ หากใครที่อยากเป็นอาชีพนี้ จะต้องมีคุณบัติเหล่านี้ เริ่มต้นจากการที่คุณจะต้องมีความรู้เรื่องการเงินการลงทุน เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับคนที่อยากจะเป็น FA ต่อมาต้องยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง มีใจรักในการบริการ มีทักษะการพูดคุยและการรับฟังจากการรู้จักและเข้าใจไลฟ์สไตล์ของลูกค้า ต้องกล้าตัดสินใจที่จะออกแบบแผนการเงินจากการวิเคราะห์ มาอธิบายเหตุผล ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นให้ลูกค้าฟัง เพื่อประกอบการตัดสินใจ และสุดท้าย คนที่เป็น FA จะต้องกระตือรือร้นในการอัปเดตข่าวสารอยู่เสมอ เพื่อให้คำปรึกษากับลูกค้าได้เตรงกับสถานการณ์ในปัจจุบัน บทเรียนจากย่อหน้านี้ คุณสมบัติที่ FA ควรจะต้องมี 1. มีความสนใจเรื่องการเงินการลงทุน ทักษะแรกที่สำคัญที่สุด (ขาดข้ออื่นไปยังพอทำงานได้ แต่ขาดข้อนี้ไปจบเลย) คือ “ความรู้เรื่องการเงินการลงทุน” เพราะถ้ายังสนใจและศึกษาอยู่เรื่อยๆ ความรู้เราต้องเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างแน่นอน 2. มีใจบริการ FA เป็นคนที่ให้คำปรึกษากับ “ลูกค้า” เพราะฉะนั้นโฟกัสตลอดการทำงานเป็น FA คือ การยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Centric) FA ต้องไม่แนะนำผลิตภัณฑ์เฉพาะกลุ่มให้กับลูกค้าเพียงเพื่อให้ตัวเองได้ส่วนแบ่งค่าธรรมเนียมสูงๆ แต่ FA ต้องยึดเป้าหมายของลูกค้ามาก่อน แล้วค่อยออกแบบแผนการเงินให้สอดคล้องตามนั้น ซึ่งการจะเอาความต้องการของลูกค้ามาก่อนความต้องการส่วนตัว ต้องมาจากการมีใจรักในการบริการ 3. มีทักษะในการพูดคุยและรับฟัง การจะรู้จักใครซักคน ต้องพูดคุยกับคนคนนั้นเยอะๆ FA จะรู้จักลูกค้าและเข้าใจไลฟ์สไตล์ของลูกค้าได้ ก็ต้องผ่านการพูดคุยเยอะๆ เหมือนกัน ทักษะนี้เป็นทักษะที่ FA หลายคนอาจจะมองข้ามไป เพราะไปโฟกัสที่การมี hard skill มากกว่า แต่จริงๆ แล้วการมี soft skill เรื่องทักษะในการพูดคุย การมีมนุษยสัมพันธ์ การเป็นผู้ฟังที่ดี เป็นทักษะที่จะชี้วัดเลยว่า คุณจะเป็น FA ที่คนชื่นชอบได้หรือเปล่า เพราะถึงจะมีความรู้แน่น แต่ถ้าไม่สามารถถ่ายทอดให้คนเชื่อถือได้ หรือไม่สามารถพูดให้คนเปิดใจกับคุณได้ ก็ไม่มีใครไว้ใจให้ดูแลอยู่ดี 4. กล้าตัดสินใจ กล้าตัดสินใจในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าให้ไปบังคับให้ลูกค้าทำตามที่บอก แต่การกล้าตัดสินใจ หมายถึง การที่ออกแบบแผนการเงินที่ได้มาจากการวิเคราะห์อย่างชัดเจน แล้วอธิบายเหตุผล ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นให้ลูกค้าฟัง ให้ลูกค้าเข้าใจในทุกแง่มุมแล้วตัดสินใจเอง แต่อย่างไรก็ตามมันไม่มีแผนการเงินไหนที่การันตีว่ามันจะได้ผล 100% ทุกแผนมีความเสี่ยงที่จะไม่เป็นไปตามแผน FA ต้องกล้าที่จะตัดสินใจจากความรู้และประสบการณ์ที่มี และรายงานความเสี่ยงทุกอย่างให้กับลูกค้าทราบ FA ต้องมั่นใจที่จะนำทางให้ลูกค้า เพราะถือว่าเรามีความรู้ความเข้าใจด้านการวางแผนการเงินมากกว่า และความรู้ตรงนั้นสามารถทำให้ชีวิตผู้อื่นดีขึ้นได้ 5. Active ในการเรียนรู้อยู่เสมอ ทุกวันมีเรื่องให้เรียนรู้ใหม่อยู่ตลอด ไม่ใช่เฉพาะเรื่องความรู้ทางการเงิน แต่หมายถึงทุกอย่างที่เกี่ยวกับการใช้ชีวิต เพราะอย่างที่เขียนไว้ในตอนต้นว่า เรื่องเงินเป็นเรื่องที่แทรกซึมอยู่ในทุกด้านของชีวิต คนที่ใช้ชีวิตได้ดีก็จะแนะนำเรื่องการเงินได้ดีด้วย ดังนั้น FA ต้องเป็นคนที่กระตือรือร้นในการอัปเดตข่าวสารอยู่เสมอ เพื่อที่จะได้ให้คำปรึกษากับลูกค้าได้เหมาะกับสถานการณ์ปัจจุบัน
5.ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1427
Finance
ช่วยสรุปบทความ รีวิวกองทุนญี่ปุ่น: อ่านที่นี่ที่เดียวรู้เลยกองไหนดีและญี่ปุ่นน่าลงทุนไหม
ทำไมต้องลงทุนญี่ปุ่น เศรษฐกิจของญี่ปุ่นมีมูลค่าอันดับ 3 ของโลก หลายปีที่ผ่านญี่ปุ่นสามารถสร้างโครงสร้างพื้นฐานได้ทัดเทียมอารยประเทศ และญี่ปุ่นก็จัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่เจริญแล้ว ระบบการศึกษาที่พัฒนาคนญี่ปุ่น มาตรฐานการทำงาน และการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมขั้นสูง จัดเป็นจุดเด่นของประเทศนี้ ค่าเงินเยนก็เป็นค่าเงินสกุลหนึ่งที่มีเสถียรภาพมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เช่นเดียวกับภาคการธนาคารและนโยบายการเงินของญี่ปุ่นก็มีการดูแลที่ดีมากเช่นเดียวกัน ปัญหาที่ญี่ปุ่นกำลังเผชิญคือ ประชากรมีอัตราการเกิดน้อยลงและคนส่วนใหญ่มีอายุยืน ทำให้มีความกังวลว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะหยุดชะงัก ซ้ำร้ายด้วยวิกฤตโควิด-19 ที่ฉุดการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศติดลบในปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม จุดเด่นของประเทศญี่ปุ่นก็ยังคงมีอยู่ และเป็นประเทศที่มีพื้นฐานดี ปลอดภัย อันดับต้น ๆ ของโลกเลยทีเดียว การเติบโตของประเทศญี่ปุ่น ต่อจากนี้คือการผลักดัน 2 เป้าหมายหลัก ๆ คือ โครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล ที่ญี่ปุ่นถือว่ามีการขยับช้ากว่าประเทศที่พัฒนาแล้วอย่าง USA และบางประเทศในยุโรป สิ่งนี้คือโอกาสที่ทำให้ภาครัฐและเอกชน ต้องลงทุนเพิ่มเพื่อพัฒนาขีดความสามารถด้านดิจิทัล ปฏิรูปด้านพลังงานให้เป็นพลังงานหมุนเวียน เช่น ลม และ พลังงานแสงอาทิตย์มากขึ้น เพื่อมุ่งไปสู่การประเทศที่มีการปลดปล่อย CO2 เป็น 0 (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 เช่นเดียวกับ USA นอกจากเป้าหมายเรื่อง Carbon แล้ว สิ่งนี้จะทำให้ประเทศญี่ปุ่นลดการพึ่งพาการนำเข้าแก๊สธรรมชาติเหลวเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าอีกด้วย ตลาดหุ้นญี่ปุ่นมีอะไรบ้าง Nikkei 225 ดัชนีหุ้นใหญ่ 225 บริษัทที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว ถือเป็นดัชนีสำคัญของญี่ปุ่น ดัชนีประกอบด้วยกลุ่มเทคโนโลยีสูงสุดถึงประมาณ 48% ตามมาด้วยสินค้าอุปโภคบริโภคประมาณ 25% และวัสดุประมาณ 13% รวม 3 อันดับแรกประมาณ 86% ของทั้งตลาดและมีจำนวนหุ้นอยู่ในกลุ่มเทคโนโลยีสูงถึง 58 บริษัท ตามมาด้วยวัสดุ 58 บริษัท และสินค้าอุปโภคบริโภค 33 บริษัท จริง ๆ ญี่ปุ่นมีอีก Index คือ TOPIX ซึ่งแตกต่างกัน เพราะ TOPIX ใช้วิธีคิดแบบ Market cap weighted ในการคำนวณดัชนี ขณะที่ Nikkei ใช้วิธีแบบ price-weighted แต่จริง ๆ Nikkei คือหุ้นใหญ่มั่นคง หรือ Blue chip ใน TOPIX นั่นแหละ
ทำไมต้องลงทุนที่ญี่ปุ่น เพราะ เศรษฐกิจญี่ปุ่นมีมูลค่าอันดับ 3 ของโลกและโครงสร้างพื้นฐานที่เทียบเท่าอารยประเทศ ทั้งนี้เพราะญี่ปุ่นมีระบบการศึกษาที่ดี มาตรฐานการทำงาน และการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมขั้นสูง พร้อมทั้งมีความเสถียรทางการเงิน และนโยบายการเงินที่ดี ญี่ปุ่นต้องเผชิญกับทวีคูณปัญหาที่เกิดจากการลดลงของอัตราการเกิดและประชากรที่มีอายุยืน อย่างไรก็ตาม ความเข้มงวดของประเทศยังคงอยู่ จุดเด่นคือมีพื้นฐานที่ดี ปลอดภัย และมีความมั่นคง การเติบโตของญี่ปุ่นในอนาคตจะถูกผลักดันโดยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลและปฏิรูปด้านพลังงานเพื่อเป็นประเทศ Carbon Neutrality ในปี 2050 ซึ่งจะช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้าแก๊สธรรมชาติเหลวในการผลิตกระแสไฟฟ้า ตลาดหุ้นญี่ปุ่นมีอะไรบ้าง Nikkei 225 เป็นดัชนีหุ้นสำคัญของญี่ปุ่นที่ประกอบด้วยบริษัทในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว มีเทคโนโลยีเป็นส่วนใหญ่ 48%, สินค้าอุปโภค 25% และวัสดุ 13% รวม 86% ของตลาด มีบริษัทเทคโนโลยี 58 บริษัท, วัสดุ 58 บริษัท และสินค้าอุปโภค 33 บริษัท TOPIX เป็นดัชนีอีกอันที่แตกต่างเนื่องจากใช้วิธีคำนวณแบบ Market cap weighted ในขณะที่ Nikkei ใช้ price-weighted
2.ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1428
Finance
จงสรุปบทความ รู้จักตราสารหนี้ประเทศจีน ตลาดที่ Ray Dalio บอกว่าเป็นอนาคตของการลงทุน
เราต้องเคยได้ยินข่าวความเป็นที่สุดของหนี้ประเทศจีน เช่น ระดับหนี้สาธารณะขนาดยักษ์ในประเทศที่ปี 2015 เกือบฟองสบู่จะแตก หรือข่าวที่จีนมีหนี้ในประเทศมากเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก บทความนี้เราจะพาคุณมารู้จักหนี้กลุ่มต่าง ๆ ของจีนให้มากขึ้น โดยแบ่งตามโครงสร้างในประเทศและนอกประเทศ ในประเทศ กลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะอยู่ในค่าเงินหยวน ประกอบด้วยหนี้บริษัท (เอกชนและรัฐวิสาหกิจ), หนี้ครัวเรือน, หนี้รัฐบาล ซึ่งหนี้รัฐวิสาหกิจจำนวนมากเป็นของรัฐบาลท้องถิ่นที่เข้ามาถือหุ้น ทำให้การใช้จ่ายเงินส่วนนี้มักเกิดการทุจริตอยู่บ่อยครั้ง รวมถึงมักใช้อย่างไม่มีคุณภาพ เช่น ไปสร้างตึกสร้างสะพานใหญ่โตเกินเหตุ ปัจจุบันจีนถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีระดับหนี้สูงที่สุดในโลก เนื่องจากกู้แหลกตั้งแต่วิกฤต Subprime จนมาถึงปี 2015 ที่ฟองสบู่จะแตก จึงทำให้เป้าหมายของรัฐบาลต้องเปลี่ยนไป ไม่เน้นการเติบโตเศรษฐกิจแบบตัวเลขสูงมาก ๆ กลายมาเป็นโตอย่างมีคุณภาพแทน โดยผู้ให้ตลาดในประเทศจีนกู้ก็ไม่ใช้ใครที่ไหน เป็นคนจีนด้วยกันเอง ผ่านการดึงธนาคาร, บริษัทประกัน มาซื้อตราสารหนี้ และตอนนี้ตลาดหนี้ในจีนมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก (รองจากสหรัฐฯ) ล่าสุดเริ่มเปิดให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ด้วยการให้ลงทุนผ่านโครงการ Bond Connect และ QFII (Qualified Foreign Institutional Investor) ซึ่งนักลงทุนระดับโลกอย่าง Ray Dalio มักพูดอยู่บ่อยว่า “ตลาดตราสารหนี้จีนคืออนาคตของการลงทุน” นอกประเทศ ชื่อเสียงขึ้นชื่อคือการที่จีนเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของสหรัฐฯ และการให้ประเทศกำลังพัฒนากู้เพื่อร่วมในโครงการ Belt and Road Initiative แต่สถานการณ์กำลังเปลี่ยนไป เนื่องจากความขัดแย้งกับสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นทำให้รัฐบาลจีนเริ่มตีตัวออกห่าง ไม่ยอมซื้อพันธบัตรสหรัฐ (ให้สหรัฐฯ กู้) เยอะเหมือนเดิม เปลี่ยนไปสะสมทองคำมากขึ้น ขณะที่ประเด็น Belt and Road Initiative ก็มีความขัดแย้งกับรัฐบาลท้องถิ่นหลายครั้ง เพราะจีนมักเสนอปล่อยกู้เยอะ ๆ จนประเทศปลายทางใช้หนี้คืนไม่ได้แล้วเปลี่ยนไปยึดทรัพย์สินอื่นแทน เคสที่รุนแรงที่สุดเป็นการเข้าครอบครองท่าเรือสำคัญในศรีลังกาที่เป็นหนึ่งในจุดยุทธศาสตร์ทางทหาร ทำให้ทั้งอินเดียและสหรัฐต้องวิ่งพล่าน ในยุคดอกเบี้ยต่ำติดดินอย่างนี้ ตราสารหนี้จีนถือว่าเป็นประเทศใหญ่ที่ยังให้ผลตอบแทนสูงเมื่อเทียบกับสหรัฐ, ยุโรป, ญี่ปุ่น เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจในยุคนี้
หนี้กลุ่มต่าง ๆ ของจีน แบ่งตามโครงสร้างในประเทศและนอกประเทศ ในประเทศ กลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะอยู่ในค่าเงินหยวน ประกอบด้วยหนี้บริษัท (เอกชนและรัฐวิสาหกิจ), หนี้ครัวเรือน, หนี้รัฐบาล ปัจจุบันจีนถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีระดับหนี้สูงที่สุดในโลก เนื่องจากกู้แหลกตั้งแต่วิกฤต Subprime จนมาถึงปี 2015 ที่ฟองสบู่จะแตก โดยผู้ให้ตลาดในประเทศจีนกู้ก็ไม่ใช้ใครที่ไหน เป็นคนจีนด้วยกันเอง ผ่านการดึงธนาคาร, บริษัทประกัน มาซื้อตราสารหนี้ ล่าสุดเริ่มเปิดให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ซึ่งนักลงทุนระดับโลกอย่าง Ray Dalio มักพูดอยู่บ่อยว่า “ตลาดตราสารหนี้จีนคืออนาคตของการลงทุน” นอกประเทศ ชื่อเสียงขึ้นชื่อคือการที่จีนเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของสหรัฐฯ และการให้ประเทศกำลังพัฒนากู้เพื่อร่วมในโครงการ Belt and Road Initiative แต่สถานการณ์กำลังเปลี่ยนไป เนื่องจากความขัดแย้งกับสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นทำให้รัฐบาลจีนเริ่มตีตัวออกห่าง ขณะที่ประเด็น Belt and Road Initiative ก็มีความขัดแย้งกับรัฐบาลท้องถิ่นหลายครั้ง เพราะจีนมักเสนอปล่อยกู้เยอะ ๆ จนประเทศปลายทางใช้หนี้คืนไม่ได้แล้วเปลี่ยนไปยึดทรัพย์สินอื่นแทน ในยุคดอกเบี้ยต่ำติดดินอย่างนี้ ตราสารหนี้จีนถือว่าเป็นประเทศใหญ่ที่ยังให้ผลตอบแทนสูงเมื่อเทียบกับสหรัฐ, ยุโรป, ญี่ปุ่น เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจในยุคนี้
2.ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_143
Finance
Netflix กับ Disney+อะไรน่าลงทุนกว่ากัน
null
