ID
stringlengths
10
13
Domain
stringclasses
3 values
Instruction
stringlengths
11
894
Input
stringlengths
27
125k
Output
stringlengths
45
31.6k
Thai_Specfic
stringclasses
2 values
Tags
stringlengths
9
676
Task_type
stringclasses
7 values
License
stringclasses
1 value
Finance_1003
Finance
เพราะเหตุใด เศรษฐกิจญี่ปุ่นเพียงประเทศเดียว ยังคงอยู่ในโหมดการผ่อนคลายนโยบายการเงินแบบเต็มตัว
null
ฮารุอิโกะ คูโรด้า ได้ให้คำตอบว่า มีเหตุผลอยู่ 3 ประการ ได้แก่ 1. GDP: ขนาดเศรษฐกิจของญี่ปุ่นยังเล็กกว่าช่วงก่อนโควิดอยู่ร้อยละ 2.7 สภาพถือว่าใกล้เคียงกับบ้านเราในขณะนี้ ส่วนขนาดเศรษฐกิจของสหรัฐและยุโรปใหญ่กว่าตอนก่อนโควิดอยู่ร้อยละ 3.7 และ 0.6 ตามลำดับ ไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้น ตรรกะในการคิดออกจะคล้ายกับแบงก์ชาติบ้านเราคือควรผ่อนคลายนโยบายการเงินเพื่อประคองเศรษฐกิจไปก่อน 2. Terms of Trade: แม้ว่าอัตราการเติบโต GDP ของญี่ปุ่น ที่ร้อยละ 2.1 เมื่อวัดในปีแบบงบประมาณ 2021 ทว่าหากพิจารณาจาก ตัววัด GNI (Gross National Income) ซึ่งทำการเพิ่มปัจจัยอื่น ๆ อาทิ รายได้จากการลงทุนในต่างประเทศ และ รายได้จากกำไร หรือขาดทุนจากการค้า ซึ่งมีค่าเป็นลบจากการที่ญี่ปุ่นเป็นผู้นำเข้าสินค้าโภคภัณฑ์ซึ่งมีราคาสูงขึ้นเมื่อคิดเป็นเงินสกุลดอลลาร์ แม้ว่าค่าเงินเยนจะช่วยให้การส่งออกสินค้าและบริการ มีราคาในประเทศปลายทางที่ถูกลง ทว่าไม่ได้ช่วยด้านการนำเข้าแต่อย่างใด ดังนั้นการผ่อนคลายนโยบายการเงินต้องมาช่วยชดเชยในส่วนการนำเข้าที่สูงขึ้นด้วย 3. Inflation: แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อญี่ปุ่นแบบที่ไม่รวมอาหารสด ในเดือนเมษายน 2022 จะเท่ากับร้อยละ 2.1 ทว่าเมื่อนำปัจจัยราคาจากด้านพลังงานออกไปจากการคิดเงินเฟ้อ ปรากฏว่าอัตราเงินเฟ้อดังกล่าวในเดือนเมษายน 2022 จะเหลือร้อยละ 0.8 ในขณะที่ทางการญี่ปุ่นได้ประมาณการ อัตราเงินเฟ้อญี่ปุ่นแบบที่ไม่รวมอาหารสดในปี 2022 ว่าเท่ากับร้อยละ 1.9 ทว่าในปี 2023 จะเหลือเพียงร้อยละ 1.1 ซึ่งอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับเข้าเป้าหมายควรจะใกล้เคียงระดับร้อยละ 2 เมื่อคิดแบบเฉลี่ยตลอดวัฏจักรเศรษฐกิจ จึงทำให้แบงก์ชาติญี่ปุ่นควรจะดำเนินการผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อไปอีก นั่นคือ น่าจะกระตุ้นผ่านนโยบายการเงินไปอีกพักใหญ่
NO
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1006
Finance
5 อันดับกองทุนยอดนิยมที่ผู้คนค้นหาในเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน FINNOMENA ประจำสัปดาห์ (11 – 17 มิ.ย. 65) มีอะไรบ้าง
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา วันที่ 11 – 17 มิ.ย. 2565 มีกองทุนไหนทำผลตอบแทนได้โดดเด่น และเป็นกองทุนยอดนิยมที่มีผู้ค้นหามากที่สุดบนเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน FINNOMENA บทความนี้จะขอพาผู้อ่านไปดูกันครับ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา วันที่ 11 – 17 มิ.ย. 2565 มีกองทุนไหนทำผลตอบแทนได้โดดเด่น และเป็นกองทุนยอดนิยมที่มีผู้ค้นหามากที่สุดบนเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน FINNOMENA บทความนี้จะขอพาผู้อ่านไปดูกันครับ 5 อันดับ กองทุนผลตอบแทนดีประจำสัปดาห์ (11 – 17 มิ.ย. 65) ข้อมูลหน่วยราคากองทุน อัปเดตล่าสุด เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. 2565 ข้อมูลผลตอบแทนบางกองทุนในหน้าจัดอันดับกองทุน อาจมีการแสดงผลตอบแทนที่แตกต่างจากแต่ละหน้ากองทุน เนื่องจากการดึงข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่ต่างกัน (ซึ่งนับวันที่ในรอบสัปดาห์แตกต่างกัน)
กองทุนยอดนิยม 5 อันดับที่ผู้คนคนหาในเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน FINNOMENA ประจำสัปดาห์ (11 – 17 มิ.ย. 65) 1. KAB22B – กองทุนเปิดเค ฟิกซ์เดท เอเชียน บอนด์ 2022B 2. CHINA – กองทุนเปิดดับเบิลยูไอเอสอี เคแทม ซีเอสไอ 300 ไชน่า แทร็กเกอร์ 3. TMBCHEQ – กองทุนเปิดทหารไทย China Equity Index 4. SCBCHAA - กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้นจีนเอแชร์ 5. SCBFST - กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ ตราสารหนี้ระยะสั้นต่างประเทศ ข้อมูลหน่วยราคากองทุน อัปเดตล่าสุด เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. 2565 ข้อมูลผลตอบแทนบางกองทุนในหน้าจัดอันดับกองทุน อาจมีการแสดงผลตอบแทนที่แตกต่างจากแต่ละหน้ากองทุน เนื่องจากการดึงข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่ต่างกัน (ซึ่งนับวันที่ในรอบสัปดาห์แตกต่างกัน)
NO
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Closed QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1011
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับความหมายของ LUNA (Terra)
null
LUNA (Terra) คือ เหรียญผู้อยู่เบื้องหลัง UST (Terra USD) ที่ทำหน้าที่รักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนของ UST ให้สมดุลอยู่เสมอ มีกลไกคือ ถ้า UST สูงกว่า 1 ระบบจะซื้อ LUNA คืนเพื่อแลกกับ UST ที่จะเข้าไปอยู่ในระบบแทน เรียกได้ว่าเป็นการเพิ่ม Supply UST และกดระดับอัตราแลกเปลี่ยนให้ลดลง แต่ในทางกลับกัน ถ้า UST น้อยกว่า 1 ระบบ จะทำการพิมพ์ LUNA ออกมาเพื่อซื้อคืน UST ในระบบ เป็นการลด Supply UST เพื่อดันระดับอัตราแลกเปลี่ยนให้สูงขึ้นนั่นเอง โดย Terra เป็นระบบที่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาคริปโตเคอเรนซี ผ่านการควบคุม Demand Supply ของค่าเงิน และยังมีการใช้เงินจากคลัง ในการสนับสนุนอัดฉีด Decentralized Application ที่มีคุณภาพอีกด้วย บทเรียนจากย่อหน้าข้างต้น LUNA คือ เหรียญผู้อยู่เบื้องหลังอย่าง UST (Terra USD) ซึ่งทำหน้าที่รักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนของ UST ให้เสถียรสมดุลดั่งใจหวังอยู่เสมอ โดยอธิบายเป็นกลไกง่าย ๆ ก็คือ ถ้า UST มีมูลค่าสูงกว่า 1 ระบบจะทำการซื้อคืน LUNA แลกกับ UST ที่จะเข้าไปอยู่ในระบบแทน (เป็นการเพิ่ม Supply UST และกดให้ระดับอตราแลกเปลี่ยนที่เฟ้อลดลง) ในทางกลับกันหาก UST มีมูลค่าน้อยกว่า 1 ระบบจะทำการพิมพ์ LUNA ออกมาเพื่อซื้อคืน UST ในระบบ (ลด Supply UST เพื่อดันระดับอัตราแลกเปลี่ยนให้สูงขึ้น) นอกจากนี้เหรียญ LUNA ยังมีความน่าสนใจอื่น ๆ อย่างระบบที่ออกแบบมาเพื่อสร้างผลตอบแทนอันต่อเนื่องกับผู้ขุดเหรียญอีกด้วย ความผันผวนทางด้านราคาเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในโลกของคริปโตเคอเรนซี่ และกลายเป็นอุปสรรคของการนำสกุลเงินมาปรับใช้ เพราะหากคิดภาพง่าย ๆ คงไม่มีใครอยากใช้เงินที่จู่ ๆ วันนึงราคาเพิ่มเป็นสองเท่า และวันดีคืนดีอาจลดลงมาอีก 2 เท่ากันเป็นแน่ เงินอะไรถือทีเดิมพันเหมือนเข้าคาซิโน ซึ่งปัญหาดังกล่าวก็จะยิ่งสร้างอุปสรรคให้กับธุรกรรมที่ต้องใช้เวลาในการดำเนินการ เช่น การผ่อนหรือแบ่งจ่ายที่ต้องจ่ายเป็นงวด ๆ หลายเดือนหรืออาจจำหลายปี การจำนองบ้าน รวมไปถึงสัญญาค่าจ้างต่าง ๆ เพราะ คงไม่มีใครอยู่ดี ๆ เป็นหนี้เพิ่มขึ้นมาเท่าตัวใน 5 วัน หรือเจ้าหนี้ได้รับเงินน้อยลงกว่าตอนปล่อยกู้จากค่าเงินที่ผันผวนอย่างหนัก Terra เป็นระบบที่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาที่ว่าในคริปโตเคอเรนซี ผ่านการควบคุม Demand Supply ของค่าเงิน คล้ายกับระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่หรือ Fixed rate ที่ไทยก็เคยใช้มาก่อนในการเข้ามาแก้ปัญหาความผันผวนของค่าเงิน นอกจากนั้น Terra จะมีการใช้เงินจากคลัง (Treasury) ในการสนับสนุนอัดฉีดแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ App หรือ Decentralized Application ที่มีคุณภาพ มีผลการดำเนินงานดีและได้การอนุมัติโดยผู้มีสิทธิโหวต
YES
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1013
Finance
Meme coin คืออะไร
null
Meme coin เป็นสกุลคริปโตฯ ที่สร้างขึ้นเพื่อความสนุก บางครั้งเพื่อการล้อเลียน แซว เสียดสี โดยมีแรงบันดาลจากมาจากมีมต่างๆ ที่เป็นกระแสบนโลกออนไลน์ meme coin ที่อาจเรียกได้ว่าเป็นตัวบุกเบิก คือ เหรียญคริปโตฯ Dogecoin ที่เปิดตัวในปี 2013 โดย Jackson Palmer และ Billy Markus เป็นผู้ริเริ่ม มีจุดประสงค์ในการสร้างเหรียญเพื่อความสนุก ใช้รูปสุนัขพันธุ์ชิบะอินุเป็นโลโก้ของเหรียญ ก่อนที่ภายหลัง Elon Musk มหาเศรษฐีเจ้าของบริษัท Tesla จะทำการทวีตถึงเหรียญนี้ และก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวของราคาที่ผันผวนรุนแรงในช่วงเวลาหนึ่ง หลังจาก Dogecoin ก็มี meme coin อื่นๆ ที่เกิดขึ้นตามมา เช่น เหรียญ Shiba Inu ที่ว่ากันว่าสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นคู่แข่งกับ Dogecoin หรือ Dogelon Mars ที่ตั้งใจตั้งชื่อให้คล้ายกับ Elon Musk ที่หลายคนยกให้เป็นเสด็จพ่อเหรียญ Dogecoin ในช่วงหนึ่ง และหากไปดูโลโก้ของเหรียญในตระกูล meme coin ส่วนใหญ่ จะพบว่ามักจะมีลักษณะเป็นรูปการ์ตูนสุนัขตลกๆ ค่อนข้างเยอะ ข้อมูลจาก coinmarketcap พบว่ามี meme coin กว่า 250 เหรียญ หากแพลตฟอร์มการซื้อขายเหรียญคริปโตฯ ที่เลือกใช้ มีเหรียญประเภทนี้ให้ซื้อขาย ก็เท่ากับว่าสามารถลงทุนใน meme coin ได้ไม่ต่างกับเหรียญคริปโตฯ อื่น ในบางครั้งเหรียญประเภทนี้ให้ผลตอบแทนที่สูงมหาศาล เช่น เหรียญ Shiba Inu ที่หากซื้อได้ในราคา ณ วันที่ 1 ม.ค. 2021 และถือมาจนวันที่ 29 ธันวาคม ของปี 2021 จะคิดเป็นผลตอบแทนมหาศาลถึง 49,000,000 % (แน่นอนว่าคงไม่น่ามีใครที่ซื้อและขายได้พอดีขนาดนี้)