Netflix Netflix ตอกย้ำคำว่า Content is King ผ่านซีรี่ส์ยอดฮิต 3 เรื่อง อย่าง Squid Game, You หรือ Narcos: Mexico ช่วยปลุกรายได้และดันยอด Subscriber ทะลุ 214 ล้านราย ● Netflix ตอกย้ำคำว่า Content is King ผ่านซีรี่ส์ยอดฮิต 3 เรื่อง อย่าง Squid Game, You หรือ Narcos: Mexico ช่วยปลุกรายได้และดันยอด Subscriber ทะลุ 214 ล้านราย ● Netflix ตอกย้ำคำว่า Content is King ผ่านซีรี่ส์ยอดฮิต 3 เรื่อง อย่าง Squid Game, You หรือ Narcos: Mexico ช่วยปลุกรายได้และดันยอด Subscriber ทะลุ 214 ล้านราย ● นอกจากรายได้หลักจากค่าสมาชิกแล้ว Netflix ยังต่อยอดรายได้อื่นจากภาพยนตร์หรือซีรี่ส์ ด้วยการจับมือกับพันธมิตร เพื่อขายสินค้าจากภาพยนตร์หรือซีรี่ส์ยอดนิยม รวมถึงการนำตัวละครยอดนิยมไปต่อยอดในตลาดเกมออนไลน์อีกด้วย ● นอกจากรายได้หลักจากค่าสมาชิกแล้ว Netflix ยังต่อยอดรายได้อื่นจากภาพยนตร์หรือซีรี่ส์ ด้วยการจับมือกับพันธมิตร เพื่อขายสินค้าจากภาพยนตร์หรือซีรี่ส์ยอดนิยม รวมถึงการนำตัวละครยอดนิยมไปต่อยอดในตลาดเกมออนไลน์อีกด้วย ● นอกจากรายได้หลักจากค่าสมาชิกแล้ว Netflix ยังต่อยอดรายได้อื่นจากภาพยนตร์หรือซีรี่ส์ ด้วยการจับมือกับพันธมิตร เพื่อขายสินค้าจากภาพยนตร์หรือซีรี่ส์ยอดนิยม รวมถึงการนำตัวละครยอดนิยมไปต่อยอดในตลาดเกมออนไลน์อีกด้วย ● Netflix เป็นบริษัท Online Streaming ที่ไม่เพียงสร้างความสุขให้กับผู้ชม แต่ยังเป็นโอกาสในการลงทุนทั้งโดยตรง เช่น หุ้นต่างประเทศ / กองทุน ETF ในต่างประเทศ และโดยอ้อมผ่านกองทุนต่างประเทศ เช่นกัน ● Netflix เป็นบริษัท Online Streaming ที่ไม่เพียงสร้างความสุขให้กับผู้ชม แต่ยังเป็นโอกาสในการลงทุนทั้งโดยตรง เช่น หุ้นต่างประเทศ / กองทุน ETF ในต่างประเทศ และโดยอ้อมผ่านกองทุนต่างประเทศ เช่นกัน ● Netflix เป็นบริษัท Online Streaming ที่ไม่เพียงสร้างความสุขให้กับผู้ชม แต่ยังเป็นโอกาสในการลงทุนทั้งโดยตรง เช่น หุ้นต่างประเทศ / กองทุน ETF ในต่างประเทศ และโดยอ้อมผ่านกองทุนต่างประเทศ เช่นกัน จากยอดผู้ชมซีรี่ส์ทั่วโลก Top 3 ของ Netflix ปี 2021 (ข้อมูล ณ วันที่ 7 พ.ย. 64)* คือ 1.Squid Game“สควิดเกม เล่นลุ้นตาย” 2.You “เธอ” Season 3.Narcos: Mexico “นาร์โคส ฝ่าปฏิบัติการทลายยาเสพติด” โดยเฉพาะ Squid Game ที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก ทำลายสถิติยอดผู้ชมหนังสูงสุดของ Netflix 142 ล้านคนดู และสร้างรายได้สูงถึง 30,000 ล้านบาทในช่วง 4 สัปดาห์แรกนับจากเปิดตัว โดยนักวิเคราะห์คาดว่าจะช่วยปลุกรายได้ของ Netflix ในไตรมาส 3 ให้เพิ่มขึ้น 17% จากปีที่แล้วมาอยู่ที่ 7,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนรายได้สุทธิจะเพิ่มสูงขึ้น 47% เป็น 1,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และดันมูลค่าหุ้นในตลาดขึ้นมาอยู่ที่ 2.56 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น Netflix มียอด Subscriber อันดับ 1 ในตลาด Netflix มียอด Subscriber อันดับ 1 ในตลาด Netflix มียอด Subscriber อันดับ 1 ในตลาด
5.ความรู้ทางการเงิน,6.ข้อมูลการเงินรายบริษัท,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Classification
cc-by-nc-4.0
Finance_1430
Finance
กองทุน PWIN มีกลยุทธ์การลงทุนอย่างไร
null
กองทุน PWIN หรือ Phillip World Innovation จาก บลจ. ฟิลลิป (PAMC) มีกลยุทธ์การลงทุน คือ เน้นลงทุนในหุ้นทั่วโลกที่เกี่ยวข้องหรือได้รับประโยชน์จากนวัตกรรม ในหน่วยลงทุนของกองทุนต่างประเทศ และ/หรือกองทุนรวมอีทีเอฟ ต่างประเทศ เช่น - Biotechnology – เทคโนโลยีการตัดต่อพันธุกรรมที่นำไปสู่การพัฒนาการรักษา รวมไปถึงการคิดค้นวัคซีนใหม่ ๆ ในอุตสาหกรรม Healthcare อีกด้วย ซึ่งบริษัทเหล่านี้เป็นบริษัทที่นำพาเทคโนโลยีวัคซีนต่อสู้กับเชื้อไวรัสโควิด-19 อีกทั้งเซ็กเตอร์เฮลธ์แคร์ยังเป็นเซ็กเตอร์ที่มีความโดดเด่น ผ่านการผสมระหว่าง “Growth” และ “Defensive” หรือเติบโตแบบผสมทั้ง “เชิงรุก” และ “เชิงรับ” - Internet Innovation – สิ่งง่าย ๆ ใกล้ตัวที่เป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญสำหรับการขับเคลื่อนโลกใบนี้ เพราะไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่าอินเทอร์เน็ตนั้นเป็นเรื่องไกลตัว อีกทั้งยังเป็นเซ็กเตอร์ที่ได้รับประโยชน์จากเทรนด์ E-commerce และการ Work from Home อีกด้วย - Video Games & E-sports – ย้อนไปสัก 10 ปีที่แล้วเกมถูกตีตราว่าเป็นสิ่งมัวเมา แต่ทุกวันนี้คงปฏิเสธไมไ่ด้ว่าโลกโอบรับอุตสาหกรรมดังกล่าวมากยิ่งขึ้น และมีคนจำนวนมากหารายได้เป็นกอบเป็นกำได้จากการเล่นเกม สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการทางด้านการบันเทิงของผู้รับชมและทางธุรกิจ - Cybersecurity – ในเมื่อโลกของเราถูกเชื่อมต่อกันอย่างง่ายดายผ่านอินเทอร์เน็ตและเครือข่าย Cybersecurity จึงเป็นอีกหนึ่งเซ็กเตอร์หัวใจสำคัญที่คอยปกป้องความเป็นส่วนตัวให้กับผู้คน หรือพูดง่าย ๆ ในเชิงลงทุนได้ว่าเป็นเซ็กเตอร์ที่เติบโตล้อไปกับโลกออนไลน์ ทั้งนี้กองทุนจะลงทุนในกองทุนต่างประเทศต่าง ๆ โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management)
5.ความรู้ทางการเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1432
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ สงครามใหญ่ครั้งต่อไปที่จะมีขึ้นจะกลายเป็นสงครามทางอากาศ
null
สงครามใหญ่ครั้งต่อไป อาจจะกลายเป็นสงครามทางอากาศ นอกจากการรบโดยเครื่องบินหรือโดรนหรือจรวดแล้ว อาจจะได้เห็นสงครามไซเบอร์ ที่น่าจะกลายเป็นอาวุธหลักอีกอย่างหนึ่ง เนื่องจากเครื่องมืออาวุธยุทโธปกรณ์สมัยใหม่อาศัยโปรแกรมดิจิทัลในการควบคุม ถ้าโปรแกรมถูกทำลายก็ทำงานไม่ได้ การที่เครือข่ายท่อส่งน้ำมันยาวเป็นพัน ๆ กิโลเมตรในอเมริกาโดนแฮ็คและต้องหยุดทำงานไปทั้งระบบ เป็นเครื่องเตือนให้รู้ว่าเครื่องมือแห่งการสงครามและการต่อสู้ต่อจากนี้ อาจจะเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตนและผ่านมาทางอากาศได้ ยิ่งไปกว่านั้น สงครามหรือการต่อสู้หรือการแข่งขันสมัยใหม่ อาจจะไม่ใช่แบบเดิมอีกต่อไป มันอาจจะเป็นสงครามความคิดหรืออุดมการณ์ระหว่างประเทศที่ต่อสู้กันด้วยอาวุธที่ไม่มีตัวตนแต่เป็นโปรแกรม บทเรียนจากย่อหน้านี้ สงครามใหญ่ครั้งต่อไปที่จะมีขึ้นจะกลายเป็น “สงครามทางอากาศ” ที่จะชี้เป็นชี้ตายว่าใครจะชนะสงคราม แต่นอกจากการรบโดยเครื่องบินหรือโดรนหรือจรวดแล้ว “สงครามไซเบอร์” น่าจะกลายเป็นอาวุธหลักอีกอย่างหนึ่งเนื่องจากเครื่องมืออาวุธยุทโธปกรณ์สมัยใหม่ต่างก็อาศัยโปรแกรมดิจิทัลในการควบคุม ถ้าโปรแกรมถูกทำลายก็ทำงานไม่ได้ การที่เครือข่ายท่อส่งน้ำมันยาวเป็นพัน ๆ กิโลเมตรในอเมริกาโดนแฮ็คและต้องหยุดทำงานไปทั้งระบบนั้น เป็นเครื่องเตือนให้รู้ว่าเครื่องมือแห่งการสงครามและการต่อสู้ต่อจากนี้อาจจะเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตนและผ่านมา “ทางอากาศ” ได้ ยิ่งไปกว่านั้น สงครามหรือการต่อสู้หรือการแข่งขันสมัยใหม่อาจจะไม่ใช่แบบเดิมอีกต่อไป มันอาจจะเป็นสงครามความคิดหรืออุดมการณ์ระหว่างประเทศหรือคนในประเทศเดียวกันที่ต่อสู้กันด้วย “อาวุธ” ที่ไม่มีตัวตนแต่เป็นโปรแกรม เช่น เฟซบุ๊กหรือทวิตเตอร์และโดยคนธรรมดาทั่วทั้งสังคมหรือประเทศโดยที่ “ทหาร” ที่รู้จักกันนั้นไร้ความสามารถที่จะต่อสู้หรือต่อต้านและอาจจะพูดได้ว่าถูก Disrupt ไปแล้ว พวกเขาก็ยังจำเป็นอยู่แต่ก็อาจจะเป็นแค่ตัวประกอบหรือส่วนสนับสนุนที่จะเข้าจัดระเบียบสิ่งที่มีตัวตนเป็นขั้นสุดท้ายเท่านั้น ไม่ได้เป็น Decisive Factor อีกต่อไป และทั้งหมดนี้นำมาใช้ได้กับทุกวงการรวมถึงในธุรกิจและการลงทุน ดังนั้น สำหรับนักลงทุนแล้ว การรู้จักและวิเคราะห์ “Air War” หรืออำนาจของข่าวสารในการต่อสู้แข่งขันในทุกรูปแบบเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1433
Finance
การวางแผน Post-Retirement แบบกลยุทธ์ 3 Buckets มีอะไรบ้าง
null
การวางแผน Post-Retirement แบบกลยุทธ์ 3 Buckets 1. เก็บข้อมูลเพื่อการวางแผนเกษียณ - งบประมาณค่าใช้จ่ายหลังเกษียณ - สินทรัพย์ที่มีอยู่ ณ อายุ 55 ปี 2. ทำการวิเคราะห์ Gap Analysis นำสินทรัพย์ทั้งหมดมาทำการประเมินและวิเคราะห์ความเป็นไปได้ว่า ด้วยจำนวนเงินที่เขามีอยู่ เขาสามารถเกษียณได้ถึงอายุ 80 ปี หรือไม่ การทำ Gap analysis จะใช้หลักการที่ว่า สินทรัพย์ที่มีอยู่ทั้งหมดจะอยู่ในพอร์ตความเสี่ยงต่ำที่มีผลตอบแทนคาดหวังอยู่ที่ 4% ต่อปี แต่อย่างไรก็ตาม ปัญหาของการวางแผนแบบนี้ คือ ถ้าเกิดอายุยืนยาวเกินที่คาด เงินก็จะไม่เพียงพอ 3. ออกแบบ Post Retirement โดยใช้หลัก 3 Buckets โดยกลยุทธ์การออกแบบ 3 Buckets มีดังนี้ - ตระกร้าที่ 1 ซึ่งเป็นพอร์ตสภาพคล่อง เช่น เงินฝากและตราสารเงิน นำเงินมาจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ จะถอนเงินจากตระกร้าที่ 2 ทุก ๆ 2 ปี โดยถอนให้เพียงพอกับค่าใช้จ่าย 2 ปีล่วงหน้า - ตระกร้าที่ 2 ซึ่งเป็นพอร์ตเสี่ยงกลาง อายุ 56-60 ปีใช้ พอร์ต All Balance ผลตอบแทนคาดหวัง 5% และ เสี่ยงต่ำ อายุ 61-80 ปี ใช้พอร์ต RIS ( Retirement Income Solution) ผลตอบแทนคาดหวัง 4% จะใช้แหล่งเงินลงทุนจาก กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ , RMF , เงินชดเชยเกษียณ , บำนาญเงินคืนประกัน และ LTF บางส่วน - ตระกร้าที่ 3 ซึ่งเป็นพอร์ตเสี่ยงสูงใช้พอร์ต Global Aggressive Hybrid ผลตอบแทนคาดหวัง 8% และใช้แหล่งเงินลงทุนจากกองทุน LTF รวมถึงกองทุนทั่วไป โดยจะลงทุนเกิน 10 ปีขึ้นไป เพื่อจะถอนเงินไปใส่ในตระกร้าที่ 2 การออกแบบ Post Retirement โดยใช้หลัก 3 Buckets จะช่วยให้บริการเงินลงทุนได้ดีขึ้น แต่ก็จะมีข้อเสีย คือ - มีความซ้บซ้อนของการวางแผน จะแบ่งเงินอย่างไร จะเอาส่วนไหนไปลงทุนในพอร์ตไหน จะถอนเงินตอนไหน - ความเสี่ยงในการลงทุนจะสูงขึ้น ซึ่งนักลงทุนก็จะต้องเข้าใจบริบทของการวางแผนด้วย
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1434
Finance
ในภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนสูง ควรใช้กลยุทธ์อะไรในการลงทุน Thematic ETF ให้เหมาะสม ปลอดภัย และบรรลุเป้าหมายทางการเงิน?
null
กลยุทธ์การลงทุน Thematic ETF ในภาวะเศรษฐกิจผันผวน: 1. กระจายความเสี่ยง: ไม่ลงทุนใน Thematic ETF เพียงตัวเดียว แต่ควรกระจายการลงทุนในธีมต่างๆ ลงทุนใน ETF ประเภท Core เพิ่มเติม เช่น SPY ETF , QQQ ETF และ QQQJ ETF เพื่อเพิ่มเสถียรภาพให้กับพอร์ต 2. เลือกธีมที่มีแนวโน้มเติบโตสูง: ศึกษา Mega-Trend และเลือกธีมที่มีศักยภาพการเติบโตสูงในระยะยาว พิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น นโยบายภาครัฐ การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี พฤติกรรมผู้บริโภค 3. เลือก ETF ที่มีผลการดำเนินงานดี: เปรียบเทียบผลตอบแทน ความเสี่ยง Expense Ratio และ RS Rating ของ ETF เลือก ETF ที่มีผลงานดีกว่าเกณฑ์มาตรฐานและมีสภาพคล่องสูง 4. ใช้กลยุทธ์การซื้อขายที่เหมาะสม: ไม่ควรลงทุนแบบ Buy-and-Hold เพียงอย่างเดียว แต่ควรใช้กลยุทธ์ Trading กำหนดจุดเข้าซื้อ ขาย และ Stop Loss เพื่อควบคุมความเสี่ยง 5. ปรับพอร์ตลงทุนตามสถานการณ์: ติดตามผลการดำเนินงานของ ETF อย่างสม่ำเสมอ ปรับสัดส่วนการลงทุนตามภาวะเศรษฐกิจและแนวโน้มของธีม ตัวอย่างกลยุทธ์: กลยุทธ์ Hybrid แบบ Core-Satellite: แบ่งสัดส่วนการลงทุนเป็น 60% Core และ 40% Satellite ลงทุนใน ETF ประเภท Core 60% เพื่อสร้างเสถียรภาพ ลงทุนใน Thematic ETF 40% เพื่อเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนสูง ตัวอย่าง ETF: - IBUY ETF (Mega-Theme New Consumer, Theme E-commerce) - WCLD ETF (Mega-Theme BIG DATA, Theme Cloud Computing) ข้อควรระวัง: Thematic ETF มีความเสี่ยงสูง ผลการดำเนินงานในอดีตไม่ได้เป็นตัวบ่งชี้ผลตอบแทนในอนาคต ควรศึกษาข้อมูล ความเสี่ยง และผลตอบแทนก่อนตัดสินใจลงทุน คำแนะนำเพิ่มเติม: ปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน เพื่อรับคำแนะนำในการลงทุนที่เหมาะสมกับเป้าหมายและความเสี่ยงที่รับได้ ลงทุนด้วยความรู้ความเข้าใจ สรุป: การลงทุน Thematic ETF ในภาวะเศรษฐกิจผันผวน จำเป็นต้องมีกลยุทธ์ที่รัดกุม กระจายความเสี่ยง เลือกธีมที่มีศักยภาพ เลือก ETF ที่มีผลงานดี และปรับพอร์ตลงทุนตามสถานการณ์ นักลงทุนควรศึกษาข้อมูล ความเสี่ยง และผลตอบแทนก่อนตัดสินใจลงทุน ปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน และลงทุนด้วยความรู้ความเข้าใจ
5.กลยุทธ์การลงทุน,6.การบริหารสินทรัพย์,7.การจัดการการเงินส่วนบุคคล,8.การวิเคราะห์ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1435
Finance
สำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่มีเงินลงทุนจำนวนน้อย มีกลยุทธ์อะไรบ้างที่นักลงทุนมือใหม่ควรพิจารณา?
null
สำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่มีเงินลงทุนจำนวนน้อย กลยุทธ์ที่ควรพิจารณามีดังนี้ 1. เน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ: - เงินฝากออมทรัพย์: แม้จะให้ผลตอบแทนต่ำ แต่เงินฝากออมทรัพย์มีความเสี่ยงต่ำ เหมาะสำหรับเงินออมฉุกเฉิน - พันธบัตรรัฐบาล: พันธบัตรรัฐบาลมีความเสี่ยงต่ำ ให้ผลตอบแทนมากกว่าเงินฝากออมทรัพย์ กองทุนรวมตราสารหนี้: ลงทุนในตราสารหนี้หลากหลายประเภท กระจายความเสี่ยง เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนที่มั่นคง 2. ลงทุนในกองทุนรวมดัชนี: กองทุนรวมดัชนีมีค่าธรรมเนียมต่ำ เหมาะสำหรับนักลงทุนมือใหม่ กองทุนรวมดัชนีมีหลายประเภท นักลงทุนสามารถเลือกกองทุนที่เหมาะสมกับเป้าหมายการลงทุน ตัวอย่างกองทุนรวมดัชนี: กองทุนรวมดัชนี SET50 กองทุนรวมดัชนี MSCI ACWI 3. ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม: - ศึกษาเกี่ยวกับกลยุทธ์การลงทุน ความเสี่ยง และผลตอบแทน - ศึกษาเกี่ยวกับสินทรัพย์ประเภทต่างๆ - ศึกษาเกี่ยวกับกองทุนรวม 4. ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ: - ลงทุนเป็นประจำทุกเดือน ไม่ต้องรอจังหวะตลาด - ลงทุนจำนวนเงินเท่ากันทุกเดือน กลยุทธ์ Dollar Cost Averaging - ลงทุนระยะยาว ไม่ควรหวังผลตอบแทนระยะสั้น 5. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน เช่น นักวางแผนการเงิน ผู้เชี่ยวชาญสามารถให้คำแนะนำเกี่ยวกับกลยุทธ์การลงทุน และผลิตภัณฑ์การเงินที่เหมาะสม ตัวอย่างเพิ่มเติม: - ลงทุนในทองคำ: ทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย เหมาะสำหรับลงทุนในภาวะเศรษฐกิจไม่แน่นอน - ลงทุนในเงินดิจิทัล: เงินดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มีความเข้าใจและรับความเสี่ยงได้ ข้อควรระวัง: - ไม่ควรลงทุนในสิ่งที่ไม่เข้าใจ - ไม่ควรลงทุนเงินทั้งหมดในสินทรัพย์ประเภทเดียว - ไม่ควรลงทุนเงินที่จำเป็นต้องใช้ในระยะสั้น สรุป: นักลงทุนมือใหม่ที่มีเงินลงทุนจำนวนน้อยควรเน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ กลยุทธ์เหล่านี้จะช่วยให้นักลงทุนบรรลุเป้าหมายทางการเงินได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1437
Finance
ในฐานะนักลงทุน เราควรเตรียมตัวรับมือกับสถานการณ์เงินเฟ้อที่อาจปรับตัวขึ้นต่อเนื่องอย่างไร?