NO
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1015
Finance
ธนาคารทิสโก้แนะนำให้เลือกกองทุนใดภายใต้ธีมเทคโนโลยีแห่งอนาคต ระหว่าง กองทุนที่เน้นลงทุนในธุรกิจ Cloud Computing หรือ กองทุนที่เน้นลงทุนในธุรกิจ Digital Health
null
แนะนำกองทุนที่เน้นลงทุนในธุรกิจ Cloud Computing เพราะธนาคารทิสโก้แนะนำให้เลือกกองทุนที่เน้นลงทุนในธุรกิจ Cloud Computing ภายใต้ธีมเทคโนโลยีแห่งอนาคต ซึ่งเป็นธุรกิจที่รองรับการเก็บข้อมูลในระบบ Cloud ประกอบด้วย Software as a Service, Platform as a Service, Infrastructure as a Service ส่วนกองทุนที่เน้นลงทุนในธุรกิจ Digital Health เป็นกลุ่มธุรกิจภายใต้ธีมนวัตกรรมการแพทย์ กองทุนที่เน้นลงทุนในธุรกิจ Digital Health ที่เกี่ยวข้องกับบริการ Telehealth การใช้ระบบ Cloud ในการจัดเก็บข้อมูลผู้ป่วย รวมถึงบริษัทที่ผลิตเครื่องมือการตรวจโรค หุ่นยนต์ผ่าตัดและอุปกรณ์ทางการแพทย์สมัยใหม่ประเภทต่าง ๆ โดยกลุ่มธุรกิจภายใต้ธีมเทคโนโลยีแห่งอนาคต แนะนำ 1. กองทุนที่เน้นลงทุนในธุรกิจ Cyber Security ซึ่งเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันอาชญากรรมบนโลกไซเบอร์ ซึ่งจะทวีความสำคัญในอนาคต ที่จำเป็นต้องมีการรักษาความปลอดภัยให้กับข้อมูลสำคัญ 2. กองทุนที่เน้นลงทุนในธุรกิจ Cloud Computing ซึ่งเป็นธุรกิจที่รองรับการเก็บข้อมูลในระบบ Cloud ประกอบด้วย Software as a Service, Platform as a Service, Infrastructure as a Service ส่วนธุรกิจกลุ่มนวัตกรรมการแพทย์ และกลุ่มเทคโนโลยีแห่งอนาคต เป็นหุ้น Defensive ซึ่งผลประกอบการไม่ผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจมากนัก และได้ประโยชน์จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond yield) ที่ปรับตัวลดลง ซึ่งมักจะให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาด (outperform) ในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว โดยธนาคารทิสโก้แนะนำให้เลือกกองทุน 2 กลุ่มธุรกิจภายใต้ธีมนวัตกรรมการแพทย์ ได้แก่ 1. กองทุนที่เน้นลงทุนธุรกิจไบโอเทคโนโลยี (Biotechnology) ซึ่งเป็นธุรกิจวิจัยและพัฒนายา-วัคซีนรักษารวมถึงป้องกันโรค 2. กองทุนที่เน้นลงทุนในธุรกิจ Digital Health ที่เกี่ยวข้องกับบริการ Telehealth การใช้ระบบ Cloud ในการจัดเก็บข้อมูลผู้ป่วย รวมถึงบริษัทที่ผลิตเครื่องมือการตรวจโรค หุ่นยนต์ผ่าตัดและอุปกรณ์ทางการแพทย์สมัยใหม่ประเภทต่าง ๆ
NO
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1016
Finance
จงบอกประเด็นสำคัญ ในการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2565
null
ประเด็นสำคัญ ในการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2565 1. กนง. มีมติ 4 ต่อ 3 เสียงให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.50% ต่อปี (กรรมการเสียงข้างน้อย 3 เสียงมองว่าต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% ได้แล้ว) 2. เป็นครั้งแรกของปีที่คณะกรรมการเสียงแตก โดย 2 ครั้งก่อนมีเสียงเป็นเอกฉันท์ 3. คณะกรรมการมองเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวดีกว่าที่ประเมินไว้เดิม โดยได้แรงบวกจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เพิ่มมากขึ้น ให้ กนง.ปรับคาดการณ์ การขยายตัวเศรษฐกิจไทยปี 2565 เป็น 3.3% จากเดิม 3.2% พร้อมปรับเป้าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศเป็น 6.0 ล้านคน เพิ่มขึ้น 4 แสนคนจากเป้าหมายเดิม 5.6 ล้านคน 4. คณะกรรมการยอมรับว่ามองเงินเฟ้อผิดพลาด จากที่มองเป็นแค่มองเป็นแค่เรื่องชั่วคราว กลับลำเป็นเงินเฟ้อมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นและอยู่นานกว่าที่ประเมินไว้เดิม จนต้องมีการปรับเป้าเงินเฟ้อในปี 2565 ขึ้นมา 6.2% จากเดิม 4.9% และปี 2566 เป็น 2.5% จากเดิม 1.7% 5. คณะกรรมการมองว่า ความจำเป็นการใช้นโยบายการเงินลดลง อย่างไรก็ตามเพื่อให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่องตามคาด จึงยังให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.5% ต่อไปก่อน 6. คณะกรรมการมีการย้ำในช่วงท้ายของรายงานการประชุมว่า การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อมีความชัดเจนขึ้น จึงเห็นว่าการดำเนินนโยบายการเงินทีผ่อนคลายในปัจจุบันมีความจำเป็นที่จะลดลงในระยะข้างหน้า 7. คณะกรรมการจะพิจารณาเวลาที่เหมาะสมในการทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในสอดคล้องกับความเสี่ยงของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อที่เปลี่ยนไป
YES
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1018
Finance
เงินเฟ้อ หมายถึงอะไร
null
เงินเฟ้อ หมายถึง ภาวะเศรษฐกิจที่ระดับราคาสินค้าและบริการมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หรือถ้าพิจารณาจากค่าของเงิน เงินเฟ้อ คือ ภาวะเศรษฐกิจที่ค่าเงินมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้การจะซื้อของชิ้นเดิมนั้นต้องใช้เงินมากกว่าเดิม แปลง่าย ๆ อีกแบบก็คือ ของแพงขึ้นนั่นเอง ตัวอย่างแบบง่าย ๆ เลยคือ เมื่อก่อนมีเงิน 40 บาท ตอนเด็ก ๆ ก็ซื้อก๋วยเตี๋ยวกินคนเดียวได้ตั้ง 4 ชาม แต่ตอนนี้ เรื่องมันเศร้าขอตังค์เยอะ ๆ ราคาก๋วยเตี๋ยวได้ขยับราคาขึ้นตามน้ำหนัก กลายเป็น 40 บาท ซื้อได้แค่ชามเดียว ถ้าเป็นอย่างงี้ต่อไปอีก 30 ปีข้างหน้า ต้องอดกินก๋วยเตี๋ยวชามละ 40 บาท ราคามันจะต้องขยับขึ้นแซงน้ำหนักไปจนถึงชามละ 100 กว่าบาทแน่นอน เงินเฟ้อมันเกิดจากต้นทุนสินค้ามันแพงขึ้น และความต้องการสินค้าที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย ต้นทุนในการผลิตสินค้าที่สูงขึ้น (Cost-Push Inflation) ความต้องการสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น (Demand-Pull Inflation) เจ้า 2 ตัวนี้แหละที่เอาไว้มาวัดเงินเฟ้อว่าเท่าไหร่ ข้อดีของเงินเฟ้อ คือ ถ้าเงินเฟ้อนิดหน่อย ๆ ก็จะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจ เพราะจะช่วยสร้างแรงจูงใจให้ผู้ผลิตมีการลงทุนขยายการผลิต และมีการจ้างงาน ซึ่งทำให้เศรษฐกิจประเทศขยายตัวได้ดี
NO
ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1019
Finance
ธนาคารกลางแห่งประเทศไทย (แบงก์ชาติ) คืออะไร
null
ธนาคารกลางแห่งประเทศไทย หรือแบงก์ชาติ มีสถานะเป็นหน่วยงานของรัฐที่ไม่เป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ มีหน้าที่หลักคือ ดูแลเสถียรภาพทางการเงินของประเทศ อย่างเวลาที่สภาวะเศรษฐกิจของไทยร้อนแรงหรือซบเซาเกินไป แบงก์ชาติก็อาจกำหนดนโยบายการเงิน อย่างการเพิ่มหรือลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เป็นต้น แต่ปัญหาเงินเฟ้อที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันก็คงเป็นสถานการณ์ที่ท้าทายอยู่พอสมควร ที่แม้แต่อดีตผู้ว่าแบงก์ชาติต่างก็ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นและความกังวลต่อสภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยในปัจจุบัน ซึ่งรวมถึงปัญหาเงินเฟ้อด้วยนั่นเอง ตัวอย่างประเด็นสำคัญจากมุมมองของอดีตผู้ว่าแบงก์ชาติ คุณชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ อดีตผู้ว่าแบงก์ชาติที่เคยอยู่ในฉากหน้าของวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง แสดงความกังวลเกี่ยวกับนโยบายการคลังของรัฐบาล ทั้งเรื่องภาระหนี้สูง การขาดดุลงบประมาณต่อเนื่อง รวมถึงการบริหารนโยบายแบบประชานิยม และหากรัฐบาลไม่สามารถดูแลนโยบายการคลังได้ดีกว่านี้ ภาระจะตกที่นโยบายการเงินต่อไป ทั้งที่ปัญหาการเงินเป็นปัญหาปลายเหตุ ม.ร.ว. ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตผู้ว่าแบงก์ชาติผู้ซึ่งมีผลงานสำคัญในเรื่องการฟื้นฟูความเชื่อมั่นต่อแบงก์ชาติในยุคหลังวิกฤติต้มยำกุ้ง แสดงทรรศนะไปในทิศทางเดียวกัน นั่นคือมีความกังวลต่อวินัยทางการคลังของรัฐบาล และมองว่านโยบายการคลังในเวลานี้ไม่ได้ดำเนินไปในทิศทางที่ควรจะดำเนิน คุณวิรไท สันติประภพ พูดถึงประเด็นที่มองว่าหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงจะเป็นระเบิดเวลา รวมถึงสถานการณ์ปัจจุบันที่ส่งเสริมให้คนเป็นหนี้เกินจำเป็น อย่างสินเชื่อเงินทอน ที่ให้วงเงินสูงเกินกว่าความจำเป็นในการขอสินเชื่อ เป็นต้น
NO
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1022
Finance
จงสรุปบทความ "ความน่ากังวลของ QT เมื่อเทียบกับ Recession"