null
จากการถกเถียงเกี่ยวกับแนวโน้มเงินเฟ้อในอนาคต โดยแบ่งเป็น 2 ทีม ดังนี้ ทีมพาวเวลล์: มองว่าเงินเฟ้อเป็นเพียงปรากฏการณ์ชั่วคราว (Transitory) เศรษฐกิจจะกลับมาสู่ภาวะปกติในที่สุด ทีมวู: มองว่าเงินเฟ้อเป็นกระบวนการ (Process) ในวัฏจักรเศรษฐกิจ มีแนวโน้มปรับตัวสูงต่อเนื่อง แนวทางการรับมือสำหรับนักลงทุน: 1. กระจายความเสี่ยง: ลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท เช่น หุ้น พันธบัตร อสังหาริมทรัพย์ ทองคำ ลงทุนในกองทุนรวมที่มีกลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ เลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง 2. เตรียมพร้อมสำหรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย: ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายการเงินของธนาคารกลาง ปรับพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับสภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น เลือกสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าอัตราดอกเบี้ย 3. ติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิด: วิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ ปรับกลยุทธ์การลงทุนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ 4. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: พูดคุยกับนักวางแผนการเงิน ขอคำแนะนำจากผู้จัดการกองทุน ตัวอย่างกลยุทธ์การลงทุน: ลงทุนในหุ้นกลุ่ม Defensive: เช่น หุ้นกลุ่ม Healthcare Utilities Consumer Staples ลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก: เช่น ทองคำ สินค้าโภคภัณฑ์ ลงทุนใน Real Estate: อสังหาริมทรัพย์ให้เช่า ลงทุนใน TIPS: พันธบัตรรัฐบาลอเมริกันที่ปรับอัตราดอกเบี้ยตามเงินเฟ้อ ข้อควรระวัง: ไม่ควรลงทุนทั้งหมดในสินทรัพย์ประเภทเดียว ควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน ควรมีวินัยในการลงทุน ควรเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนของตลาด สรุป: สถานการณ์เงินเฟ้อที่อาจปรับตัวสูงต่อเนื่อง เป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องให้ความสำคัญ การกระจายความเสี่ยง ศึกษาข้อมูล และติดตามข่าวสาร จะช่วยให้นักลงทุนสามารถรับมือกับสถานการณ์ และบรรลุเป้าหมายทางการเงินได้ หมายเหตุ: ข้อมูลและแนวทางในบทความนี้เป็นเพียงข้อมูลทั่วไป นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจลงทุน ผลตอบแทนในอดีตไม่ได้รับประกันผลตอบแทนในอนาคต การลงทุนมีความเสี่ยง นักลงทุนควรศึกษาและรับความเสี่ยงได้
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1439
Finance
การขุดทอง กับการขุด Bitcoin แตกต่างกันอย่างไร
null
1.ลักษณะของการขุด ทองคำ ต้องมีการสำรวจ เเล้วก็ลงทุนสร้างเหมืองขุดเจาะในบริเวณนั้น ๆ ไป จากนั้นค่อยนำมาหลอมขึ้นรูปใหม่เป็นทองคำเเท่งหรืออะไรก็ว่าไป Bitcoin เป็นการขุดโดยใช้กำลังไฟฟ้า ซึ่งที่นิยมใช้มีทั้งการใช้การ์ดจอหรือการใช้เครื่องขุดโดยเฉพาะ ที่เรียกว่า Application-Specific Integrated Circuit หรือ ASIC 2.ต้นทุนการผลิต ทองคำ ในโลกมีบริษัททำเหมืองทองคำใหญ่ ๆ อยู่ 5 แห่ง ประกอบด้วย บริษัท ราคาหน้าเหมือง Newmont 935 เหรียญ/ออนซ์ Barrick Gold Crop 870-980 เหรียญ/ออนซ์ Kinross 995 เหรียญ/ออนซ์ AngloGold Ashanti 1029 เหรียญ/ออนซ์ Gold Fields 965-1169 เหรียญ/ออนซ์ สามารถสรุปได้ว่าค่าเฉลี่ยจากทั่วโลกจะอยู่ที่ประมาณ 975 เหรียญ/ออนซ์ ซึ่งราคานี้ยังไม่ได้รวมค่าอื่น ๆ อีกประมาณ 7.5% นั่นหมายความว่าราคาหน้าเหมืองที่แท้จริงจะอยู่ที่ประมาณ 1,060 เหรียญ/ออนซ์ Bitcoin ต้นทุนการขุดหลัก ๆ นั้นมีอยู่ 2 ปัจจัย คือ ตัวของเครื่องขุดว่ามีกำลังการขุดมากขนาดไหน เเละ ค่าไฟในการขุดซึ่งเเต่ละประเทศก็จะต่างกันไป สมมติให้ เครื่องขุด Bitcoin ใช้เวลาขุด 4 ปีเพื่อให้ได้ 1 Bitcoin ดังนั้น ที่ 0.09 ดอลลาร์สหรัฐต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง ตามค่าไฟในประเทศที่เก็บค่าไฟถูก ต้นทุนทั้งหมดจะอยู่ที่ประมาณ 27,00 ดอลลาร์สหรัฐ ที่ 0.15 ดอลลาร์สหรัฐต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง ตามค่าไฟในประเทศสหรัฐอเมริกา ต้นทุนทั้งหมดจะอยู่ที่ 39,000 ดอลลาร์สหรัฐ โดยเฉลี่ยเเล้วต้นทุนการขุด Bitcoin จะอยู่ที่ประมาณ 33,000$ ต่อ 1 BTC 3.ปริมาณที่ขุดได้ต่อปี ทองคำ Newmont ผลิตทองคำได้ประมาณ 3 ตัน Barrick Gold Crop ผลิตทองคำได้ประมาณ 9 ตัน Kinross ผลิตทองคำได้ประมาณ 6 ตัน AngloGold Ashanti ผลิตทองคำได้ประมาณ 79 ตัน Gold Fields ผลิตทองคำได้ประมาณ 5 ตัน แต่ทั้งนี้ ปริมาณทองคำที่ขุดออกมาได้ต่อปีจะยังสามารถปรับเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้เล็กน้อย ในกรณีที่เหมืองต้องการเพิ่มหรือลดกำลังการขุด Bitcoin ถูก Fix ด้วย Code ทำให้ในเเต่ละปีจะมีกำลังการผลิตคงที่ ต่อให้จะมีคนขุดเพิ่มขึ้นอีกกี่คน หรือ เหลือคนขุดเเค่คนเดียว Bitcoin ก็จะมีปริมาณออกมาคงที่อยู่ดี สรุป จะเห็นได้ว่าทั้งทองคำเเละ Bitcoin ใช้กระบวนการผลิตที่เรียกว่าการขุดเหมือนกัน เเต่สิ่งที่เรียกว่าการขุดนั้น ก็มีรายละเอียดที่เเตกต่างกันค่อนข้างมาก แต่ด้วยคุณสมบัติที่มีอยู่อย่างจำกัดเเละผลิตออกมาต่อปีได้อย่างจำกัด ก็มีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน อาจจะต่างบ้างตรงที่ทองคำยังสามารถเพิ่มหรือผ่อนกำลังผลิตได้เล็กน้อย ดังนั้นทั้งทองคำเเละ Bitcoin ก็น่าจะเป็นตัวรักษามูลค่าของเงินได้ดีกว่าเงินสดเเน่นอน
1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_144
Finance
จงแต่งเรื่องสั้น "ESG กองทุนรักษ์โลก"
null
ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ซึ่งคุณมาลี เจ้าของหมู่บ้านแห่งนี้เป็นคนที่ชอบลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ เธอรู้สึกเบื่อจึงได้เข้าไปถามคุณมารตีซึ่งเป็นผู้ลงทุนในกองทุนรักษ์โลก มาลี : มารตี ฉันมีเรื่องอยากจะปรึกษาหนะ มารตี : ได้สิ มีอะไรเหรอ มาลี : ฉันเริ่มเบื่อกับการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้แล้ว เธอมีกองทุนอะไรใหม่ๆ อยากนำเสนอให้ฉันไหม มารตี : เธอลงมาลงทุนกับกองทุนรักษ์โลกดูสิ มาลี : แล้วมันดีกว่ากองทุนอื่นๆ ยังไงเหรอ มารตี : กองทุนรักษ์โลกให้ผลตอบแทนดีกว่ากองทุนอื่นๆ ถ้าให้คุณประโยชน์กับบริษัทที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ผ่านกำลังขับเคลื่อน 4 ด้าน คือ ภาครัฐ การพัฒนาด้านเทคโนโลยี ผู้บริโภค และนักลงทุนไงล่ะ มาลี : โห มันดีขนาดนี้เลยเหรอ งั้นฉันขอให้เธอช่วยอีกแรงในการลงทุนในกองทุนนี้ด้วยนะ ฉันเริ่มสนใจแล้วแหละ มารตี : ยินดีไม่มีปัญหาจ้า กองทุนรักษ์โลก ESG: Environmental Social and Governance มี Theme ลงทุน 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ 1. Solution Provider เป็นผู้ผลิตสินค้าหรือบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือส่งเสริมการประหยัดพลังงานหรือใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และทำให้ลดการเกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงได้ 2. Transition Candidate หรือกลุ่มผู้บริโภคที่ช่วยส่งเสริมการใช้สินค้าหรือบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือส่งเสริมการประหยัดพลังงาน คนกลุ่มนี้เป็นปัจจัยแวดล้อมที่ทำให้การเปลี่ยนผ่านไปใช้พลังงานทดแทน หรือใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต้องมาจากทุกภาคส่วนร่วมกัน ไม่ได้เกิดจากคนใดคนหนึ่งเท่านั้น ผลตอบแทนที่แตกต่างกันระหว่างบริษัทที่ใส่ใจกับไม่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม นั้น จะชัดเจนเมื่อมีการให้คุณประโยชน์กับบริษัทที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และให้(บทลง)โทษกับบริษัทที่ยังไม่ใส่ใจ จะทำให้เห็นความแตกต่างกันมากขึ้น และมากจากกำลังขับเคลื่อน 4 ด้าน นั่นคือ 1) ภาครัฐ (Government) จะออกนโยบายส่งเสริมให้บริษัทใส่ใจสิ่งแวดล้อม ผ่านการยกเว้นภาษี หรือเสียภาษีในอัตราที่ถูกกว่า ซึ่งจากการประชุม COP26 ที่มีประเทศร่วมพันธสัญญากว่า 200 ประเทศ รวมถึงประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ จีน ตกลงร่วมกันเรื่องการใช้พลังงานสะอาด และลดการปล่อยและเพิ่มการกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เรียกกันว่า Net Zero 2) การพัฒนาด้านเทคโนโลยี (Technology) จะทำให้เกิดการประหยัดพลังงาน หรือการใช้อย่างมีประสิทธิภาพและต้นทุนถูกลงได้ 3) ผู้บริโภค (Consumer) หากใส่ใจ Theme รักษ์โลก และเน้นบริโภคสินค้าและบริการจากบริษัทที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม จะเป็นแรงผลักดันที่จะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ 4) นักลงทุน (Investor) ที่จะเน้นลงทุนในบริษัทที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และเลือกที่จะไม่ลงทุนในบริษัทที่ไม่มี หรือมีความใส่ใจแต่ไม่มากพอ ทำให้ราคาหุ้นหรือผลประกอบการดีขึ้น ซึ่งการประสานกันของ 4 กำลังขับเคลื่อนจะเป็นตัวทำให้เกิดความแตกต่าง ระหว่าง บริษัทที่ทำ กับ ไม่ทำ
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,5.ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Finance_1444
Finance
ช่วยสรุปเรื่อง "ประเภทและสัดส่วนของธุรกิจของ Health Care" ให้หน่อยค่ะ
1. แบ่งแยก Health Care และ Health Tech (Health Innovation) ให้ชัดเจน เริ่มต้นที่ดัชนี Health Care ที่ทั่วโลกให้การยอมรับ MSCI World Health Care Index และ MSCI ACWI Health Care Index ซึ่งวัดผลตอบแทนกลุ่ม Health Care ในประเทศที่พัฒนาแล้ว และรวมประเทศทั่วโลกตามลำดับ ได้แบ่งประเภทและสัดส่วนของธุรกิจในกลุ่มดังกล่าวดังนี้ กลุ่มประเภทยาทั่วไป (Pharmaceuticals) (38%) เป็น กลุ่ม บ.ผู้ผลิตยาที่สามารถจ่ายได้โดยแพทย์และเภสัชกรทั่วไป หาซื้อได้ตามร้านขายยา หรือร้านสะดวกซื้อ ยาบางประเภทพิเศษและต้องการใบสั่งแพทย์ กลุ่ม Health Care Equipment (21%) เป็นกลุ่ม บ.ผลิตและจัดจำหน่ายอุปกรณ์ช่วยเหลือทางการแพทย์ และฟื้นฟูสุขภาพ กลุ่ม Bio Technology (13%) เป็นกลุ่ม บ.ที่วิจัย และคิดค้นผลิตภัณฑ์ยาจากชีวภาพ เช่น วัคซีน เซรุ่ม ยาพิเศษจากพืชและสัตว์ กระบวนการผลิตยาโดยกระบวนการทางชีวภาพ รวมถึง เทคโนโลยีที่เกี่ยวกับพันธุกรรม หรือ ยีนส์ กลุ่ม Managed Health Care (8%) เป็นกลุ่ม บ.ที่รวมการรักษาครบวงจรไว้ในที่เดียว เพื่อเป็นศูนย์การแพทย์ที่เพิ่มมูลค่าในกับคนมีฐานะ และต้องการดูแลเป็นพิเศษ กลุ่มอื่น ๆ เช่น Life Science และ Health Technology เป็นต้น
ดัชนี Health Care มีการแบ่งประเภทและสัดส่วนของธุรกิจดังนี้ 1. กลุ่มประเภทยาทั่วไป เป็นผู้ผลิตยาที่สามารถจ่ายได้โดยแพทย์และเภสัชกร หาซื้อได้ตามร้านขายยาหรือร้านสะดวกซื้อ มีสัดส่วน 38% 2. กลุ่ม Health Care Equipment เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ช่วยเหลือทางการแพทย์และฟื้นฟูสุขภาพ มีสัดส่วน 21% 3. กลุ่ม Bio Technology เป็นบริษัทวิจัยผลิตภัณฑ์ยาจากชีวภาพและเทคโนโลยีเกี่ยวกับพันธุกรรม มีสัดส่วน 13% 4. กลุ่ม Managed Health Care เป็บบริษัทที่รวมการรักษาครบวงจร เป็นศูนย์การแพทย์ที่เพิ่มมูลค่าในคนมีฐานะ มีสัดส่วน 8% 5. กลุ่มอื่น ๆ
8.การวิเคราะห์ทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1445
Finance
กองทุนใดที่มีนโยบายการบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน โดยการปรับตามความเหมาะสม ระหว่างกองทุน ONE-UGG-RA หรือกองทุน KFGG-A
null
กองทุน ONE-UGG-RA เพราะกองทุน ONE-UGG-RA จะมีนโยบายการบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน โดยเน้นแบบปรับตามความเหมาะสม ส่วนกองทุน KFGG-A จะมีนโยบายการบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน โดยเน้นป้องกันทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด เปรียบเทียบจุดเด่นระหว่างกองทุน ONE-UGG-RA และกองทุน KFGG-A - เป็นกองทุนที่ลงทุนในกองทุนหลักต่างประเทศกองเดียวกันทั้งคู่ และมีปรัชญาการลงทุนที่โดดเด่น อย่างการใช้ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางมาร่วมวิเคราะห์การลงทุน - เน้นหาหุ้นเติบโตได้ 5 เท่าใน 5 ปี - ทั้งสองกองมีความแตกต่างกันเรื่องของนโยบายการบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนซึ่งกองทุน ONE-UGG-RA จะเน้นแบบปรับตามความเหมาะสม ในขณะที่กองทุน KFGG-A จะเน้นป้องกันทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมดไปเลย - ผลตอบแทนย้อนหลังของกองทุนหลักมีความโดดเด่นเป็นอย่างมากทั้งในระยะสั้นและระยะยาวชี้ให้เห็นว่าปรัชญาการบริหารอันเป็นเอกลักษณ์ได้ออกดอกออกผล และพิสูจน์ให้คนเห็นแล้วว่าได้ผลจริง ดังนั้น กองทุนที่มีนโยบายการบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน โดยการปรับตามความเหมาะสม คือ กองทุน ONE-UGG-RA ส่วนกองทุน กองทุน KFGG-A จะมีนโยบายการบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน โดยเน้นป้องกันทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1446
Finance
Peter Lynch เคยพูดถึงความสำคัญของการรู้จักชนิดของหุ้นไว้ในหนังสือ ‘One Up On Wall Street’ ว่า หุ้นโตเร็ว (Fast Growers) เป็นอย่างไร