เมื่อสิ้นเดือนที่แล้ว คริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ สมาชิกของธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด ประเมินว่าเฟดน่าจะสามารถขึ้นดอกเบี้ยได้อย่างค่อนข้างเข้มข้น โดยไม่ต้องกังวลถึงการชะลอตัวหรือ สภาวะเศรษฐกิจถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐมากเท่าไรนัก เนื่องจากสิ่งที่เรียกว่าเส้นโค้งเบเวอร์ริดจ์ (Beveridge Curve) ดังรูป ซึ่งตั้งชื่อตามนักเศรษฐศาสตร์อังกฤษของพรรคเสรีนิยมที่มีชื่อว่า วิลเลียม เบเวอริดจ์ ซึ่งได้วางแผนการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จุดสำคัญของแนวคิดเส้นโค้งเบเวอริดจ์ คือ ภายใต้สภาวะเศรษฐกิจสหรัฐที่มีอุปสงค์ของแรงงานที่แข็งแรงอย่างเช่นในขณะนี้ ทำให้อัตราส่วนระหว่างการจ้างงาน (hires) ต่อตำแหน่งงานว่าง (Vacancies) มีค่าอยู่ในระดับต่ำมาก ซึ่งสิ่งนี้ทำให้การขึ้นดอกเบี้ยของเฟดอย่างต่อเนื่อง จะส่งผลให้บริษัทต่าง ๆ ในสหรัฐลดจำนวนการโพสต์การหาคนงาน (Vacancies) ลงค่อนข้างเยอะ ดังแกนตั้งในรูป โดยที่ไม่ได้ทำให้จำนวนการจ้างงานลดลงมามากนักแต่อย่างใด หรือระดับอัตราการว่างงาน (นั่นหมายถึงอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจด้วย) ไม่ได้สูงขึ้นมากนัก ดังแกนนอนในรูป หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ การขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะไม่ได้ส่งผลต่อการชะลอตัวลงของจีดีพีสหรัฐมากนัก อย่างน้อยในจุด ณ ตรงนี้ ในทางกลับกัน ณ จุดนี้ ต้นตอของแหล่งกำเนิดของเงินเฟ้อสหรัฐ โฟกัสเริ่มจะเปลี่ยนจากเงินเฟ้อที่เกิดจากปัจจัยระดับโลก อย่างปรากฏการณ์ ‘อุปทานติดขัด’ หรือ Supply Disruption หรือเงินเฟ้อที่เกิดจาก ‘สินค้า’ หรือ Good Inflation กลายมาเป็น เงินเฟ้อที่เกิดมาจาก ‘ภาคบริการ’ หรือ Bad Inflation ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับตลาดแรงงานที่ร้อนแรง จนกระทั่งค่าจ้างเพิ่มขึ้นแบบหยุดไม่อยู่ โดยทั้งปัจจัยอัตราการว่างงานที่มองต่อไปในระยะสั้นไม่น่าจะมีระดับสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง จีดีพีสหรัฐไม่น่าจะชะลอลงอย่างรวดเร็ว และอัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นมาจาก Bad Inflation ในมุมมองของวอลเลอร์แล้ว เฟดต้องขึ้นดอกเบี้ยให้เพียงพอที่จะตัดวงจรค่าจ้างที่จะเร่งตัวขึ้นมาให้ได้ สำหรับปฏิบัติการ Quantitative Tightening หรือ QT ซึ่งหมายถึงการลดขนาดงบดุลของเฟดด้วยอัตราประมาณ 1.1 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี จะส่งผลให้สภาพคล่องของระบบการเงินสหรัฐตึงตัวขึ้น โดยในประเด็นนี้ มีนักเศรษฐศาสตร์ด้านธนาคารกลางชั้นนำหลายท่านให้คำอธิบาย QT ไว้ ซึ่งผมขอนำคำอธิบายดังกล่าว มาพิจารณากลไกของ QT ของเฟด ว่าน่าจะเป็นดังนี้ ในช่วง QT เฟดได้ยอมให้พันธบัตรที่ตนเองถือครองครบอายุ โดยที่ไม่ได้ทำการซื้อพันธบัตรใหม่ โดยกระทรวงการคลังสหรัฐจะจ่ายคืนเงินต้น ให้กับพันธบัตรแต่ละล็อตที่เฟดถือครองอยู่ ซึ่งเฟดจะทำการสลายเงินของตนเองที่ได้รับมา ทั้งนี้ กระทรวงการคลังสหรัฐต้องสร้างเงินตราใหม่เพื่อทดแทนเงินที่จ่ายคืนไป ด้วยการขายหนี้ใหม่ให้ต่อสาธารณชน เท่ากับเป็นการดึงสภาพคล่อง (เงินสด เงินสำรองของแบงก์พาณิชย์ หรือเงินฝาก) ออกจากระบบการเงิน และทดแทนด้วยตั๋วพันธบัตร ในขณะเดียวกัน โครงการ “reverse repo programme” ของเฟด จะทำให้สภาพคล่องสูงขึ้นเพื่อลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นให้ต่ำกว่าเป้าหมายของเฟด ภายใต้โครงการนี้ นักลงทุนให้เงินสดต่อเฟดและได้รับพันธบัตร (พร้อมดอกเบี้ย) เป็นการตอบแทน ซึ่งเท่ากับเป็นการดึงสภาพคล่องออกจากระบบการเงิน และทดแทนด้วยตั๋วพันธบัตร ในช่วงนี้ที่ผลตอบแทนของพันธบัตรหรือดอกเบี้ยสหรัฐมีการแกว่งตัวเป็นอย่างมากดังเช่นที่เห็นอยู่ น่าจะมีนักลงทุนน้อยรายมากที่จะถอนเงินจาก RRP เพื่อซื้อพันธบัตรใหม่ เนื่องจากได้ไม่คุ้มเสีย ด้วยเหตุนี้ สภาพคล่องของตลาดพันธบัตรจึงลดลงเนื่องจาก กลไกที่กล่าวข้างต้น ซึ่งนักลงทุนที่ต้องการสภาพคล่องจะหนีไปหาการลงทุน ที่จะได้สภาพคล่องที่ปลอดภัยกว่าจากการขายหุ้นและตลาดเงินมากกว่า ซึ่งยิ่งขายมากเท่าไร ก็จะทำให้ดัชนีตลาดหุ้นลดลงมากเท่านั้น อย่างไรก็ดี มีแหล่งเงินอยู่หนึ่งประเภทที่น่าจะได้รับผลดีจากปรากฏการณ์ QT นั่นคือสินเชื่อของสถาบันการเงินหรือการปล่อยกู้ ซึ่งถือเป็นการสร้างเงินตราอย่างหนึ่ง ซึ่งในปีที่แล้วสามารถขยายตัวถึง 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งถือว่าร้อนแรงมากที่สุดหลังวิกฤตซับไพร์ม
เมื่อสิ้นเดือนที่แล้ว คริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ สมาชิกของธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด ประเมินว่าเฟดน่าจะสามารถขึ้นดอกเบี้ยได้อย่างค่อนข้างเข้มข้น โดยไม่ต้องกังวลถึงการชะลอตัวหรือ สภาวะเศรษฐกิจถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐ จุดสำคัญของแนวคิดเส้นโค้งเบเวอริดจ์ คือ ภายใต้สภาวะเศรษฐกิจสหรัฐที่มีอุปสงค์ของแรงงานที่แข็งแรง ทำให้อัตราส่วนระหว่างการจ้างงาน (hires) ต่อตำแหน่งงานว่าง (Vacancies) มีค่าอยู่ในระดับต่ำมาก หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ การขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะไม่ได้ส่งผลต่อการชะลอตัวลงของจีดีพีสหรัฐมากนัก ต้นตอของแหล่งกำเนิดของเงินเฟ้อสหรัฐ ฟกัสเริ่มจะเปลี่ยนจากเงินเฟ้อที่เกิดจากปัจจัยระดับโลก อย่างปรากฏการณ์ ‘อุปทานติดขัด’ หรือ Supply Disruption หรือเงินเฟ้อที่เกิดจาก ‘สินค้า’ หรือ Good Inflation กลายมาเป็น เงินเฟ้อที่เกิดมาจาก ‘ภาคบริการ’ หรือ Bad Inflation สำหรับปฏิบัติการ Quantitative Tightening หรือ QT ซึ่งหมายถึงการลดขนาดงบดุลของเฟดด้วยอัตราประมาณ 1.1 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี จะส่งผลให้สภาพคล่องของระบบการเงินสหรัฐตึงตัวขึ้น กลไกของ QT ของเฟด ว่าน่าจะเป็นดังนี้ 1. ในช่วง QT เฟดได้ยอมให้พันธบัตรที่ตนเองถือครองครบอายุ โดยที่ไม่ได้ทำการซื้อพันธบัตรใหม่ โดยกระทรวงการคลังสหรัฐจะจ่ายคืนเงินต้น ให้กับพันธบัตรแต่ละล็อตที่เฟดถือครองอยู่ ซึ่งเฟดจะทำการสลายเงินของตนเองที่ได้รับมา 2.ในขณะเดียวกัน โครงการ “reverse repo programme” ของเฟด จะทำให้สภาพคล่องสูงขึ้นเพื่อลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นให้ต่ำกว่าเป้าหมายของเฟด 3.ในช่วงนี้ที่ผลตอบแทนของพันธบัตรหรือดอกเบี้ยสหรัฐมีการแกว่งตัวเป็นอย่างมากดังเช่นที่เห็นอยู่ น่าจะมีนักลงทุนน้อยรายมากที่จะถอนเงินจาก RRP เพื่อซื้อพันธบัตรใหม่ เนื่องจากได้ไม่คุ้มเสีย 4.ด้วยเหตุนี้ สภาพคล่องของตลาดพันธบัตรจึงลดลงเนื่องจาก กลไกที่กล่าวข้างต้น ซึ่งนักลงทุนที่ต้องการสภาพคล่องจะหนีไปหาการลงทุน ที่จะได้สภาพคล่องที่ปลอดภัยกว่าจากการขายหุ้นและตลาดเงินมากกว่า แหล่งเงินอยู่หนึ่งประเภทที่น่าจะได้รับผลดีจากปรากฏการณ์ QT นั่นคือสินเชื่อของสถาบันการเงินหรือการปล่อยกู้ ซึ่งถือเป็นการสร้างเงินตราอย่างหนึ่ง ซึ่งในปีที่แล้วสามารถขยายตัวถึง 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งถือว่าร้อนแรงมากที่สุดหลังวิกฤตซับไพร์
NO
ตลาดการเงิน,สถาบันการเงิน,ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,เศรษฐศาสตร์การเงิน,เครื่องมือทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1024
Finance
การที่ User 692 ล้านคน ของ Meituan แทบไม่เพิ่มขึ้นเลย และการใช้งานแอปต่อ user 1 คน อยู่ที่ 37.2 ครั้งต่อปี เป็นเรื่องที่ดีเพราะเหตุใด
null
การที่ User 692 ล้านคน ของ Meituan แทบไม่เพิ่มขึ้นเลย และการใช้งานแอปต่อ user 1 คน อยู่ที่ 37.2 ครั้งต่อปี เป็นเรื่องที่ดีเพราะแม้จำนวน user ไม่โตแต่ Meituan สามารถทำให้ user เดิมใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในแอป แม้ Meituan จะโดนผลกระทบจากรัฐบาลเหมือนกัน แต่น้อยกว่าเมื่อเทียบกับคู่แข่งในธุรกิจ Group-buying เพราะทั้ง Alibaba, Pinduoduo, DiDi เจอการคุมเข้มกว่ามาก อย่างในเคส DiDi โดนไปถึงให้ออกตลาดหุ้น แม้มาช้ากว่าใครแต่การเติบโต e-commerce ของ Meituan จัดว่าเร็วทีเดียว จากต้นปีที่ 2021 ที่รัฐบาลเริ่มทุบหุ้นเทคแต่ Meituan ยังโตได้ถึง 50% YoY ในส่วนธุรกิจ New initiatives ทางด้านแนวทางค่อนข้างคล้ายกับ Pinduoduo ในการให้ user รวมกลุ่มซื้อเพื่อกดราคาสินค้าให้ถูกลง โดย Meituan จะเน้นไปที่การเจรจากับผู้ผลิตโดยตรง ตัดพ่อค้าคนกลางออกเพื่อลดต้นทุนนั่นเอง แต่ต่อจากนี้คงไม่ง่ายเหมือนเดิม เพราะรัฐบาลเข้มงวดเรื่องการขยายธุรกิจเทคขาดทุนไปก่อน ซึ่งตัว Meituan ก็หนีไม่พ้นต้องลดการขายขาดทุนเพื่อเพิ่ม user และลดงบการตลาด ทำให้เริ่มกระทบการเติบโต ตัวธุรกิจต้องจับตาว่าหลังลดเผาเงินแล้ว e-commerce จะยังโตต่อได้ไหม ถ้าได้จะเป็นสัญญานบวกเพราะ Meituan ได้ user ใหม่เข้ามาเยอะมาก สามารถเข้ามาใช้บริการอื่นจากแอปได้อีก กลับกันถ้าลดเผาเงินแล้ว e-commerce ยอดตกแรงก็เป็นสัญญานลบ แสดงว่ายอดโตเพราะการลด แลก แจก แถม ไม่ได้ยั่งยืนในระยะยาว
NO
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1025
Finance
ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ควรจะยุติการทำ QE และเริ่มทำ QT เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้หรือไม่?