Peter Lynch เคยพูดถึงความสำคัญของการรู้จักชนิดของหุ้นไว้ในหนังสือ ‘One Up On Wall Street’ ว่าเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการลงทุนที่ควรเข้าใจมันเป็นสิ่งแรก ๆ ในการลงทุน ทำไมต้องแบ่งประเภทหุ้น? หุ้นแต่ละกลุ่มจะมีจุดเด่น ความคาดหวัง และความเสี่ยงที่แตกต่างกัน ตามรูปแบบของธุรกิจ อายุกิจการ ขนาดของบริษัท ดังนั้นการรู้ประเภทของหุ้นที่เราเลือกลงทุน จะทำให้เราสามารถวางแผน กระจายความเสี่ยงได้ง่ายขึ้น รวมถึงคาดหวังผลตอบแทนให้เป็นไปตามจริง ซึ่งการแบ่งประเภทของหุ้นนั้นมีหลากหลายวิธี หลายเกณฑ์มาก แต่วิธีแบ่งเป็น 6 ชนิดของ Peter Lynch เป็นหนึ่งวิธีที่ครอบคลุมและยังใช้ได้ดีในปัจจุบัน ไปดูกันครับว่าแต่ละชนิด มีลักษณะต่างกันอย่างไร หุ้นโตเร็ว (Fast Growers) กลุ่มนี้เหมือนเด็กที่เราจะเห็นการเปลี่ยนแปลง เติบโตได้มากที่สุดในทุกช่วงอายุ บริษัทขนาดเล็ก-กลางมาแรง บางตัวยังไม่กำไร แต่ราคานำไปก่อนแล้วจากเรื่องราวที่บริษัทให้ ทำให้นักลงทุนคาดหวังไว้สูง หุ้นกลุ่มนี้กำไรเติบโตก้าวกระโดดได้มากกว่า 20% ต่อปี หรือในยุคเทคโนโลยีครองโลกบางครั้งอาจเห็นกำไรเติบโตหลักหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ติดต่อกันหลายปี เนื่องจากกินรวบและขยายตลาดอย่างรวดเร็วผ่านระบบ Software (แต่การเติบโตมาก ๆ จะไม่อยู่ตลอด เมื่อบริษัทมีขนาดใหญ่ขึ้น การเติบโตที่สูงระดับเท่าเมื่อตอนบริษัทยังเล็กดูจะเป็นเรื่องยาก) หุ้นโตเร็วอยู่ได้ทุกอุตสาหกรรมไม่จำเป็นต้องเป็นอุตสาหกรรมที่เติบโตสูง กลุ่มนี้จะให้เงินปันผลน้อยหรือไม่ให้เลย เพราะบริษัทต้องการนำกำไรไปขยายธุรกิจต่อ ด้วยขนาดธุรกิจที่เล็กทำให้มีโอกาสเติบโตอีกมาก สามารถสร้างผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้นได้สูง ในขณะเดียวกันก็มีความเสี่ยงที่จะถูกเทขายเมื่อมีเหตุการณ์ผิดคาด หรือผลการดำเนินงานไม่เป็นไปตามที่ตลาดหวัง กลุ่มนี้จึงเป็นกลุ่มที่ High Risk – High Return ความผันผวนสูง แต่ดูเหมือนรายย่อยจะชอบมากที่สุดในตอนนี้ หุ้นแข็งแกร่ง (Stalwarts) กลุ่มนี้จะเหมือนวัยรุ่น-วัยทำงานที่แข็งแรง การเปลี่ยนแปลงจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป เปลี่ยนจากหุ้นโตเร็วที่พอเติบโตไปได้สักพัก การเติบโตก็จะเริ่มช้าลง เพราะบริษัทมีขนาดใหญ่ขึ้นและกลายเป็นหุ้นแข็งแกร่ง (Stalwarts) ลักษณะเด่นของหุ้นกลุ่มนี้อยู่ที่การมีกลุ่มลูกค้าใช้งานซ้ำเรื่อย ๆ เห็นหุ้นนี้เราก็จะรู้ทันทีว่าขายอะไรเพราะเราสามารถพบเจอสินค้าและบริการของบริษัทกระจายตัวไปทั่ว กลุ่มนี้จึงมีความไม่หวือหวา ความผันผวนต่ำกว่าหุ้นโตเร็ว เป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป สามารถทนต่อวิกฤตถดถอยได้ดี แต่ก็จะคาดหวังผลตอบแทนหลาย ๆ เด้งในระยะเวลาสั้น ๆ ได้ยาก ยกเว้นมีการพัฒนาใหม่ ๆ ที่ส่งผลต่อกำไรมาก ๆ (New S-Curve) จุดเด่นของกลุ่มนี้คือเงินสดในมือที่มาก ทำให้สามารถนำมาปันผลให้ผู้ถือหุ้นหรือใช้ซื้อกิจการอื่นได้ หากคุณไม่ชอบความหวือหวา รับความเสี่ยงได้ไม่มากในการซื้อหุ้น หุ้นกลุ่มนี้คือคำตอบของคุณ หุ้นโตช้า (Slow Growers) กลุ่มนี้จะเหมือนวัยชรา ที่ผ่านจุดสูงสุดไปแล้วและถดถอยลงเรื่อย ๆ หุ้นกลุ่มนี้คือหุ้นที่เคยเติบโตได้ดีและเคยแข็งแรงมาก่อน เมื่อเวลาผ่านไปมีอุตสาหกรรมอื่นเข้ามาแทนที่ อุตสาหกรรมเหล่านี้ก็จะเริ่มถดถอยลง (อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้) จุดเด่นของกลุ่มนี้คือมีปันผลที่มาก แต่ต้องระวังเลือกผิดตัวเจอ “กับดักปันผล” ที่ทำให้เราขาดทุนและไม่คุ้มกับปันผลที่ได้รับ ดังนั้นหากคุณไม่ได้ต้องการปันผลเพียงอย่างเดียวในการลงทุนให้ข้ามหุ้นกลุ่มนี้ไป! หุ้นฟื้นตัว (Turnarounds) กลุ่มนี้ยิ่งกว่าคนแก่ มันเหมือนคนใกล้ตายอยู่ในห้องฉุกเฉิน เป็นหุ้นที่ยิ่งกว่าโตช้า คือมันไม่โตเลยต่างหาก นักลงทุนต่างทอดทิ้งมัน และรอวันมันล้มหายไปจากตลาด ฟังดูแย่สุด ๆ แล้วมันมีอะไรที่น่าลงทุน ในบรรดาหุ้นทุกกลุ่ม กลุ่มนี้มีความเคลื่อนไหวสัมพันธ์กับตลาดน้อยที่สุด และมีความคาดหวังน้อยที่สุด สิ่งที่เป็นเสน่ห์ของหุ้นกลุ่มนี้คือ ถ้าคุณเลือกถูกตัว ในกลุ่มหุ้นที่รอความตาย จะมีบางตัวที่รอดและกลับมาได้ และมันจะให้ผลตอบแทนมหาศาล (ยกตัวอย่างเช่นช่วงไวรัสระบาดช่วยดันให้หุ้น e-commerce ที่กำลังจะเจ๊งฟื้นขึ้นมาได้ เพราะผู้บริโภคไม่สามารถไปห้างได้เหมือนเดิม) แต่ถ้าเลือกผิดโอกาสขาดทุนก็สูงมาก ดังนั้นหากคุณไม่ได้รู้ลึกรู้จริงในบริษัทน้ัน หรือไม่ใช่เซียนพนัน คุณควรหลีกเลี่ยงกลุ่มนี้ หุ้นวัฏจักร (Cyclicals) คือหุ้นกลุ่มที่มียอดขายขึ้นและกำไรขึ้นลงเป็นประจำสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นไปตามกลไกของ Demand และ Supply หุ้นวัฏจักรเป็นหุ้นที่ถูกเข้าใจผิดมากที่สุด เพราะหุ้นวัฏจักรหลัก ๆ เป็นหุ้นขนาดใหญ่เป็นที่รู้จักกันดี ทำให้หลาย ๆ ครั้ง คนเข้าใจผิดและรวมมันเข้ากับหุ้นแข็งแกร่ง การเข้าซื้อหุ้นวัฏจักรในจังหวะที่ผิดนั้นอาจจะทำให้คุณกระเป๋าฉีกได้เลยทีเดียว โดยทั่วไปมันสามารถขาดทุนได้มากกว่า 50% และในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอาจขาดทุนได้มากกว่า 80% สิ่งที่จำเป็นในการเข้าซื้อหุ้นวัฏจักรคือ ต้องรู้สัญญาณหรือตัวบ่งชี้บางอย่างที่สามารถบอกได้ว่าธุรกิจกำลังตกต่ำลงหรือดีขึ้นเพื่อซื้อมันต้องแต่เนิ่น ๆ หุ้นทรัพย์สินมาก (Asset Play) คือกลุ่มหุ้นที่มีทรัพย์สินบางอย่างซ่อนอยู่ และตลาดประเมินพลาดหรือยังไม่เห็นมัน ตัวอย่างทรัพย์สินเช่นเงินสด อสังหาริมทรัพย์ ที่ดิน เครื่องจักร ใบอนุญาต การจะลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ได้จำเป็นต้องมีความรู้จักในบริษัทนั้นเป็นอย่างดี และคุณต้องประเมินมูลค่าที่ซ่อนอยู่ด้วยตัวเอง เพราะตลาดยังไม่รับรู้ถึงมัน ทำให้นักวิเคราะห์และนักลงทุนไม่ได้ติดตามมัน
หุ้นโตเร็ว (Fast Growers) กลุ่มนี้เหมือนเด็กที่เราจะเห็นการเปลี่ยนแปลง เติบโตได้มากที่สุดในทุกช่วงอายุ บริษัทขนาดเล็ก-กลางมาแรง บางตัวยังไม่กำไร แต่ราคานำไปก่อนแล้วจากเรื่องราวที่บริษัทให้ ทำให้นักลงทุนคาดหวังไว้สูง หุ้นกลุ่มนี้กำไรเติบโตก้าวกระโดดได้มากกว่า 20% ต่อปี หรือในยุคเทคโนโลยีครองโลกบางครั้งอาจเห็นกำไรเติบโตหลักหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ติดต่อกันหลายปี เนื่องจากกินรวบและขยายตลาดอย่างรวดเร็วผ่านระบบ Software (แต่การเติบโตมาก ๆ จะไม่อยู่ตลอด เมื่อบริษัทมีขนาดใหญ่ขึ้น การเติบโตที่สูงระดับเท่าเมื่อตอนบริษัทยังเล็กดูจะเป็นเรื่องยาก) หุ้นโตเร็วอยู่ได้ทุกอุตสาหกรรมไม่จำเป็นต้องเป็นอุตสาหกรรมที่เติบโตสูง กลุ่มนี้จะให้เงินปันผลน้อยหรือไม่ให้เลย เพราะบริษัทต้องการนำกำไรไปขยายธุรกิจต่อ ด้วยขนาดธุรกิจที่เล็กทำให้มีโอกาสเติบโตอีกมาก สามารถสร้างผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้นได้สูง ในขณะเดียวกันก็มีความเสี่ยงที่จะถูกเทขายเมื่อมีเหตุการณ์ผิดคาด หรือผลการดำเนินงานไม่เป็นไปตามที่ตลาดหวัง กลุ่มนี้จึงเป็นกลุ่มที่ High Risk – High Return ความผันผวนสูง แต่ดูเหมือนรายย่อยจะชอบมากที่สุดในตอนนี้
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1448
Finance
ผู้ออกตราสารใดมีสัดส่วนที่ลงทุนกับกองทุน PWIN เป็น 12.04% ระหว่าง First Trust Nasdaq Cybersecurity ETF, Fidelity MSCI Information Technology Index ETF หรือ Ark Innovation ETF
null
Fidelity MSCI Information Technology Index ETF เพราะ Fidelity MSCI Information Technology Index ETF มีสัดส่วนน้ำหนักเป็น อันดับสองกองทุน คือ 12.04% ด้วยความที่เป็นกองทุนแนว Passive แบบเน้นสร้างผลตอบแทนให้มีความใกล้เคียงกับดัชนี MSCI USA IMI Information ซึ่งเป็นดัชนีตัวแทนของหุ้นเทคโนโลยีของสหรัฐฯ โดยใช้กลยุทธ์อย่าง Representative Sampling หรือการลงทุนผ่านหุ้นกลุ่มตัวแทนเพื่อเลียนแบบดัชนี เพื่อลดข้อจำกัดทางด้านสภาพคล่องในการครอบครองหรือการเก็บภาษีทางรายได้ ข้อจำกัดที่ว่าอาจทำให้การถือครองหุ้นแบบดัชนีอ้างอิงเกิดข้อจำกัดในการซื้อ โดยทางกองทุนจะคัดเลือกหุ้นที่เข้าเกณฑ์ผ่านเงื่อนไขต่าง ๆ เช่น มูลค่าทางการตลาด (หุ้นใหญ่แค่ไหน) สัดส่วนน้ำหนักในอุตสาหกรรม ลักษณะทางพื้นฐานต่าง ๆ อาทิ การเปลี่ยนแปลงของผลตอบแทน และ ผลตอบแทน (Yield) ดังนั้นพอร์ตหุ้นที่ได้ของดัชนีนี้ จะค่อนข้างมีการกระจายตัว เพราะ ดัชนี MSCI USA IMI Information นั้นรวมเอาหุ้นเทคโนโลยีทุกไซส์มาไว้ด้วยกัน ช่วยสร้างสมดุลล้อไปกับกองทุนเน้น Growth หนัก ส่วน Ark Innovation ETF มีสัดส่วน 27.57% โดยตัวกองทุนจะมีการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีผ่านเซกเตอร์ที่หลากหลาย เน้นการเติบโตในระยะยาว ผ่านหุ้นที่มีมีความสัมพันธ์ (Correlation) ตรงกันข้ามกับหุ้นกลุ่มมูลค่า (Value stocks) แบบเดิม ๆ และมีค่าความสัมพันธ์ต่ำกว่าหุ้น Growth ดั้งเดิม หรือสรุปง่าย ๆ ว่า เลือกหุ้น Growth แบบไปสุด แหวกแนว ไม่สนกฎเกณฑ์แบบเดิมมากมายนักนั่นเอง และ First Trust Nasdaq Cybersecurity ETF มีสัดส่วน 9.06% เป็นกองทุนที่เน้นทำผลงานให้ใกล้เคียงกับดัชนี Nasdaq CTA Cybersecurity IndexSM ซึ่งเป็นดัชนีที่เน้นลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีกลุ่ม Cybersecurity ซึ่งเป็น Segment ที่มีความสำคัญกับการเติบโตของยุคเทคโนโลยีที่มีการจัดเก็บข้อมูลผ่านระบบออนไลน์เป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังมีความสำคัญต่อทั้งรัฐบาลและองค์กรอยู่เสมอ ไม่ว่าภาวะเศรษฐกิจจะเป็นเช่นไร ดังนั้น Cybersecurity ถือเป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่น่าจับตามอง เพราะ มีส่วนผสมทั้งเชิง Growth แบบหุ้นเทคโนโลยี และเชิงรับจากลักษณะของอุตสาหกรรม
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1449
Finance
กองทุนใดอยู่ใน 10 อันดับ กองทุนผลตอบแทนโดดเด่นประจำวันที่ 28 ส.ค. – 3 ก.ย. 64
A. ONE-UGG-RA B. K-VIETNAM C. ASP-LEGACY-UI D. TMBGQG
ข้อที่ถูกต้องได้แก่ C. เพราะว่า เพราะ ASP-LEGACY-UI – กองทุนเปิด แอสเซทพลัส เลกาซี่ ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย อยู่ใน 10 อันดับ กองทุนผลตอบแทนโดดเด่นประจำวันที่ 28 ส.ค. – 3 ก.ย. 64 10 อันดับกองทุนผลตอบแทนโดดเด่นประจำวันที่ 28 ส.ค. – 3 ก.ย. 64 1. ASP-LEGACY-UI – กองทุนเปิด แอสเซทพลัส เลกาซี่ ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +7.18 ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +9.84% 2. BCAP-CTECH – กองทุนเปิดบีแคป ไชน่า เทคโนโลยี ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +5.55 % ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): -23.78% 3. TMBINDAE – กองทุนเปิดทีเอ็มบี India Active Equity ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +4.88 % ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +34.51% อันดับที่ 4-10 : ASP-INDIA, KF-INDIA, ONE-INDIAOPP-IA, SCBCEH, B-BHARATA, KF-CHINA, ONE-INDIAOPP-ID หมายเหตุ: ข้อมูลหน่วยราคากองทุน อัปเดตล่าสุด เมื่อวันที่ 3 ก.ย. 2564
1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_1450
Finance
ช่วยสรุปเรื่อง "กองทุนปันผล" ให้หน่อยค่ะ
กองทุนปันผล คือ กองทุนรวมที่มีนโยบายจ่ายผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนของกองทุนให้กับผู้ถือหน่วยลงทุน โดยจะจ่ายเป็นเงินสดออกมาให้เราระหว่างทางที่ลงทุน เงินปันผลมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานและนโยบายของกองทุนนั้น ข้อดีของกองทุนปันผล เป็นแหล่งสร้าง Passive Income ทำให้เรามีกระแสเงินสดเป็นประจำ เพื่อนำมาใช้จ่ายระหว่างทาง ทำหน้าที่ในการ Take Profits ให้กับเราโดยอัตโนมัติ ทำให้เราได้ผลตอบแทนจากกองทุน ช่วยแก้ปัญหาเวลาที่กองทุนมีกำไรแล้วเราไม่ได้ขายออก ข้อด้อยของกองทุนปันผล เงินปันผลที่ได้มาจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 10% มูลค่าหน่วยลงทุน หรือ NAV ของกองทุนไม่ค่อยไปไหน เพราะ NAV ก็ลดลงตามเมื่อกองทุนจ่ายเงินปันผลออกมา ดังนั้น ส่วนต่างกำไร (Capital gain) ของกองทุนปันผลจะไม่เยอะ
กองทุนปันผล คือ กองทุนรวมที่มีนโยบายจ่ายผลตอบแทนให้กับผู้ถือหน่วยลงทุน โดยจ่ายเป็นเงินสดออกมา เงินปันผลจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานและนโยบายของกองทุน ข้อดี - เป็นแหล่งสร้าง Passive Income ทำให้มีกระแสเงินสดเป็นประจำ - Take Profits ให้โดยอัตโนมัติ ทำให้ได้ผลตอบแทนและช่วยแก้ปัญหาเวลากองทุนมีกำไรแล้วขายไม่ออก ข้อเสีย - เงินปันผลถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 10% - มูลค่าหน่วยลงทุนไม่ค่อยไปไหน เพราะลดลงเมื่อกองทุนจ่ายเงินปันผลออกมา
5.ความรู้ทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1451
Finance
หากพิจารณาจากการประกาศนโยบายเกี่ยวกับการผ่อนคลายเชิงปริมาณครั้งสำคัญๆ 8 ครั้งที่ผ่านมา จะพบว่าอย่างไร
1. พันธบัตรสหรัฐและหน่วยงานภาครัฐ ตราสารที่มีสินเชื่อบ้านค้ำประกัน และอัตราดอกเบี้ยตราสารหนี้ภาคเอกชน จะมีอัตราดอกเบี้ยลดลงในวันรุ่งขึ้น 2. การลดขนาดของ QE ที่จะมีผลต่อเศรษฐกิจ ได้แก่ ช่องทางทางการคลัง 3. อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรสหรัฐจะสูงขึ้น 4. เงินสดและสินทรัพย์ทางการเงินอื่น ๆ ไม่สามารถทดแทนกันโดยสมบูรณ์ได้
คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ 1. เพราะว่า หากพิจารณาจากการประกาศนโยบายเกี่ยวกับการผ่อนคลายเชิงปริมาณครั้งสำคัญๆ 8 ครั้งที่ผ่านมา จะพบว่า พันธบัตรสหรัฐและหน่วยงานภาครัฐ ตราสารที่มีสินเชื่อบ้านค้ำประกัน และอัตราดอกเบี้ยตราสารหนี้ภาคเอกชน จะมีอัตราดอกเบี้ยลดลงในวันรุ่งขึ้น โดยที่ผลกระทบต่อพันธบัตรของหน่วยงานภาครัฐมีค่าสูงที่สุดต่อครั้ง ประมาณร้อยละ 0.2 โดยคาดว่าผลกระทบทางจิตวิทยา จากการประกาศการลดขนาด QE ก็น่าจะประมาณไว้อยู่ที่ราวร้อยละ 0.2 เมื่อธนาคารกลางสหรัฐค่อย ๆ ยกเลิกการผ่อนคลายเชิงปริมาณ จะเห็นได้ว่า อัตราดอกเบี้ยของพันธบัตรอายุ 10-15 ปี สูงขึ้นอีกอย่างน้อยประมาณร้อยละ 0.5 หากพิจารณาปฏิบัติการที่เฟดออกจากนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายหรือ Exit Strategy ในช่วงระยะเวลา 27 ปีที่ผ่านมา จะพบว่า มีอยู่ด้วยกัน 2 ครั้ง คือ ปี 1994 ซึ่งเปลี่ยนโหมดจากนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายมาเป็นแบบตึงตัวอย่างรวดเร็ว ซึ่งผลลัพธ์คือ อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรทั้งระยะเวลา 1 ปีและ 10 ปี เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยอัตราดอกเบี้ยระยะเวลา 1 ปี เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 3.69 ภายในระยะเวลา 12 เดือน ในทางกลับกันในปี 2003-2007 นั้น เฟดเปลี่ยนโหมดดังกล่าวแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยอัตราดอกเบี้ยระยะเวลา 1 ปี เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.97 ทว่าใช้เวลาถึงเกือบ 4 ปี นอกจากนี้ อัตราดอกเบี้ยระยะเวลา 10 ปี เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 1.01 แน่นอนว่า หากเฟดลดขนาดการซื้อพันธบัตรในปี 2021 อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรสหรัฐก็จะสูงขึ้น
4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_1452
Finance
จงยกตัวอย่างเครื่องมือของ Marketsmith
null
Marketsmith เป็น Tool สำหรับการทำวิจัยเลือกหุ้นตามแบบฉบับของ CANSLIM Marketsmith อยู่ในเครือของ investor’s business daily โดยมีผู้ก่อตั้งคือ William J. O’Neil โดยเขาให้ลูกชายคือ Scott O’Neil เป็นคนดูแลบริหารจัดการ ตัวอย่างเครื่องมือของ Marketsmith 1. MarketSmith University มี VDO ให้เรียนพื้นฐาน จนไปถึงการ Screen หุ้น และมี Webinars สม่ำเสมอในการให้ความรู้ มี Webinar มากมาย มีการเชิญสุดยอด Trader เช่น Mark Minervini หรือ David Ryan มาให้ความรู้เสมอ 2. Chart จบทั้งพื้นฐานและเทคนิคคอล ทั้ง Chart แบบ Daily และ Chart แบบ Weekly จาก Chart ที่มี จะมีข้อมูลสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น ด้าน Technical จะมี - Moving average - RS ( Relative Strength ) - Pivot Point - Chart Pattern ส่วนด้าน Fundamental ก็จะมี - Sale / EPS - PE/ROE - จำนวนกองทุนที่ถือทุกๆ 3 เดือน ระบบ CANLSIM จะเลือก fundamental 70% อีก 30% จะใช้ technical 3. ระบบคัดเลือก สามารถกรองหุ้นด้วยทั้ง fundamental และ technical ได้ โดยมีเงื่อนไขดังนี้ - RS rating ต้องมากกว่า 85 - A/D Rating สัดส่วนของการเก็บหุ้นและกระจายหุ้น ต้องมากกว่า A และ B Rating - Up/Down Vol สัดส่วน volume up/down ต้องมากกว่า 1 - Volume Trade เฉลี่ยที่ 50 วันต้องมากกว่า 500K - การเปลี่ยนแปลงของยอดขายเทียบ Q และ Y ต้องมากกว่า 10% - ESP Rating การเติบโตของกำไร เทียบกับอุตสาหกรรมเดียวกัน ต้องมากกว่า 20 - EPS การเติบโตของกำไรทั้ง Q และ Y ต้องมากกว่า 10% - การเติบโตของจำนวนกองทุนที่มาถือหุ้นต้องมากกว่า 1% ต่อไตรมาส - ต้องมี EPS surprise ต้องมากกว่า 1%
5.ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1454
Finance
ในฐานะนักลงทุนรายย่อย เราควรใช้วิธีการใดในการวิเคราะห์ ETF ก่อนตัดสินใจลงทุน?