null
ไม่ เพราะถึงแม้ว่าเงินเฟ้อในปัจจุบันจะอยู่ในระดับสูง แต่มีสัญญาณบ่งชี้ว่าเงินเฟ้ออาจเริ่มชะลอตัวลง ตัวอย่างเช่น ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ในเดือนกรกฎาคม 2566 อยู่ที่ 8.5% ซึ่งแม้จะสูง แต่ก็ลดลงจาก 9.1% ในเดือนมิถุนายน 2566 การเริ่มทำ QT เร็วเกินไปอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวจากโควิด-19 ในส่วนของตลาดหุ้นทั่วโลกมีความผันผวนสูงในช่วงที่ผ่านมา การเริ่มทำ QT เร็วเกินไปอาจส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้น negatively ด้านเศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญกับความเสี่ยงหลายประการ เช่น สงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ การระบาดของ COVID-19 สายพันธุ์ใหม่ การเริ่มทำ QT เร็วเกินไปอาจทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง สำหรับนโยบายการเงิน ธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลกยังคงดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลาย การเริ่มทำ QT ของ Fed เร็วเกินไปอาจทำให้เกิดความไม่สอดคล้องกันของนโยบายการเงิน ส่วนผลกระทบต่อตลาดเกิดใหม่ การเริ่มทำ QT ของ Fed เร็วเกินไปอาจส่งผลกระทบต่อตลาดเกิดใหม่ negatively ข้อควรพิจารณาเพิ่มเติม: Fed ควรติดตามข้อมูลเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด Fed ควรประสานงานกับธนาคารกลางอื่น ๆ Fed ควรสื่อสารนโยบายการเงินอย่างชัดเจน สรุป: การเริ่มทำ QT ของ Fed เร็วเกินไปอาจส่งผลเสียมากกว่าผลดี Fed ควรติดตามข้อมูลเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด ประสานงานกับธนาคารกลางอื่น ๆ และสื่อสารนโยบายการเงินอย่างชัดเจน
NO
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1026
Finance
เหรียญ USDT ของ Tether คืออะไร
null
เหรียญ USDT เป็นเหรียญ Stablecoin ที่สร้างขึ้นโดย Tether และมีการตรึงมูลค่ากับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในอัตราส่วน 1:1 กล่าวคือ 1 USDT มีมูลค่าเท่ากับ 1 USD ซึ่งได้รับการสำรองอย่างเต็มจำนวนจากเงินสำรองของ Tether นอกจากเหรียญ USDT ที่ตรึงมูลค่ากับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แล้ว Tether ยังได้ออกเหรียญ Stablecoin ที่ตรึงมูลค่ากับสกุลเงินอื่น ๆ อีกด้วย ได้แก่ EURT ตรึงมูลค่ากับค่าเงินยูโร, CNHT ตรึงมูลค่ากับค่าเงินหยวน, MXNT ตรึงมูลค่ากับค่าเงินเปโซเม็กซิโก โดยในปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์ของ Tether มีการรองรับบนหลาย Blockchain ด้วยกัน เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ใช้งาน ตัวอย่างเช่น Ethereum Blockchain, Polygon Blockchain, Solana Blockchain, Avalanche Blockchain เป็นต้น ด้วยความที่เหรียญ Stablecoin แต่ละเหรียญของ Tether มีความเชื่อมโยงกับเงินสำรองโดยตรง Tether จึงได้มีการให้บริษัทตรวจสอบบัญชี Moore Cayman เข้ามาตรวจสอบในทุก ๆ ไตรมาส และจะมีการประกาศรายงานการสำรองดังกล่าวบนเว็บไซต์ของ Tether เพื่อทำให้ผู้ใช้งานมั่นใจในเรื่องความโปร่งใสและมีการสำรองอย่างครบถ้วน คำเตือน การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง อาจสูญเสียเงินลงทุนผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจและศึกษาข้อมูลรวมทั้งลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
NO
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน,เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1028
Finance
การปั๊มชีพจรเศรษฐกิจจากปัญหาเงินเฟ้อแบบหนักมือ Demand ฟื้นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แต่ Supply ตาม Demand ขึ้นมาไม่ทัน เพราะเหตุใด ระหว่าง แต่ละประเทศมีนโยบายการคุม COVID แตกต่างกัน หรือ ให้สหรัฐพ้นเงินเฟ้อ
null
แต่ละประเทศมีนโยบายการคุม COVID แตกต่างกัน การปั๊มชีพจรเศรษฐกิจจากปัญหาเงินเฟ้อแบบหนักมือ Demand ฟื้นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แต่ Supply ตาม Demand ขึ้นมาไม่ทัน เพราะแต่ละประเทศมีนโยบายการคุม COVID แตกต่างกัน เช่น ช่วงกลางปี 2564 สหรัฐและยุโรปเปิดประเทศ แต่หลายประเทศในเอเชีย รวม ไทย ประกาศล็อกดาวน์ Demand จึงยิ่งฉีกห่างออกจาก Supply เงินเฟ้อมันถึงได้เร่งตัว ความจริงเงินเฟ้อมาตั้งแต่ต้นปี 2564 แล้ว เห็นได้จากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะพวกโลหะมีค่ามันพุ่งกระฉูดทะลุเพดานกันเป็นว่าเล่น และความที่เงินมันสะพัดมาก (จากการอัดเงินของ Fed) บรรดาพวกสินทรัพย์เสี่ยง ถึงได้ขึ้นกันเป็นสิบ ๆ เท่า ดังนั้นปัญหาเงินเฟ้อรอบนี้ ต้องทำความเข้าใจกันใหม่ด้วยว่า ไม่ใช่เพราะเรื่อง supply bottleneck เหมือนอย่างที่ Fed หรือใครๆ บอกออกมา แต่มันเป็นเพราะตัว Fed ล้วน ๆ ส่วนการให้สหรัฐพ้นเงินเฟ้อ เป็นเป้าหมายใหญ่ของการทำ QE Fed แต่ก็ไม่ได้สนใจว่าจะทำให้โลกวุ่นวายขนาดไหน โอกาสที่ Fed ขึ้นดอก ทำ QT เพื่อการเพิ่มกระสุนให้ตัวเอง และเตรียมกลับมาทำ QE ในอนาคต กลไกนี้มันเกิดขึ้นแน่ ๆ อยู่แล้ว หากเศรษฐกิจมันตกต่ำมาก ๆ แต่ก็ต้องอยู่บนเงื่อนไขของเงินเฟ้อต่ำด้วย ซึ่งมันไม่ใช่ในตอนที่ Stagflation มันชัดเจนซะขนาดนี้ ภารกิจหลักจึงต้องจัดการเงินเฟ้อ ไม่ใช่ไปกระตุ้นเศรษฐกิจต่อ
NO
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1032
Finance
ช่วยสรุปบทความ เจาะลึกกองทุน AFMOAT-H กองทุนป้อมปราการเหล็ก ทนทานทุกสภาวะตลาด” I สรุป LIVE Market Talk