null
1. วิเคราะห์นโยบายการลงทุนของ ETF: ศึกษาว่า ETF นั้นอ้างอิงดัชนีหรือสินทรัพย์อะไร เปรียบเทียบนโยบายการลงทุนของ ETF หลาย ๆ ตัวที่อ้างอิงดัชนีเดียวกัน พิจารณากลยุทธ์การลงทุนของ ETF ว่าเป็น Passive หรือ Active 2. วิเคราะห์ความเสี่ยงของ ETF: ตรวจสอบค่า Sharpe Ratio และ Sortino Ratio ของ ETF วิเคราะห์ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk) พิจารณาความเสี่ยงจากค่าธรรมเนียม (Expense Ratio) 3. วิเคราะห์ผลการดำเนินงาน: เปรียบเทียบผลตอบแทนของ ETF กับดัชนีอ้างอิง วิเคราะห์ผลตอบแทนย้อนหลัง (Historical Performance) พิจารณาความสม่ำเสมอของผลตอบแทน (Consistency) 4. วิเคราะห์ผู้จัดการกองทุน: ตรวจสอบประสบการณ์และผลงานที่ผ่านมาของผู้จัดการกองทุน พิจารณากลยุทธ์การจัดการของผู้จัดการกองทุน ศึกษาชื่อเสียงของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) 5. วิเคราะห์ปัจจัยอื่นๆ: พิจารณาขนาดกองทุน (Fund Size) เปรียบเทียบค่าธรรมเนียมการซื้อขาย (Transaction Cost) ศึกษาความเสี่ยงจากการจ่ายเงินปันผล (Dividend Risk) ข้อควรระวัง: ไม่ควรลงทุนใน ETF เพียงตัวเดียว ควรกระจายความเสี่ยง ไม่ควรตัดสินใจลงทุนจากผลตอบแทนย้อนหลังเพียงอย่างเดียว ควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน ตัวอย่าง: นักลงทุนรายย่อยต้องการลงทุนใน ETF ที่อ้างอิงดัชนี SET50 วิธีการวิเคราะห์: ศึกษาว่า ETF ตัวไหนอ้างอิงดัชนี SET50 เปรียบเทียบนโยบายการลงทุนของ ETF SET50 หลาย ๆ ตัว ตรวจสอบค่า Sharpe Ratio และ Sortino Ratio ของ ETF SET50 วิเคราะห์ความเสี่ยงด้านสภาพคล่องของ ETF SET50 เปรียบเทียบผลตอบแทนของ ETF SET50 กับดัชนี SET50 ศึกษาประสบการณ์และผลงานที่ผ่านมาของผู้จัดการกองทุน ETF SET50 พิจารณาค่าธรรมเนียมการซื้อขาย ETF SET50 สรุป: การวิเคราะห์ ETF ก่อนตัดสินใจลงทุนเป็นสิ่งที่สำคัญมาก นักลงทุนรายย่อยควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด
5.ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1455
Finance
นักลงทุนควรลงทุนในกองทุน PWIN เพียงกองทุนเดียว เพื่อเป็น Core Portfolio ของพอร์ตการลงทุนหรือไม่?
null
ไม่ เพราะ กองทุน PWIN มีความเสี่ยงสูง: กองทุน PWIN ลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีทั่วโลก ซึ่งหุ้นเทคโนโลยีมีความผันผวนสูง - กองทุน PWIN ลงทุนในสินทรัพย์ประเภทเดียว: กองทุน PWIN ลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว - พอร์ตการลงทุนควรกระจายความเสี่ยง: การกระจายความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุน คำอธิบายเพิ่มเติม: - กองทุน PWIN มีความเสี่ยงสูง: กองทุน PWIN ลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีทั่วโลก ซึ่งหุ้นเทคโนโลยีมีความผันผวนสูง หมายความว่า ราคาหุ้นสามารถขึ้นหรือลงได้อย่างรวดเร็ว - กองทุน PWIN ลงทุนในสินทรัพย์ประเภทเดียว: กองทุน PWIN ลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว หมายความว่า พอร์ตการลงทุนจะได้รับผลกระทบอย่างมาก - พอร์ตการลงทุนควรกระจายความเสี่ยง: นักลงทุนควรกระจายเงินลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ตัวอย่างการกระจายความเสี่ยง: - ลงทุนในหุ้นในภูมิภาคต่างๆ - ลงทุนในตราสารหนี้ - ลงทุนในทองคำ - ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ สรุป: นักลงทุนควรลงทุนในกองทุน PWIN ร่วมกับกองทุนอื่นๆ เพื่อกระจายความเสี่ยง หมายเหตุ: ข้อมูลข้างต้นเป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้น นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีต ไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด และพิจารณาความเหมาะสมก่อนตัดสินใจลงทุน
5.ความรู้ทางการเงิน,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1456
Finance
เว็บไซต์Seeking Alpha คืออะไร
null
สุดยอด crowd-sourced research แห่งยุค ล่าสุด The Wall Street Journal ตีพิมพ์บทความเรื่อง Crowdsourced Stock Opinions Beat Analysts, News ที่พูดถึงการศึกษาเชิงวิชาการใหม่ที่ให้ความเชื่อถือกับปรากฏการณ์ ” Wisdom of crowds ” ซึ่งไม่ได้ใช้กับรายการสารานุกรมและบทวิจารณ์หุ้นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการทำนายตลาดหุ้นด้วย Seekingalpha คือ ปรากฏการณ์ “Wisdom of crowds” ที่ทำให้นักลงทุนรายย่อยไม่ต้องเสียเงินจำนวนมากเพื่อไปซื้อบทวิจัยจากสถาบันการเงินระดับโลกที่แสนจะแพง โดยเริ่มต้นแค่ USD 20 ต่อเดือน คุณก็สามารถเข้าถึงบทความและบทวิเคราะห์มากมายในเว็บไซต์ จุดเด่นหลัก ๆ 4 ข้อ : 1. ค้นหาหุ้น มี Menu ที่ทำการ Screen หุ้นไว้อยู่แล้ว อยากได้แนวไหนมีให้เลือก เช่น top value stocks หรือ top growth stock สามารถปรับแต่งการค้นหาตามที่เราต้องการ 2. เป็นข้อมูลที่ทั่วไป ไม่ได้มีอะไรพิเศษ 3. คือ การเปิดให้ blogger ที่เขียนบทความใน seeking alpha ให้ rating สำหรับหุ้นตัวนี้ พร้อมกับบทความวิเคราะห์ที่แต่ละคนคิด - ซึ่งแต่ละคนเขียนบทความได้มีความลึก ไม่ใช่แค่เล่นๆ โดยถ้าใครชอบ blogger คนไหนวิเคราะห์หุ้น ก็สามารถกด follow ได้ - ระบบจะมีการเปรียบเทียบว่า blogger หรือเรียกว่า SA author กับ นักวิเคราะห์ใน Wall Street คิดเห็นเหมือนกันและแตกต่างกันอย่างไร - Marketplace ความแตกต่างอีกข้อ คือ market place คือให้เหล่า SA author มาออกแบบพอร์ตลงทุนตาม style ของแต่ละคน พร้อมมี บทวิเคราะห์แบบ exclusive สำหรับผู้ซึ่งซื้อบริการ marketplace โดยข้างในจะมีบทความและพอร์ตลงทุนของแต่ละคน โดยผู้ซื้อ สามารถเลือกหุ้นตามได้ - การลงทุนหุ้นในต่างประเทศจะยากกว่าลงทุนหุ้นในประเทศไทยมาก แต่อย่างไรก็ตามระบบในข้อมูลและการวิเคราะห์จะมีมากกว่าประเทศไทยมาก
4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1457
Finance
หากต้องการศึกษาเกี่ยวการเป็น VI ควรเรียนรู้จากอะไร?
การเป็น “VI” ที่สมบูรณ์สำหรับผมก็คือ คนที่ “รอบรู้” ในศาสตร์ “รอบด้าน” อย่างถูกต้อง ที่สำคัญก็คือเรื่องของเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การทำธุรกิจและการลงทุน โดยที่ความรู้ “พื้นฐาน” ที่สำคัญมากที่สุดก็คือ ความรู้เกี่ยวกับ “คน” หรือพูดให้ชัดเจนก็คือ “พฤติกรรมของคน” โดยที่ความรู้ใน “ภาพใหญ่” คือเศรษฐกิจ สังคม การเมืองและการทำธุรกิจนั้น เราไม่จำเป็นต้องรู้ลึกแต่ต้องรู้กว้างและรู้จริง ส่วนความรู้ในเรื่องของการลงทุนนั้น เราต้องรู้ลึกและรู้จริง วิธีการเรียนรู้ที่สำคัญที่สุดไม่มีอะไรดีไปกว่าการอ่านหนังสือ แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ การเลือกหนังสือที่จะอ่าน เหตุผลก็เพราะว่ามีหนังสือมากมายเกินกว่าที่เราจะอ่านไหว แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ หนังสือมีรายละเอียดมากเกินไปจนเราไม่เห็นภาพใหญ่ หนังสือจำนวนมาก “ไม่ถูกต้อง” เพราะคนเขียนก็ไม่รู้จริงหรือที่แย่ยิ่งกว่าก็คือ เขียนจากความคิดที่ “ลำเอียง” ที่มาจากพื้นฐานทางจิตวิทยาของตนเอง ผมเองได้อ่านหนังสือหลากหลายมากในหลากหลายศาสตร์ดังกล่าว ถึงวันนี้เมื่อคิดย้อนหลังไป มีหนังสือหลายเล่มที่คิดว่าช่วยให้ผม “ตาสว่าง” คือ “รู้” ในสิ่งที่ไม่เคยรู้ หรือ “รู้” ในสิ่งที่ผมเข้าใจผิดมานาน หนังสือหลายเล่มหรือน่าจะส่วนใหญ่เป็น “หนังสือประวัติศาสตร์” หรือแนวอิงประวัติศาสตร์ที่เขียนโดย “เซียน” ที่มีการศึกษามาเป็นอย่างดี ที่ “เล่าเหตุการณ์” ต่าง ๆ ต่อเนื่องกันมาอย่างมีเหตุมีผลและมาจาก “พื้นฐาน” ที่ถูกต้องนั่นก็คือ ความเป็น “มนุษย์” ที่เป็นคนสร้างเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์จนถึงวันนี้ หนังสือเล่มแรกซึ่งจริง ๆ ก็คือหนังสือพื้นฐานสำคัญที่สุดที่ผมคิดว่า VI หรือคนทั่วไปควรจะอ่านเป็นอย่างยิ่งก็คือ หนังสือชื่อ Sapiens: A Brief History of Humankind หรือ เซเปียนส์: ประวัติย่อของมนุษยชาติ เขียนโดย ยูวัล แฮรารี นักประวัติศาสตร์ชื่อดังชาวยิว นี่คือหนังสือที่เล่าเรื่องราวของมนุษย์พันธุ์เซเปียนตั้งแต่เริ่มต้นวิวัฒนาการและการก่อร่างสร้างเมือง เอาชนะสัตว์ทั้งปวงรวมถึงมนุษย์เผ่าอื่นที่เพิ่งล้มตายและ “สูญพันธุ์” ไปแค่ 4-50,000 ปีมานี้เอง ส่วนการเอาชนะสัตว์อื่นทั้งปวงและสามารถ “ครองโลก” ได้อย่างเด็ดขาดเองนั้น ก็น่าจะเพิ่งเกิดขึ้นแค่ไม่เกิน 10,000-20,000 ปี และการสร้างเมือง รัฐ และสถาบันต่าง ๆ ในการปกครองรวมถึงศาสนานั้นก็แค่ 4-5,000 ปีที่ผ่านมา ไม่ต้องพูดถึง “ประเทศ” อย่างที่เรารู้จักที่มีขอบเขตดินแดนแน่นอนที่เพิ่งจะก่อตั้งขึ้นเมื่อไม่กี่ร้อยปีที่แล้วนี่เอง แฮรารีบอกว่า ที่เซเปียนส์พัฒนาตนเองได้เร็วมากก็เพราะว่ามนุษย์มีจิตสำนึก รู้จักคิดและมี “จินตนาการ” สามารถคิดฝันและเชื่อในสิ่งที่ไม่มีตัวตนหรือมีคุณค่าทางธรรมชาติและก็ปฏิบัติไปตามความเชื่อนั้นได้ ตัวอย่างที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งที่ทำให้มนุษย์ก้าวหน้ามหาศาลก็เช่นเรื่องของ “เงิน” ที่ทุกคนเชื่อว่ามันสามารถเอาไปใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการได้ทั้ง ๆ ที่มันเป็นก้อนโลหะหรือเป็นกระดาษหรือในปัจจุบันเป็นแค่ตัวเลขดิจิตอลในคอมพิวเตอร์เป็นต้น ดังนั้น พวกเขาจึงยอม “ทำงาน” อะไรบางอย่างให้กับคนอื่นเพื่อหาเงินมาใช้เพื่อเอาชีวิตให้รอดและเก็บไว้เพื่ออนาคตของตนและลูกหลาน เช่นเดียวกัน “บริษัท” ก็เป็นแค่ “นามธรรม” ที่สามารถทำงานไปได้เรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่องในขณะที่คนอาจจะตายหรือหายไปในเวลาไม่กี่สิบปี ดังนั้น บริษัทจึงสามารถดำเนินการและพัฒนาสินค้าของตนไปอย่างต่อเนื่องยาวนานและสามารถพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ทำให้โลกก้าวหน้าขึ้น เป็นต้น ผมเองคิดว่าเซเปียนส์น่าจะเป็นหนังสือที่ติดอันดับอย่างน้อย “หนังสือแห่งทศวรรษ” ของโลกโดยเฉพาะทางด้านประวัติศาสตร์ คนที่อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วจะสามารถ “ต่อยอด” ไปอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ของโลก รัฐ และประเทศได้อย่างมีความเข้าใจที่ถูกต้อง และจะไม่ถูกทำให้หลงเข้าใจผิดจาก “ความลำเอียง” ที่เกิดจากรัฐหรือผู้คนที่พยายามสร้าง “สตอรี่” ที่เทิดทูนประเทศตนเองและลดค่าประเทศอื่นซึ่งก็เป็นธรรมชาติหรือพฤติกรรมของคนที่ติดมากับยีนของมนุษย์ตั้งแต่ยุคหมื่นปีที่แล้ว ถ้าพูดถึงประวัติศาสตร์ของไทยเองนั้น หนังสือที่ “เปิดโลกใหม่” ให้กับผมก็คือ หนังสือหลายเล่มที่เขียนโดย ดร. ธงชัย วินิจจะกูล ศาสตราจารย์ประวัติศาสตร์เอเซียตะวันออกเฉียงใต้และประวัติศาสตร์ไทยแห่งมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน สหรัฐอเมริกา นี่คือกลุ่มหนังสือที่พูดถึงประวัติศาสตร์ของไทยที่แตกต่างจากประวัติศาสตร์ “ทางการ” ของรัฐไทยที่คนไทยทุกคนต้องเรียนและได้รับรู้มาตลอด แน่นอนว่านักวิชาการ “กระแสหลัก” ของไทยคงจะไม่เห็นด้วยกับความคิดและการวิเคราะห์ของ ดร.ธงชัย เป็นอย่างยิ่ง เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ประวัติศาสตร์ของประเทศนั้น เหตุผลสำคัญที่สอนให้คนรับรู้ก็คือ เพื่อให้คนรักและภาคภูมิใจกับความเป็นชาติ ดังนั้น เรื่องราวที่จะลดทอนความรู้สึกแบบนั้นจึงน่าจะถูกต่อต้าน อย่างไรก็ตาม ถ้าเราจะเรียนรู้จากประวัติศาสตร์ได้จริง เราก็ควรจะได้เรียนรู้จากความจริงที่เกิดขึ้นในอดีต และนี่ก็คือส่วนหนึ่งของหนังสือที่จะช่วยให้เราเรียนรู้ “การเมือง” ของไทยได้ดีขึ้น หนังสือแนวประวัติศาสตร์เกี่ยวกับตลาดหุ้นและการลงทุนที่ผมคิดว่าได้กลายเป็นหนังสือคลาสสิกระดับเดียวกับหนังสือ Intelligent Investor ของเหล่า VI ก็คือ A Random Walk Down Wall Street โดย Burton Malkiel ซึ่งเป็นหนังสือที่อิงอยู่กับทฤษฎี “ตลาดหุ้นที่มีประสิทธิภาพ” ซึ่งบอกว่าไม่มีกลยุทธ์อะไรที่จะสามารถเอาชนะตลาดได้อย่างยั่งยืนยกเว้นแต่จะต้องเสี่ยงมากขึ้น เนื้อหาไม่ได้บอกวิธีการลงทุนที่จะเอาชนะตลาด แต่เป็นหนังสือที่เล่าเรื่องราวความเป็นมาของตลาดหุ้น เรื่องที่คนเข้าใจผิด และให้ข้อคิดที่เป็นประโยชน์กับนักลงทุนทุกคนและทุกแนว อ่านแล้วจะทำให้เราเห็นพัฒนาการระยะยาวของตลาดหุ้นในโลกจนถึงปัจจุบันโดยเฉพาะในเวอร์ชั่นใหม่ ๆ ของหนังสือที่จะออกมาทุกหลาย ๆ ปี ไม่ล้าสมัย คนที่ไม่เคยอ่านเลย เมื่ออ่านจบก็อาจจะรู้สึกได้ว่าความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับตลาดและการลงทุนเพิ่มขึ้นมาก หนังสือ 2 เล่มสุดท้ายที่ผมรู้สึกว่าได้ “เปิดตา” ผมให้เข้าใจเรื่องของการแข่งขันทางธุรกิจของบริษัทได้มากที่สุดเล่มหนึ่ง เพราะมันพูดถึงตำแหน่งและการแข่งขันทางการตลาดของผลิตภัณฑ์ชื่อว่า Positioning : The Battle for Your Mind และ Marketing Warfare โดย Al Ries กับ Jack Trout นี่เป็นหนังสือทางการตลาดเล่มเล็ก ๆ และอ่านง่ายมากที่ผมซึ่งเคยเรียนจบ MBA ทางการตลาดไม่เคยได้รับรู้เลย เพราะเวลาที่ผมเรียนการตลาด เขาจะสอนเรื่องโครงสร้างการแข่งขันของอุตสาหกรรม จุดอ่อนจุดแข็งของกิจการ วิถีการทำการตลาด การจัดการช่องทางการตลาด การทำแคมเปญเพื่อขายสินค้า เป็นต้น แต่ไม่เคยเรียนถึง “พื้นฐาน” ของจิตใจลูกค้าเลย ไม่รู้กระบวนการคิดของสมองหรือจิตใจของลูกค้าต่อสินค้าซึ่งเป็นเรื่องที่น่าจะสำคัญที่สุด อ่านหนังสือเล่มนี้จบจะทำให้เราสามารถวิเคราะห์ว่าสินค้าไหนจะได้เปรียบ “อย่างยั่งยืน” และโดดเด่นแค่ไหน คู่แข่งขันจะสามารถเอาชนะหรือต่อสู้ด้วยวิธีการอย่างไร สิ่งที่สำคัญก็คือ การต่อสู้ทางการตลาดนั้น เขาบอกว่ามันอยู่ใน “หัว” ของคน และถ้าเราเข้าไป “จอง” ตำแหน่งในนั้นได้แล้ว คนอื่นจะมาแทนที่ทำได้ยากมาก ยกตัวอย่างตอนนี้ก็อาจจะบอกว่าโทรศัพท์มือถือแอปเปิลนั้น ได้เข้าไปเป็น “หมายเลขหนึ่ง” ของผู้ใช้หรือลูกค้าจำนวนมากของเขาแล้ว ยากที่ใครจะมาแทนที่ได้ เป็นต้น หนังสือที่เปลี่ยนความเข้าใจหรือเปลี่ยนมุมมองหรือ “เปลี่ยนชีวิต” ของแต่ละคนนั้น ไม่ได้หมายความว่าจะต้องทำให้ประสบความสำเร็จหรือชีวิตดีขึ้นแต่เพียงอย่างเดียว บ่อยครั้ง มันเป็นหนังสือที่ตรงกับ “จิตวิทยาพื้นฐาน” ของแต่ละคนด้วย ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคน ๆ หนึ่งมีแนวโน้มที่จะเป็นนักเก็งกำไร แต่ไม่เคยหรือไม่ค่อยได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับเรื่องการเล่นหุ้นทางเทคนิค วันหนึ่ง เมื่อเขาพบหนังสือที่เปลี่ยนแนวคิดการวิเคราะห์อย่างสิ้นเชิง เช่น มีการใช้วิชาการทางด้านข้อมูลที่ซับซ้อนทางฟิสิกส์เข้ามาเล่นหุ้น เขาก็อาจจะเปลี่ยนวิธีการวิเคราะห์เดิมไปอย่างสิ้นเชิงได้ โดยที่อาจจะเป็นผลดีหรือผลเสียก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ในกรณีของผมเองนั้น ผมคิดว่า หนังสือที่กล่าวมาข้างต้นช่วยให้ผมสามารถวิเคราะห์สิ่งต่าง ๆ ไม่เฉพาะแต่เรื่องของการลงทุนดีขึ้น แต่รวมถึงการใช้ชีวิตด้านอื่น ๆ ด้วย เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ การเป็น “VI” ของผมนั้น มันไม่ใช่เรื่องของการลงทุนเพียงอย่างเดียว แต่มันคือ “ชีวิต” และชีวิตผมก็เปลี่ยนแปลงไปมากส่วนหนึ่งจากการอ่านหนังสือเหล่านั้น รวมถึงหนังสือที่มีแนวทางแบบเดียวกันที่ตามมา
วิธีการเรียนรู้ที่สำคัญที่สุดไม่มีอะไรดีไปกว่าการอ่านหนังสือ แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ การเลือกหนังสือที่จะอ่าน เหตุผลก็เพราะว่ามีหนังสือมากมายเกินกว่าที่เราจะอ่านไหว แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ หนังสือมีรายละเอียดมากเกินไปจนเราไม่เห็นภาพใหญ่ หนังสือจำนวนมาก “ไม่ถูกต้อง” เพราะคนเขียนก็ไม่รู้จริงหรือที่แย่ยิ่งกว่าก็คือ เขียนจากความคิดที่ “ลำเอียง” ที่มาจากพื้นฐานทางจิตวิทยาของตนเอง ผมเองได้อ่านหนังสือหลากหลายมากในหลากหลายศาสตร์ดังกล่าว ถึงวันนี้เมื่อคิดย้อนหลังไป มีหนังสือหลายเล่มที่คิดว่าช่วยให้ผม “ตาสว่าง” คือ “รู้” ในสิ่งที่ไม่เคยรู้ หรือ “รู้” ในสิ่งที่ผมเข้าใจผิดมานาน หนังสือหลายเล่มหรือน่าจะส่วนใหญ่เป็น “หนังสือประวัติศาสตร์” หรือแนวอิงประวัติศาสตร์ที่เขียนโดย “เซียน” ที่มีการศึกษามาเป็นอย่างดี ที่ “เล่าเหตุการณ์” ต่าง ๆ ต่อเนื่องกันมาอย่างมีเหตุมีผลและมาจาก “พื้นฐาน” ที่ถูกต้องนั่นก็คือ ความเป็น “มนุษย์” ที่เป็นคนสร้างเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์จนถึงวันนี้ หนังสือเล่มแรกซึ่งจริง ๆ ก็คือหนังสือพื้นฐานสำคัญที่สุดที่คิดว่า VI หรือคนทั่วไปควรจะอ่านเป็นอย่างยิ่งก็คือ หนังสือชื่อ Sapiens: A Brief History of Humankind หรือ เซเปียนส์: ประวัติย่อของมนุษยชาติ เขียนโดย ยูวัล แฮรารี นักประวัติศาสตร์ชื่อดังชาวยิว นี่คือหนังสือที่เล่าเรื่องราวของมนุษย์พันธุ์เซเปียนตั้งแต่เริ่มต้นวิวัฒนาการและการก่อร่างสร้างเมือง เอาชนะสัตว์ทั้งปวงรวมถึงมนุษย์เผ่าอื่นที่เพิ่งล้มตายและ “สูญพันธุ์” ไปแค่ 4-50,000 ปีมานี้เอง ส่วนการเอาชนะสัตว์อื่นทั้งปวงและสามารถ “ครองโลก” ได้อย่างเด็ดขาดเองนั้น ก็น่าจะเพิ่งเกิดขึ้นแค่ไม่เกิน 10,000-20,000 ปี และการสร้างเมือง รัฐ และสถาบันต่าง ๆ ในการปกครองรวมถึงศาสนานั้นก็แค่ 4-5,000 ปีที่ผ่านมา ไม่ต้องพูดถึง “ประเทศ” อย่างที่เรารู้จักที่มีขอบเขตดินแดนแน่นอนที่เพิ่งจะก่อตั้งขึ้นเมื่อไม่กี่ร้อยปีที่แล้วนี่เอง
5.ความรู้ทางการเงิน
Closed QA
cc-by-sa-4.0
Finance_146
Finance
จงบอกประเภทของรถยนต์ EV ในประเทศไทย
null
ปัจจุบันรถยนต์ EV ในท้องตลาดมีหลายยี่ห้อให้เลือกตามความพึงพอใจ โดยเฉพาะราคาในปัจจุบันที่สามารถจับต้องได้มากขึ้นกว่าแต่ก่อน ไม่ต่างกับรถยนต์น้ำมันทั่วไปที่เห็นตามท้องถนน รถยนต์ EV จะมีค่าใช้จ่ายในการชาร์จไฟฟ้าอยู่ที่ประมาณ 1.4 บาทต่อกิโลเมตร ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการขับขี่ และประเภทรุ่นรถยนต์ด้วย รถ EV บางรุ่นระยะ 100,000 กิโลเมตรแรก มีค่าใช้จ่ายซ่อมบำรุงไม่เกิน 8,000 บาท ประกันรถยนต์ EV ในปัจจุบันจะพบว่ารถยนต์รุ่นเริ่มต้นราคาใกล้เคียง 1 ล้านบาท จะมีค่าเบี้ยประกันเริ่มต้นประมาณ 25,000 กว่าบาท ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกับรถยนต์น้ำมันทั่วไป จากแอปพลิเคชันเช่ารถ EV พบว่ามีค่าเช่ารายเดือนอยู่ที่เกือบ 30,000 บาท ซึ่งร่วมค่าใช้จ่ายให้แล้วทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายการเช็กระยะ ค่าภาษี พรบ.รถยนต์ แม้กระทั่งรถเสียหรือประสบอุบัติเหตุก็เปลี่ยนให้ใหม่ รวมถึงสามารถเปลี่ยนรุ่นรถยนต์ได้เมื่อครบอายุสัญญา ประเภทของรถยนต์ EV ในประเทศไทย 1. รถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด หรือ (HEV, Hybrid electric vehicle) เป็นรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปและมอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อน โดยเมื่อแตะเบรครถ จะมีการเปลี่ยนแปลงพลังงานกลับคืนมาเป็นไฟฟ้าเข้าไปเก็บในแบตเตอรี่ ส่งผลให้รถมีอัตราการใช้น้ำมันต่ำ เมื่อเทียบกับรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน 2. รถยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด (PHEV, Plug-in Hybrid Electric Vehicle) เป็นรถยนต์ที่คล้ายกับ HEV ประเภทแรก แต่จะสามารถชาร์จไฟฟ้าภายนอกได้ตาม EV Station ในปั๊มน้ำมัน ห้างสรรพสินค้า หรือโรงแรม ทำให้รถยนต์สามารถขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวได้โดยไม่ใช้น้ำมัน แต่ก็จะมีข้อจำกัดเรื่องของระยะทางที่วิ่งได้ไม่ไกลมากนัก ประมาณ 25-50 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ตามขนาดแบตเตอรี่ที่ไม่ใหญ่มาก 3. รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV, Battery Electric Vehicle) เป็นรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว ทำให้ต้องมีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่กว่ารถประเภทอื่น สามารถชาร์จไฟฟ้าได้ทั้งที่พักอาศัย ห้างสรรพสินค้า โรงแรม หรือตาม EV Station ต่างๆ ซึ่งมีทั้งการชาร์จแบบธรรมดา (Normal Charge) ประมาณ 12-16 ชม. การชาร์จแบบรวดเร็ว (Double Speed Charge) ประมาณ 6-8 ชม. และชาร์จแบบด่วน ภายในเวลา 40-60 นาที ส่วนระยะทางต่อการชาร์จ 1 ครั้งก็ขึ้นอยู่กับแต่ละยี่ห้อรถ โดยมีระยะทางตั้งแต่ 100 กว่ากิโลเมตร จนถึงเกือบ 700 กิโลเมตร ให้ได้เลือกกัน
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Finance_1460
Finance
นักลงทุนมือใหม่ควรใช้วิธีการประเมินราคา NAV ของกองทุนรวมอย่างไร?
null
วิธีการประเมินราคา NAV ของกองทุนรวมสำหรับนักลงทุนมือใหม่: 1. เข้าใจความหมายของ NAV: NAV ย่อมาจาก Net Asset Value หมายถึง มูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน NAV ต่อหน่วย คือ ราคาของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนหารด้วยจำนวนหน่วยลงทุน NAV ไม่ได้บอกราคาซื้อขายของกองทุน แต่เป็นตัวเลขที่สะท้อนมูลค่าทรัพย์สิน ผลตอบแทนของกองทุนมาจากส่วนต่าง NAV ต่อหน่วย ณ วันซื้อ และวันขาย 2. เปรียบเทียบ NAV กับราคาซื้อขาย: ไม่สามารถใช้ NAV เปรียบเทียบกับราคาซื้อขายของกองทุนได้ ราคาซื้อขายขึ้นอยู่กับอุปสงค์และอุปทานในตลาด กองทุนที่มี NAV สูง อาจมีราคาซื้อขายต่ำ และกองทุนที่มี NAV ต่ำ อาจมีราคาซื้อขายสูง 3. พิจารณาแนวโน้มของนโยบายการลงทุน: เน้นไปที่นโยบายการลงทุนและประสิทธิภาพการบริหารกองทุน กองทุนที่มีนโยบายดี performance ดี NAV ที่ซื้อในวันนี้ ย่อมถูกเมื่อเทียบกับอนาคต กองทุนที่มีนโยบายไม่ดี performance ไม่ดี ถึงแม้ NAV จะต่ำ ก็ถือว่าแพง 4. คำนึงถึงค่าธรรมเนียม: ค่าธรรมเนียมมีผลต่อผลตอบแทน เปรียบเทียบค่าธรรมเนียมของกองทุนก่อนตัดสินใจ 5. ศึกษาข้อมูลกองทุน: ศึกษารายละเอียดกองทุน นโยบาย ผลการดำเนินงาน ความเสี่ยง เปรียบเทียบกับกองทุนประเภทเดียวกัน 6. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินเพื่อรับคำแนะนำ 7. ลงทุนระยะยาว: ไม่ควรซื้อขายกองทุนบ่อย เน้นลงทุนระยะยาว 8. กระจายความเสี่ยง: ลงทุนในหลายกองทุน หลายประเภท ตัวอย่าง: กองทุน A มี NAV 100 บาท กองทุน B มี NAV 10 บาท กองทุน A ลงทุนในหุ้นที่มีศักยภาพเติบโตสูง กองทุน B ลงทุนในตราสารหนี้ กองทุน A มีผลตอบแทน 10% ต่อปี กองทุน B มีผลตอบแทน 5% ต่อปี กองทุน A ถือว่าถูกกว่ากองทุน B แม้จะมี NAV สูงกว่า ข้อควรระวัง: NAV ไม่ได้บ่งบอกถึงราคาซื้อขาย NAV ไม่ได้บ่งบอกถึงผลตอบแทนในอนาคต ควรศึกษาข้อมูลกองทุนอย่างละเอียด สรุป: นักลงทุนมือใหม่ควรใช้วิธีการประเมินราคา NAV ของกองทุนรวมโดยพิจารณาถึงนโยบายการลงทุน ผลการดำเนินงาน ค่าธรรมเนียม เปรียบเทียบกับกองทุนประเภทเดียวกัน ศึกษาข้อมูลกองทุน ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ ลงทุนระยะยาว และกระจายความเสี่ยง
5.ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1461
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ 3 กองทุนผลตอบแทนโดดเด่นประจำวันที่ 21-27 ส.ค. 2564
null
เรามาดูกันดีกว่า ว่ากองทุนผลที่ตอบแทนโดดเด่นประจำวันที่ 21-27 ส.ค. 2564 3 อันดับแรก มีกองทุนอะไรบ้าง เริ่มต้นที่อันดับ 1 ได้แก่ กองทุน TCHTECH-A หรือ กองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า เทคโนโลยี อิควิตี้ ชนิดหน่วยลงทุน A มีผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์เพิ่มขึ้น 9.11 % อันดับ 2 ได้แก่ กองทุน SCBBANKINGE หรือ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ SET BANKING SECTOR INDEX ชนิดช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ มีผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์เพิ่มขึ้น 9.05 % และอันดับที่ 3 ได้แก่ กองทุน SCBBANKINGA หรือ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ SET BANKING SECTOR INDEX ชนิดสะสมมูลค่า มีผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์เพิ่มขึ้น 9.04 % บทเรียนจากย่อหน้านี้ กองทุนผลตอบแทนโดดเด่นประจำสัปดาห์ (21-27 ส.ค. 64) 1. TCHTECH-A – กองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า เทคโนโลยี อิควิตี้ ชนิดหน่วยลงทุน A ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +9.11 % ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): -13.84% 2. SCBBANKINGE – กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ SET BANKING SECTOR INDEX (ชนิดช่องทางอิเล็กทรอนิกส์) ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +9.05 % ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +4.41% 3. SCBBANKINGA – กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ SET BANKING SECTOR INDEX ชนิดสะสมมูลค่า ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +9.04 % ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +3.93%
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1463
Finance
ข้อใดกล่าวถึงเหตุผลว่าทำไมทุกวันนี้การออมอย่างเดียวไม่ตอบโจทย์ แต่ต้องเร่งลงทุนให้เร็วได้ถูกต้อง
ก. อายุเฉลี่ยคนสูงขึ้นทุกปี เงินที่ต้องใช้ก็มากขึ้นด้วย ข. สวัสดิการเกษียณที่พนักงานเอกชนจะได้รับจากภาครัฐหลัก ๆ เพียงพอ ค. ฝากเงินกินดอกเบี้ย โตทันใช้ ง. ทุกคนมีกองทุนสํารองเลี้ยงชีพ
ข้อที่ถูกต้องได้แก่ ก. เนื่องจาก เพราะกล่าวถึงเหตุผลว่าทำไมทุกวันนี้การออมอย่างเดียวไม่ตอบโจทย์ แต่ต้องเร่งลงทุนให้เร็วได้ถูกต้อง เหตุผลว่าทำไมทุกวันนี้การออมอย่างเดียวไม่ตอบโจทย์ แต่ต้องเร่งลงทุนให้เร็วได้ถูกต้อง ได้แก่ 1. อายุเฉลี่ยคนสูงขึ้นทุกปี เงินที่ต้องใช้ก็มากขึ้นด้วย ปัจจุบันคนทั่วโลกอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 73 ปี แต่คาดการณ์ว่าในอีก 20 ปีข้างหน้า อายุเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้นเป็น 78 ปี และเด็กเกิดใหม่ในวันนี้ จะมีอายุเฉลี่ยแตะ 100 ปี เมื่อช่วงชีวิตที่มีหลังเกษียณยาวนานขึ้น เงินที่จำเป็นต้องใช้ก็มากขึ้น แต่เวลาในการทำงานหาเงินเท่าเดิม แปลว่าต้องเตรียมตัวแต่เนิ่น ๆ เพื่อให้เงินที่มีเติบโตได้ดีที่สุด 2. บำนาญรัฐน้อยเกินไป จะหวังพึ่งคงไม่พอ ถ้าไม่ได้เป็นข้าราชการที่มีบำเหน็จ–บำนาญให้ใช้สบาย ๆ เบิกค่ารักษาพยาบาลได้เต็มที่ จะพบว่าสวัสดิการเกษียณที่พนักงานเอกชนจะได้รับจากภาครัฐหลัก ๆ มันช่างน้อยนิด เพราะมีแค่เงินประกันสังคม ที่แม้จะจ่ายสมทบสูงสุด ก็มีสิทธิ์ได้เงินบำนาญเดือนละ 7,500 บาทเท่านั้น บวกกับเบี้ยยังสูงชีพผู้สูงอายุ ที่เริ่มต้นที่ 600 จนถึง 1,000 บาท/เดือน 3. ไม่ใช่ทุกคนที่มีกองทุนสํารองเลี้ยงชีพ (PVD) PVD คือ สวัสดิการของบริษัทที่ช่วยให้มนุษย์เงินเดือนมีเงินเก็บยามเกษียณ สามารถเปลี่ยนเงินออมทุกเดือนให้มีผลตอบแทนงอกเงยเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว แต่รู้หรือไม่? บริษัทในไทยที่มี PVD ให้พนักงาน คิดเป็นสัดส่วนเพียง 2.7% เท่านั้น หมายความว่าอีกกว่า 97% จะไม่มีเงินเกษียณรองรับตอนหยุดทำงานเลย 4. ฝากเงินกินดอกเบี้ย โตไม่ทันใช้แน่ ยุค 20-30 ปีก่อนที่ดอกเบี้ยสูงเกิน 10% ต่อปี แน่นอนว่าการออมเงินอย่างเดียว แล้วฝากแบงก์กินดอกเบี้ย ก็พอกินพอใช้แล้ว แต่ทุกวันที่ดอกเบี้ยเงินฝากแค่ 0.25% ต้องออมขนาดไหน ถึงจะมีเงินพอใช้แบบสบาย ๆ
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_1464
Finance
เหตุใดแนวทางการใช้นโยบายการคลังแบบเข้มข้น จึงได้รับความนิยมจากวงการวิชาการ
null
แนวทางการใช้นโยบายการคลังแบบเข้มข้น ที่ได้รับความนิยมจากวงการวิชาการ มี 2 เหตุผล ดังนี้ เหตุผลแรก แวดวงวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์มหภาคในปัจจุบันมีอีกหนึ่งสมการซึ่งเป็นที่ยอมรับมากขึ้นเรื่อย ๆ จนใกล้จะกลายเป็น consensus คือ หาก r-g < 0 หรือ ผลต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยกับ อัตราการเติบโตของจีดีพี น้อยกว่าศูนย์แล้วนั้น การก่อหนี้ภาครัฐจะสามารถทำได้ มากกว่าที่เคยประมาณกันไว้ในอดีต ซึ่งประเมินว่าไม่ควรเกินร้อยละ 60 ของจีดีพี หรือตีความโดยง่ายว่า หากอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าอัตราการเติบโตของจีดีพี แล้วการก่อหนี้ภาครัฐจะสามารถทำได้ค่อนข้างมาก โดยที่ไม่ก่อให้เกิดผลเสีย ต่อเสถียรภาพของเศรษฐกิจ เหตุผลที่สอง คือ จากการที่หนี้ภาครัฐของทั้งญี่ปุ่น และ ไทย เป็นหนี้ในประเทศเกือบทั้งหมด หากจะนำประสบการณ์การแก้ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำของญี่ปุ่นในทศวรรษ 80 ต่อ 90 มาประยุกต์ใช้กับไทย ถือว่าน่าจะสมเหตุผลอยู่ไม่น้อย ในปี 1990 รัฐบาลญี่ปุ่นตัดสินใจลดการก่อหนี้สาธารณะ แม้จะเห็นว่าจีดีพีของเศรษฐกิจญี่ปุ่นชะลอตัวลง เนื่องจากเชื่อในแนวคิดเศรษฐศาสตร์ดั้งเดิมที่ว่าอัตราส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีไม่ควรเกินร้อยละ 60 ส่งผลให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นกลายเป็น Lost Decade ในเวลาต่อมา สิ่งนี้คือ บทเรียนสำคัญที่ทั้งเบน เบอร์นันเก้ และ พอล ครุกแมน ย้ำเสมอถึงความจำเป็นที่ต้องใช้นโยบายการคลังที่เข้มข้นในช่วงที่กำลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ มิเช่นนั้นแล้ว จะไม่สามารถกลับมาแก้ไขความผิดพลาดนี้ในภายหลัง
4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1465
Finance
สำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่มีเงินลงทุนจำนวนจำกัด ควรเริ่มต้นลงทุนใน DeFi อย่างไร?
null
จากบทความ "คำเตือน ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน" 1. ศึกษาพื้นฐานการลงทุนใน DeFi: เรียนรู้เกี่ยวกับ Cryptocurrency เข้าใจการทำงานของ Wallet ใช้งานกระดานแลกเปลี่ยนต่างประเทศ เข้าใจการทำงานของ Stablecoin ศึกษาความเสี่ยงของ Smart Contract คำนวณค่าธรรมเนียม 2. เริ่มต้นลงทุนด้วยจำนวนเงินน้อย: ลงทุนด้วยเงินเย็นที่ไม่กระทบกับสภาพคล่อง เริ่มต้นด้วย Stablecoin เลือกแพลตฟอร์ม DeFi ที่เชื่อถือได้ กระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในหลาย ๆ แพลตฟอร์ม ศึกษาและเข้าใจกลยุทธ์การลงทุน DeFi ฝึกฝนการใช้งานผ่านบัญชีทดลอง 3. แหล่งข้อมูลการศึกษา: เว็บไซต์และบล็อกเกี่ยวกับ DeFi ชุมชนออนไลน์ คอร์สเรียนออนไลน์ วิดีโอสอน 4. ตัวอย่างแพลตฟอร์ม DeFi: Aave Compound Curve Uniswap PancakeSwap 5. คำเตือน: การลงทุนใน DeFi มีความเสี่ยงสูง ผลตอบแทนที่สูงมาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูง ศึกษาข้อมูลและเข้าใจความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ลงทุนด้วยเงินที่พร้อมจะสูญเสีย ตัวอย่างการลงทุนสำหรับนักลงทุนมือใหม่: ฝาก Stablecoin ใน Aave หรือ Compound ฝากเหรียญคู่ Stablecoin ใน Curve ลงทุนใน Liquidity Pool บน Uniswap หรือ PancakeSwap ข้อควรระวัง: ศึกษาข้อมูลและกลยุทธ์การลงทุนอย่างละเอียด เลือกแพลตฟอร์ม DeFi ที่เชื่อถือได้ กระจายความเสี่ยง ลงทุนด้วยเงินที่พร้อมจะสูญเสีย สรุป: การลงทุนใน DeFi เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มีความรู้และเข้าใจความเสี่ยง
4.เครื่องมือทางการเงิน,5.กลยุทธ์การลงทุน,11.เทคโนโลยีทางการเงิน,12.การเงินดิจิทัล
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1467
Finance
จงสรุปบทความ เกร็ดความรู้ หุ้น New Economy กับ Old Economy ต่างกันอย่างไร?
หุ้น New Economy หรือ เศรษฐกิจยุคใหม่ เป็นบริษัทที่มีสินค้าหรือบริการเป็นสิ่งใหม่ ๆ ตอบโจทย์ความต้องการต่อชีวิตของผู้บริโภคในยุคใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหุ้น Technology ที่มีนวัตกรรมหรือมีการเติบโตตาม Megatrend ของโลก ตัวอย่างหุ้นในกลุ่ม New Economy ตัวอย่างหุ้นในประเทศสหรัฐฯ เช่น Facebook, Apple, Amazon, Netflix, Google, Microsoft, Apple และ Nvidia เป็นต้น (ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นในดัชนี NASDAQ) ตัวอย่างหุ้นในประเทศจีน เช่น Baidu, Alibaba, Tencent, Meituan และ Xiaomi (ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นจีนในตลาดฮ่องกง) จะเห็นได้ว่า หุ้นที่ได้กล่าวไปด้านบนล้วนเป็นหุ้นที่มีเทคโนโลยีมาเกี่ยวข้องทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นด้าน Internet, Software และ Hardware หุ้น Old Economy หรือ เศรษฐกิจยุคเก่า เป็นบริษัทที่ทำธุรกิจแบบดั้งเดิม มีมาอย่างยาวนาน ค่อนข้างเติบโตช้า เช่น หุ้นกลุ่มธนาคาร/ประกัน กลุ่มค้าปลีก กลุ่มขนส่ง เป็นต้น รวมถึงธุรกิจในกลุ่มอุตสาหกรรมหนัก เช่น เหมืองแร่ เหล็ก พลังงาน ตัวอย่างหุ้นในกลุ่ม Old Economy ตัวอย่างหุ้นในประเทศสหรัฐฯ เช่น Exxon Mobil, J.P.Morgan, Goldman Sachs, Nike, Coca-Cola ตัวอย่างหุ้นในประเทศจีน เช่น Bank of China, ICBC, AIA, HSBC Holdings, Ping An (ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นในตลาด H-Share) และแน่นอนว่าหุ้นตัวใหญ่ใน SET บ้านเราก็อยู่กลุ่มนี้ ในช่วงไม่กี่ปีมานี้จะเห็นว่าหุ้นกลุ่ม New Economy จะเติบโตได้ดีกว่า Old Economy สาเหตุมาจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีซึ่งนำมาใช้ตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น ประกอบกับการแพร่ระบาดไวรัส ทำให้พฤติกรรมคนเราเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว คนเข้าสู่โลกออนไลน์มากขึ้น ยิ่งเร่งให้หุ้นกลุ่มนี้เติบโตอย่างรวดเร็ว หลายคนอาจรู้สึกว่าหุ้น New Economy ในตอนนี้มีความน่าสนใจมากกว่า แต่จริง ๆ หุ้น Old Economy หลายตัวก็ยังน่าสนใจไม่แพ้กัน เพราะราคาหุ้นถูกมากเมื่อเทียบกับความสามารถในการสร้างกำไร บางคนจึงเรียกหุ้นกลุ่มนี้ว่าเป็นหุ้นคุณค่า (Value Stock) ยิ่งในปีนี้ที่หุ้นเทคโนโลยีเกือบทั้งหมดเข้าขั้นว่าแพงมาก เราอาจจะแบ่งสัดส่วนลงทั้งหุ้น New Economy และ Old Economy เพื่อกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนก็ได้นะ หากพูดถึงการแบ่งกลุ่มของหุ้น หลายคนก็คงจะนึกถึงการแบ่งกลุ่มโดยใช้ดัชนีหุ้น เช่น NASDAQ, S&P500, A-Share, H-share เป็นต้น หรือบางคนก็อาจจะแบ่งตามธีมการลงทุน เช่น ธีมหุ้นเทคโนโลยี, ธีมหุ้น Healthcare แต่!! ก็ยังมีการแบ่งกลุ่มหุ้นอีกแบบที่น่าจะคุ้นหูกันมาบ้าง ก็คือ หุ้น New Economy กับ หุ้น Old Economy หุ้น New Economy หรือ เศรษฐกิจยุคใหม่ เป็นบริษัทที่มีสินค้าหรือบริการเป็นสิ่งใหม่ ๆ ตอบโจทย์ความต้องการต่อชีวิตของผู้บริโภคในยุคใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหุ้น Technology ที่มีนวัตกรรมหรือมีการเติบโตตาม Megatrend ของโลก ตัวอย่างหุ้นในกลุ่ม New Economy ตัวอย่างหุ้นในประเทศสหรัฐฯ เช่น Facebook, Apple, Amazon, Netflix, Google, Microsoft, Apple และ Nvidia เป็นต้น (ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นในดัชนี NASDAQ) ตัวอย่างหุ้นในประเทศจีน เช่น Baidu, Alibaba, Tencent, Meituan และ Xiaomi (ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นจีนในตลาดฮ่องกง) จะเห็นได้ว่า หุ้นที่ได้กล่าวไปด้านบนล้วนเป็นหุ้นที่มีเทคโนโลยีมาเกี่ยวข้องทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นด้าน Internet, Software และ Hardware หุ้น Old Economy หรือ เศรษฐกิจยุคเก่า เป็นบริษัทที่ทำธุรกิจแบบดั้งเดิม มีมาอย่างยาวนาน ค่อนข้างเติบโตช้า เช่น หุ้นกลุ่มธนาคาร/ประกัน กลุ่มค้าปลีก กลุ่มขนส่ง เป็นต้น รวมถึงธุรกิจในกลุ่มอุตสาหกรรมหนัก เช่น เหมืองแร่ เหล็ก พลังงาน ตัวอย่างหุ้นในกลุ่ม Old Economy ตัวอย่างหุ้นในประเทศสหรัฐฯ เช่น Exxon Mobil, J.P.Morgan, Goldman Sachs, Nike, Coca-Cola ตัวอย่างหุ้นในประเทศจีน เช่น Bank of China, ICBC, AIA, HSBC Holdings, Ping An (ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นในตลาด H-Share) และแน่นอนว่าหุ้นตัวใหญ่ใน SET บ้านเราก็อยู่กลุ่มนี้ ในช่วงไม่กี่ปีมานี้จะเห็นว่าหุ้นกลุ่ม New Economy จะเติบโตได้ดีกว่า Old Economy สาเหตุมาจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีซึ่งนำมาใช้ตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น ประกอบกับการแพร่ระบาดไวรัส ทำให้พฤติกรรมคนเราเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว คนเข้าสู่โลกออนไลน์มากขึ้น ยิ่งเร่งให้หุ้นกลุ่มนี้เติบโตอย่างรวดเร็ว หลายคนอาจรู้สึกว่าหุ้น New Economy ในตอนนี้มีความน่าสนใจมากกว่า แต่จริง ๆ หุ้น Old Economy หลายตัวก็ยังน่าสนใจไม่แพ้กัน เพราะราคาหุ้นถูกมากเมื่อเทียบกับความสามารถในการสร้างกำไร บางคนจึงเรียกหุ้นกลุ่มนี้ว่าเป็นหุ้นคุณค่า (Value Stock) ยิ่งในปีนี้ที่หุ้นเทคโนโลยีเกือบทั้งหมดเข้าขั้นว่าแพงมาก เราอาจจะแบ่งสัดส่วนลงทั้งหุ้น New Economy และ Old Economy เพื่อกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนก็ได้นะ
หุ้น New Economy หรือ เศรษฐกิจยุคใหม่ เป็นบริษัทที่มีสินค้าหรือบริการเป็นสิ่งใหม่ ๆ ตอบโจทย์ความต้องการต่อชีวิตของผู้บริโภคในยุคใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหุ้น Technology ตัวอย่างหุ้นในกลุ่ม New Economy - ตัวอย่างหุ้นในประเทศสหรัฐฯ facebook, Apple, Amazon, Netflix, Google, Microsoft, Apple และ Nvidia เป็นต้น - ตัวอย่างหุ้นในประเทศจีนBaidu, Alibaba, Tencent, Meituan และ Xiaomi หุ้น Old Economy หรือ เศรษฐกิจยุคเก่า เป็นบริษัทที่ทำธุรกิจแบบดั้งเดิม มีมาอย่างยาวนาน ค่อนข้างเติบโตช้า เช่น หุ้นกลุ่มธนาคาร/ประกัน กลุ่มค้าปลีก กลุ่มขนส่ง เป็นต้น รวมถึงธุรกิจในกลุ่มอุตสาหกรรมหนัก เช่น เหมืองแร่ เหล็ก พลังงาน ตัวอย่างหุ้นในกลุ่ม Old Economy - ตัวอย่างหุ้นในประเทศสหรัฐฯ เช่น Exxon Mobil, J.P.Morgan, Goldman Sachs, Nike, Coca-Cola - ตัวอย่างหุ้นในประเทศจีน เช่น Bank of China, ICBC, AIA, HSBC Holdings, Ping An (ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นในตลาด H-Share) และแน่นอนว่าหุ้นตัวใหญ่ใน SET บ้านเราก็อยู่กลุ่มนี้ ในช่วงไม่กี่ปีมานี้จะเห็นว่าหุ้นกลุ่ม New Economy จะเติบโตได้ดีกว่า Old Economy สาเหตุมาจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลายคนอาจรู้สึกว่าหุ้น New Economy ในตอนนี้มีความน่าสนใจมากกว่า แต่จริง ๆ หุ้น Old Economy หลายตัวก็ยังน่าสนใจไม่แพ้กัน เราอาจจะแบ่งสัดส่วนลงทั้งหุ้น New Economy และ Old Economy เพื่อกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนก็ได้
5.ความรู้ทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1469
Finance
กองทุน Active Global Equity ใดที่เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศที่มีนโยบายลงทุนในตราสารทุนทั่วโลก ระหว่าง กองทุน T. Rowe Price Global Focused Growth Equity I USD หรือ กองทุน Morgan Stanley Investment Funds Global Opportunity Fund Z USD
null
กองทุน T. Rowe Price Global Focused Growth Equity I USD เพราะกองทุน T. Rowe Price Global Focused Growth Equity I USD เป็นกองทุนสัญชาติอเมริกันของ LH-GEQ-A, LHGEQ-ASSF, LHGEQ-D, LHGEQ-DSSF และ LHGEQ-E มีนโยบายกองทุน คือ เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศที่มีนโยบายลงทุนในตราสารทุนทั่วโลก หรือ กองทุนหลัก (Master fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกวาร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพยสินสุทธิ กองทุนหลักมีนโยบายลงทุนอย่างน้อยร้อยละ 70 ของสินทรัพยทั้งหมดในหุ้นและหลักทรัพย์ที่เกี่ยวของกับหุ้นบริษัทจดทะเบียน รวมถึงหุ้นสามัญหุ้นบุริมสิทธิ ใบสําคัญแสดงสิทธิ American Depository Receipts (ADRs), European Depository Receipts (EDRs) and Global Depository Receipts (GDRs) ระดับความเสี่ยงกองทุน: 6 มีหลักการจัดการลงทุนดังนี้: - Diversified เน้นกระจายหุ้นออก ไม่กระจุกตัว - Seek Undervalued หาหุ้นที่มูลค่ายังต่ำและตลาดยังไม่สะท้อนเต็มที่ - Sustaining Growth หาหุ้นที่เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง - Bottom-Up Approach ใช้วิธีการคัดเลือกหุ้นแบบรายตัว นำมาประกอบเป็นพอร์ตและกระจายความเสี่ยง แนะนำให้เป็น Core Port สไตล์สม่ำเสมอ ทีมงานวิเคราะห์หุ้นหลากหลาย และพอร์ตกระจายตัวดี ส่วนกองทุน Morgan Stanley Investment Funds Global Opportunity Fund Z USD เป็นกองทุนหลักของ PRINCIPAL GOPP-A และ PRINCIPAL GOPP-SSF ประกอบด้วยนักวิเคราะห์ชั้นนำของอุตสาหกรรม Investment Process เน้นในเรื่องความยั่งยืนอย่างชัดเจน การเลือกหุ้นเน้นชัวร์ เพื่อหาผลตอบแทนระยะยาวจากหุ้นที่ยังไม่สะท้อนมูลค่าเต็มที่ กองทุนเน้นอุตสาหกรรม IT คล้าย Threadneedle จะบอกว่าเหมือนกันมากก็ได้ มีนโยบายกองทุน คือ กองทุนมีนโยบายการลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองทุนเดียวคือ Morgan Stanley Investment Funds Global Opportunity Fund (กองทุนหลัก) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน กองทุนหลักเน้นลงทุนในหุ้นของบริษัททั่วโลกที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันภายใต้ธีม Disruptive Change ที่มีความสามารถในการปรับตัวสูง ระดับความเสี่ยงกองทุน: 6 มีหลักการจัดการลงทุนดังนี้: - High Conviction เน้นกระจุกตัวและไม่เปลี่ยนหุ้นบ่อย - Seek Undervalued - Long Term Growth เน้นการเติบโตระยะยาว - Bottom-Up Approach ใช้ความสามารถของนักวิเคราะห์เต็มที่ แนะนำจัดเป็น Core Port สไตล์ Long Term เน้นความยั่งยืน Turn over ต่ำ (เปลี่ยนหุ้นไม่บ่อย) สำหรับคนที่มั่นใจในค่ายนี้
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_147
Finance
สาเหตุที่ตลาดหุ้นสหรัฐอมเริกาปรับตัวขึ้นเพราะอะไร
30 พฤษภาคม 2565 3 นาที 30 พฤษภาคม 2565 3 นาที ประเด็นร้อน : ตลาดหุ้นสหรัฐฯ บวกแรง เป็นจังหวะที่ดีในการลงทุนหรือยัง ? “ ศุกร์ 27 พ.ค. 65 ที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ หลายตลาดปรับขึ้นเทียบกับวันก่อนหน้า โดยดัชนี Nasdaq บวกมากที่สุด +3.33% ตามด้วย S&P 500 +2.47% และ Dow Jones +1.76% ส่งผลให้กองทุน MS US Advantage (กองทุนหลักของ K-USA) ปรับตัวขึ้น +8.9% ส่วนกองทุน K-US500X และ K-USXNDQ คาดว่าจะปรับขึ้นตามดัชนีเช่นกัน “ “ ศุกร์ 27 พ.ค. 65 ที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ หลายตลาดปรับขึ้นเทียบกับวันก่อนหน้า โดยดัชนี Nasdaq บวกมากที่สุด +3.33% ตามด้วย S&P 500 +2.47% และ Dow Jones +1.76% ส่งผลให้กองทุน MS US Advantage (กองทุนหลักของ K-USA) ปรับตัวขึ้น +8.9% ส่วนกองทุน K-US500X และ K-USXNDQ คาดว่าจะปรับขึ้นตามดัชนีเช่นกัน “ สาเหตุที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น 1) ดัชนี PCE เม.ย. ขึ้นน้อยกว่าเดือนที่ผ่านมา ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลพื้นฐาน หรือดัชนี PCE พื้นฐาน (ไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน) เดือน เม.ย. 65 เพิ่มขึ้นเพียง +4.9%YoY จากเดือนก่อนหน้าที่เพิ่ม +5.2% ซึ่งดัชนี PCE พื้นฐาน เป็นตัวเลขหลักที่ FED ใช้ติดตามสถานการณ์เงินเฟ้อ ทำให้นักลงทุนเริ่มมองว่าดัชนีเงินเฟ้อของสหรัฐฯ อาจผ่านระดับสูงสุดไปแล้วและกำลังอยู่ในภาวะชะลอตัวลง ส่งผลให้ FED อาจไม่จำเป็นต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรุนแรงเพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อ ช่วยลดความกดดันตลาดหุ้นสหรัฐฯ 2) ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานลดลง กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกมีจำนวนลดลง ซึ่งตัวเลขดังกล่าวอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยต่อสัปดาห์ในช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาด COVID-19 ในสหรัฐฯ 3) หุ้นใหญ่หลายบริษัท ราคาปรับขึ้น หุ้นขนาดใหญ่หลายหลายบริษัทราคา ณ 27 พ.ค. 65 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากวันก่อนหน้า ส่งผลให้ตลาดหุ้นโดยรวมปรับตัวขึ้นด้วย ไม่ว่าจะเป็นหุ้นบริษัทเทสลา (TSLA) +7.33% บริษัทแอปเปิล (AAPL) +4.08% และบริษัทไมโครซอฟท์ (MSFT) +2.76% ในขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวขึ้นโดดเด่นได้แก่ กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย +3.47% และกลุ่มเทคโนโลยี +3.44% ปัจจัยที่ยังต้องติดตาม • การประชุม FED วันที่ 14-15 มิ.ย. และ 26-27 ก.ค. 65 ว่าจะมีการขึ้นดอกเบี้ยตามที่ตลาดคาดไว้ที่ 0.5% หรือไม่ • รายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญในช่วงสัปดาห์นี้ เช่น ISM Manufacturing (ดัชนีภาคอุตสาหกรรมโรงงาน), ISM Service (ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคบริการ), Beige Book (รายงานบทสรุปของสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน) และการจ้างงานนอกภาคการเกษตร ที่จะเป็นตัวบ่งชี้ภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในปัจจุบัน • การปรับมุมมองต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียน หรือ EPS ของนักวิเคราะห์ ซึ่งอาจเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้ คำแนะนำการลงทุนกองทุนหุ้นสหรัฐฯ เช่น K-USA, K-US500X, K-USXNDQ, K-USA-SSF และ KUSARMF - ผู้ที่ถือกองทุนหุ้นสหรัฐฯ อยู่ แนะนำถือลงทุนต่อ โดยติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญที่จะรายงานในช่วงสัปดาห์นี้ และสัญญาณการขึ้นดอกเบี้ยของ FED ที่จะมีการประชุม 14-15 มิ.ย. และ 26-27 ก.ค. 65 ก่อนตัดสินใจสับเปลี่ยนไปกองทุนอื่น - ผู้ที่ยังไม่มีการลงทุนหรือต้องการลงทุนเพิ่มในกองทุนหุ้นสหรัฐฯ แนะนำรอประเมินสถานการณ์ก่อน ขอขอบคุณข้อมูลจาก : KAsset Disclaimer: “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน” สาเหตุที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น 1) ดัชนี PCE เม.ย. ขึ้นน้อยกว่าเดือนที่ผ่านมา ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลพื้นฐาน หรือดัชนี PCE พื้นฐาน (ไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน) เดือน เม.ย. 65 เพิ่มขึ้นเพียง +4.9%YoY จากเดือนก่อนหน้าที่เพิ่ม +5.2% ซึ่งดัชนี PCE พื้นฐาน เป็นตัวเลขหลักที่ FED ใช้ติดตามสถานการณ์เงินเฟ้อ ทำให้นักลงทุนเริ่มมองว่าดัชนีเงินเฟ้อของสหรัฐฯ อาจผ่านระดับสูงสุดไปแล้วและกำลังอยู่ในภาวะชะลอตัวลง ส่งผลให้ FED อาจไม่จำเป็นต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรุนแรงเพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อ ช่วยลดความกดดันตลาดหุ้นสหรัฐฯ 2) ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานลดลง กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกมีจำนวนลดลง ซึ่งตัวเลขดังกล่าวอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยต่อสัปดาห์ในช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาด COVID-19 ในสหรัฐฯ 3) หุ้นใหญ่หลายบริษัท ราคาปรับขึ้น หุ้นขนาดใหญ่หลายหลายบริษัทราคา ณ 27 พ.ค. 65 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากวันก่อนหน้า ส่งผลให้ตลาดหุ้นโดยรวมปรับตัวขึ้นด้วย ไม่ว่าจะเป็นหุ้นบริษัทเทสลา (TSLA) +7.33% บริษัทแอปเปิล (AAPL) +4.08% และบริษัทไมโครซอฟท์ (MSFT) +2.76% ในขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวขึ้นโดดเด่นได้แก่ กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย +3.47% และกลุ่มเทคโนโลยี +3.44% ปัจจัยที่ยังต้องติดตาม • การประชุม FED วันที่ 14-15 มิ.ย. และ 26-27 ก.ค. 65 ว่าจะมีการขึ้นดอกเบี้ยตามที่ตลาดคาดไว้ที่ 0.5% หรือไม่ • รายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญในช่วงสัปดาห์นี้ เช่น ISM Manufacturing (ดัชนีภาคอุตสาหกรรมโรงงาน), ISM Service (ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคบริการ), Beige Book (รายงานบทสรุปของสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน) และการจ้างงานนอกภาคการเกษตร ที่จะเป็นตัวบ่งชี้ภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในปัจจุบัน • การปรับมุมมองต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียน หรือ EPS ของนักวิเคราะห์ ซึ่งอาจเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้ คำแนะนำการลงทุนกองทุนหุ้นสหรัฐฯ เช่น K-USA, K-US500X, K-USXNDQ, K-USA-SSF และ KUSARMF - ผู้ที่ถือกองทุนหุ้นสหรัฐฯ อยู่ แนะนำถือลงทุนต่อ โดยติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญที่จะรายงานในช่วงสัปดาห์นี้ และสัญญาณการขึ้นดอกเบี้ยของ FED ที่จะมีการประชุม 14-15 มิ.ย. และ 26-27 ก.ค. 65 ก่อนตัดสินใจสับเปลี่ยนไปกองทุนอื่น - ผู้ที่ยังไม่มีการลงทุนหรือต้องการลงทุนเพิ่มในกองทุนหุ้นสหรัฐฯ แนะนำรอประเมินสถานการณ์ก่อน ขอขอบคุณข้อมูลจาก : KAsset
1) ดัชนี PCE เม.ย. ขึ้นน้อยกว่าเดือนที่ผ่านมา ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลพื้นฐาน หรือดัชนี PCE พื้นฐาน (ไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน) เดือน เม.ย. 65 เพิ่มขึ้นเพียง +4.9%YoY จากเดือนก่อนหน้าที่เพิ่ม +5.2% ซึ่งดัชนี PCE พื้นฐาน เป็นตัวเลขหลักที่ FED ใช้ติดตามสถานการณ์เงินเฟ้อ ทำให้นักลงทุนเริ่มมองว่าดัชนีเงินเฟ้อของสหรัฐฯ อาจผ่านระดับสูงสุดไปแล้วและกำลังอยู่ในภาวะชะลอตัวลง ส่งผลให้ FED อาจไม่จำเป็นต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรุนแรงเพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อ ช่วยลดความกดดันตลาดหุ้นสหรัฐฯ 2) ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานลดลง กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกมีจำนวนลดลง ซึ่งตัวเลขดังกล่าวอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยต่อสัปดาห์ในช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาด COVID-19 ในสหรัฐฯ 3) หุ้นใหญ่หลายบริษัท ราคาปรับขึ้น หุ้นขนาดใหญ่หลายหลายบริษัทราคา ณ 27 พ.ค. 65 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากวันก่อนหน้า ส่งผลให้ตลาดหุ้นโดยรวมปรับตัวขึ้นด้วย ไม่ว่าจะเป็นหุ้นบริษัทเทสลา (TSLA) +7.33% บริษัทแอปเปิล (AAPL) +4.08% และบริษัทไมโครซอฟท์ (MSFT) +2.76% ในขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวขึ้นโดดเด่นได้แก่ กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย +3.47% และกลุ่มเทคโนโลยี +3.44% ปัจจัยที่ยังต้องติดตาม • การประชุม FED วันที่ 14-15 มิ.ย. และ 26-27 ก.ค. 65 ว่าจะมีการขึ้นดอกเบี้ยตามที่ตลาดคาดไว้ที่ 0.5% หรือไม่ • รายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญในช่วงสัปดาห์นี้ เช่น ISM Manufacturing (ดัชนีภาคอุตสาหกรรมโรงงาน), ISM Service (ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคบริการ), Beige Book (รายงานบทสรุปของสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน) และการจ้างงานนอกภาคการเกษตร ที่จะเป็นตัวบ่งชี้ภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในปัจจุบัน
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1471
Finance
ข้อใดไม่ใช่เหตุผลที่ตลาดฮ่องกงในอดีตเป็นตลาดที่มีความเสี่ยงทางการเมืองน้อยมาก
a. สังคมที่มีการพัฒนาสูงมาก b. มีกฎหมายที่มีมาตรฐานสูงตามแบบอังกฤษที่ปกครองมานาน c. การเมืองมีเสรีภาพและเป็นประชาธิปไตย d. การเปลี่ยนแปลงของรัฐบาลไปเป็นแบบสังคมนิยมที่ยึดกิจการของเอกชนมาเป็นของรัฐ e. รายได้ต่อหัวติดอันดับโลก
ข้อที่ถูกต้องได้แก่ d. เนื่องจาก เพราะการเปลี่ยนแปลงของรัฐบาลไปเป็นแบบสังคมนิยมที่ยึดกิจการของเอกชนมาเป็นของรัฐ เป็นความเสี่ยงทางการเมืองของประเทศเวเนซูเอลา ทำให้ต่างชาติโดยเฉพาะที่เป็นเจ้าของกิจการน้ำมันต้องถอนตัวออกมาส่งผลให้ประสิทธิภาพการผลิตน้ำมันลดลงต่อเนื่องและล้มละลายในที่สุด เป็นความเสี่ยงทางการเมืองที่ทำให้ประเทศล่มสลายได้ ส่วนเหตุผลที่ตลาดฮ่องกงในอดีตเป็นตลาดที่มีความเสี่ยงทางการเมืองน้อยมาก เพราะว่าเป็นสังคมที่มีการพัฒนาสูงมาก รายได้ต่อหัวติดอันดับโลก ในด้านการเมืองก็มีเสรีภาพและเป็น “ประชาธิปไตย” มีกฎหมายที่มีมาตรฐานสูงตามแบบอังกฤษที่ปกครองมานาน แต่แล้ว เมื่อจีนเข้ามาปกครองแทนในปี 1997 ฮ่องกงก็เริ่มลดระดับของการเป็นประชาธิปไตยลงเรื่อย ๆ แม้ว่าทางเศรษฐกิจจะเติบโตต่อไปอย่างรวดเร็ว จนมาถึงวันหนึ่งที่คนรุ่นใหม่ของฮ่องกงเริ่มจะทนไม่ไหวที่ต้องขาดอิสรภาพในการดำเนินชีวิตอย่างที่ควรเป็น จึงเริ่มประท้วงเรียกร้องและ “ต่อสู้” กับรัฐบาลจีนโดยเฉพาะในยุคของสีจิ้นผิงที่ดูเหมือนว่าจีนจะย้อนกลับไปกระชับอำนาจของรัฐและขยายอิทธิพลในโลกในฐานะของการเป็น “Super Power” หรือ “มหาอำนาจชั้นนำ” มากขึ้น ผลก็คือ เกิดความโกลาหลและฮ่องกงอาจจะกำลังลดระดับของการเป็นศูนย์กลางธุรกิจและการเงินที่สำคัญของจีนลงในระยะยาว ซึ่งก็จะส่งผลต่อตลาดหุ้นอย่างหนัก ว่าที่จริงตลาดหุ้นฮ่องกงก็ไม่ไปไหนมาหลายปีแล้ว
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-sa-4.0
Finance_1472
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ โอกาสการลงทุนต่างๆ ท้ายปี 2021
null
ภาพรวมของเศรษฐกิจทั่วโลกสำหรับโอกาสการลงทุนต่างๆ ท้ายปี 2021 มีมากมายหลายเหตุการณ์ เริ่มต้นที่ฝั่งสหรัฐอเมริกา กฎหมายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่เน้นการสร้างโครงการการก่อสร้าง คาดว่าจะผ่านสภาคองเกรสได้ภายในเดือนตุลาคม 2021 ส่วนทางฝั่งยุโรป มาริโอ ดรากิ นายกรัฐมนตรีอิตาลี ในขณะนั้น เป็นผู้ที่ทำให้เศรษฐกิจยุโรปรับการกระตุ้นด้วยเม็ดเงินมหาศาลของนโยบายการคลัง และเป็นผู้ช่วยในการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการเงิน ด้านเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อในฝั่งยุโรปก็มีทิศทางที่ดี ส่วนประธานธนาคารกลางสหรัฐอย่าง เจย์ พาวเวล จะมีโอกาสดำรงตำแหน่งสมัยที่สองหลังครบวาระในช่วงต้นปี 2022 ทางด้านพรรค CDU ก็จะมีโอกาสชนะการเลือกตั้งใหญ่ในเยอรมนี มาดูทางฝั่งเอเชียบ้าง เศรษฐกิจอินเดีย ได้รับผลกระทบจากความผันผวนของราคาน้ำมันและค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นน้อยกว่าประเทศอื่น ๆ และสุดท้ายทางฝั่งละตินอเมริกา ผลกระทบจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้นจาก Supply Disruption จะทำให้อัตราเงินเฟ้อของประเทศสูงขึ้น บทเรียนจากย่อหน้านี้ โอกาสการลงทุนต่างๆ ท้ายปี 2021 1. กฎหมายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของสหรัฐ หรือที่เรียกกันว่า Infrastructure Bill (Infra Bill) ของรัฐบาลสหรัฐ ภายใต้ผู้นำ โจ ไบเดน โดยคาดกันว่า ส่วนที่เน้นการสร้างโครงการการก่อสร้างด้านต่าง ๆ มูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ น่าจะสามารถผ่านสภาคองเกรสได้ภายใน เดือนตุลาคม 2021 2. ทางฝั่งยุโรป ยังมีมาริโอ ดรากิ นายกรัฐมนตรีอิตาลี ในขณะนั้น ที่คอยเป็นตัวช่วยให้กับเศรษฐกิจยุโรปผ่านการกระตุ้นด้วยเม็ดเงินขนาดมหาศาลของนโยบายการคลัง จากสหภาพยุโรปสู่เศรษฐกิจอิตาลี อีกทั้งยังเป็นตัวช่วยในการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการเงิน จากการที่เขาสามารถทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาที่ดี ในฐานะอดีตประธานธนาคารกลางยุโรปที่ตัวเขาเองทำหน้าที่ได้ค่อนข้างดี 3. เศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อยุโรปที่ดูแล้ว มีโอกาสที่จะเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ น่าจะทำให้ธนาคารกลางยุโรปสามารถ เข้าสู่เฟสการผ่อนคลายนโยบายการเงินแบบไร้แรงกดดัน โดยน่าจะสามารถทำให้ภาพรวมของเศรษฐกิจยุโรปเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ เป็นลำดับอย่างรวดเร็ว 4. เจย์ พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ ซึ่งจะครบวาระในตำแหน่งนี้ ในช่วงต้น 2022 มีโอกาสสูงที่จะสามารถดำรงตำแหน่งนี้ในวาระที่สองต่อไปอีก ซึ่งตรงนี้ น่าจะทำให้ตัวช่วยของการลงทุนของตลาดหุ้นยังอยู่ต่อไปอีก 4 ปี 5. การเลือกตั้งใหญ่ในการเลือกผู้นำเยอรมนีในเดือน ก.ย. 2021 น่าจะมีโอกาสสูงที่พรรค CDU ของแองเจลล่า แมร์เคิล จะสามารถคว้าคะแนนเสียงเป็นอันดับ 1 ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง ผู้นำพรรคท่านใหม่อย่าง อามิน ลาเช็ตต์ จะสามารถสานต่อการเป็นผู้นำเยอรมนีต่อจากแมร์เคิล โดยนโยบายต่าง ๆ ของเขาดูแล้วยังมีความใกล้เคียงกับที่เป็นอยู่ในตอนนี้ ซึ่งน่าจะทำให้บรรยากาศด้านการเมืองของยุโรปยังคงไม่เปลี่ยนแปลงจากช่วงเวลา 16 ปีที่ผ่านมา ภายใต้การนำของแมร์เคิล 6. ในส่วนของตลาดเกิดใหม่นั้น “เศรษฐกิจอินเดีย” ดูแล้วน่าจะได้รับผลกระทบจากความผันผวนของราคาน้ำมันและค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นมาในช่วงนี้ค่อนข้างน้อยกว่าเพื่อน อย่างไรก็ดี อินเดียเองยังมีความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อที่จะค่อย ๆ สูงขึ้น รวมถึงความเสี่ยงด้านการเมืองจากนโยบายของ นาเรนดรา โมดิ ต่อชาวมุสลิมของอินเดียในบางส่วน 7. ด้านละตินอเมริกา แม้ว่ายังคงได้รับผลกระทบจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้น อันเป็นผลพวงมาจาก Supply Disruption ตรงนี้จะส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อของประเทศในละตินอเมริกาให้สูงขึ้น อุปสงค์ของภูมิภาคดังกล่าวก็จะสูงขึ้นบ้างด้วย จากโควิดที่น่าจะ ผ่านจุดสูงสุดไปแล้วในหลายประเทศ ซึ่งน่าจะส่งผลให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงขึ้นจากการคาดการณ์ก่อนหน้านี้
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0