สถานการณ์ของตลาดในฝั่งของ Growth Stock และ Value Stock ในมุมมองของ ทาลิส สถานการณ์ปีนี้ของตลาดโลกมีความเสี่ยงหลัก ๆ คือ ปัญหาในเรื่องของเงินเฟ้อ ซึ่งเริ่มตั้งแต่ปี 2021 และมีการปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มีสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนเข้ามาเกี่ยวข้อง ส่งผลกระทบกับราคาน้ำมัน ราคาพลังงาน และราคาสินค้าเกษตรเป็นหลัก ทำให้สถานการณ์เงินเฟ้อยังคงอยู่ และผู้คนมีความกังวลว่า เงินเฟ้อจะยืดเยื้อต่อไปหรือไม่ ทางด้านสหรัฐฯ เอง เกรงว่า เมื่อเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้นติดต่อกันเป็นเวลานาน จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศนั้น ๆ ไม่มีเสถียรภาพ ทางธนาคารกลางหรือ FED จึงออกนโยบายคุมเงินเฟ้อโดยการลดสภาพคล่องในระบบ และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย อันจะเป็นวิธีที่สามารถต่อกรกับเงินเฟ้อได้ ซึ่งมีผลกระทบกับหุ้น Growth ประการแรกคือ เมื่อดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น มีผลทำให้ Discount Rate สูงขึ้น ส่งผลให้การประเมินมูลค่าของบริษัทต่าง ๆ ลดลง ประการที่สองคือ ความคาดหวังในการเติบโตของหุ้น Growth ต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เมื่อสถานการณ์ปัจจุบันไม่แน่นอน ความคาดหวังที่หุ้นจะโตถึง 30% – 50% จึงลดลง ทำให้การเติบโตลดลงด้วย ส่งผลให้ราคาหุ้น Growth ถูก Valuation ที่ปรับตัวลงค่อนข้างมาก จึงทำให้นักลงทุนเริ่มย้ายไปลงทุนในกลุ่ม Value Stock มากขึ้น เนื่องจากกลุ่ม Value มีผลตอบแทนจากเงินปันผล และค่อนข้างปลอดภัยกว่าการลงทุนในตลาดหุ้น Growth เพียงอย่างเดียว จึงเป็นเหตุผลว่าช่วงที่ผ่านมาหุ้น Growth ถูกเทขาย ในขณะที่หุ้น Value อาจมีราคาลงบ้าง แต่ในระดับที่น้อยกว่าหุ้น Growth หรือหุ้นบางตัวอาจจะมีการปรับราคาขึ้น โดยเฉพาะหุ้น Value ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับสินค้าจำเป็น เช่น กลุ่มอาหาร เป็นต้น เราจึงเห็นได้ว่า Growth Stock มีผลการดำเนินงานที่ต่ำกว่า Value Stock นั่นเอง
ตลาด Growth Stock และ Value Stock ในมุมมองของ ทาลิส ต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากสถานการณ์เงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นตลอด ซึ่งเริ่มตั้งแต่ปี 2021 ทำให้เป็นปัญหาหลักของตลาดโลกในปัจจุบัน สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนก็เพิ่มความไม่แน่นอนในตลาด ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน พลังงาน และสินค้าเกษตร ทำให้ความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อยังคงสูง ทางสหรัฐฯกังวลว่าการเงินเฟ้อที่ยืดเยื้อต่อไปอาจมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ เพื่อเข้ามีการควบคุมเงินเฟ้อ ทาง FED มีนโยบายลดสภาพคล่องในระบบและปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจ การเพิ่มดอกเบี้ยนี้มีผลต่อหุ้น Growth โดยทำให้ Discount Rate สูงขึ้น ส่งผลให้การประเมินมูลค่าของบริษัทลดลง ความคาดหวังในการเติบโตของหุ้น Growth ลดลงเนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบันที่ไม่แน่นอน ทำให้การเติบโตของหุ้นนั้นลดลงถึง 30% - 50% และราคาหุ้น Growth ถูก Valuation ลดลงมาก นักลงทุนมีแนวโน้มที่จะย้ายไปลงทุนในกลุ่ม Value Stock ที่มีผลตอบแทนจากเงินปันผลและค่อนข้างปลอดภัยกว่า หุ้น Value มีโอกาสปรับราคาขึ้น แม้ว่าหลายหุ้น Value อาจมีการลดลงบ้าง แต่มีบางตัวที่มีการปรับราคาขึ้น โดยเฉพาะหุ้น Value ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าจำเป็น เช่น กลุ่มอาหาร หุ้น Growth มีผลการดำเนินงานที่ต่ำกว่า Value Stock ทำให้มีการขายออกของหุ้น Growth และนักลงทุนมีความสนใจในหุ้น Value มากขึ้นในช่วงเวลาที่ผ่านมา
NO
ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1037
Finance
จงสรุปบทความ กลยุทธ์แบบ Growth and Value Rotation
เชื่อว่าหลายคนคงได้ยินกลยุทธ์แบบ Sector Rotation ซึ่งใช้วิธีการปรับพอร์ตผ่านการสลับเปลี่ยนกลุ่มอุตสาหกรรมกันมาบ้าง เชื่อว่าหลายคนคงได้ยินกลยุทธ์แบบ Sector Rotation ซึ่งใช้วิธีการปรับพอร์ตผ่านการสลับเปลี่ยนกลุ่มอุตสาหกรรมกันมาบ้าง แต่มีอีก 1 กลยุทธ์ที่ใช้ได้ดีคือ Growth and Value Rotation ซึ่งเป็นการสับเปลี่ยนระหว่างกลุ่มหุ้น Growth (เติบโต) และ หุ้น Value(คุณค่า) แต่มีอีก 1 กลยุทธ์ที่ใช้ได้ดีคือ Growth and Value Rotation ซึ่งเป็นการสับเปลี่ยนระหว่างกลุ่มหุ้น Growth (เติบโต) และ หุ้น Value(คุณค่า) ในวันนี้ผมขอยกตัวอย่าง S&P 500® Growth Value Rotator Index ซึ่งเป็นดัชนีที่ใช้ Momentum Rotation ในการสลับไปมาระหว่าง กลุ่มหุ้น Growth (เติบโต) และ หุ้น Value(คุณค่า) ในวันนี้ผมขอยกตัวอย่าง S&P 500® Growth Value Rotator Index ซึ่งเป็นดัชนีที่ใช้ Momentum Rotation ในการสลับไปมาระหว่าง กลุ่มหุ้น Growth (เติบโต) และ หุ้น Value(คุณค่า) เป้าหมายของ S&P 500 Growth Value Rotator Index คือการใช้ประโยชน์จากกลุ่มหุ้นทั้งสองรูปแบบ โดยจะสลับไปมาระหว่างกลยุทธ์การเติบโตและมูลค่าตาม Momentum ผ่านคำนวณ Price Momentum ระยะเวลา 12 เดือน โดยจะมีการ Rebalance ทุกๆ เดือน เป้าหมายของ S&P 500 Growth Value Rotator Index คือการใช้ประโยชน์จากกลุ่มหุ้นทั้งสองรูปแบบ โดยจะสลับไปมาระหว่างกลยุทธ์การเติบโตและมูลค่าตาม Momentum ผ่านคำนวณ Price Momentum ระยะเวลา 12 เดือน โดยจะมีการ Rebalance ทุกๆ เดือน ถ้าสิ้นเดือน S&P500 Growth Index มี Price Momentum ระยะเวลา 12 เดือน ชนะ S&P500 Value Index ก็จะลงทุนใน S&P500 Growth Index ถ้าสิ้นเดือน S&P500 Growth Index มี Price Momentum ระยะเวลา 12 เดือน ชนะ S&P500 Value Index ก็จะลงทุนใน S&P500 Growth Index แต่ถ้า สิ้นเดือน S&P500 Value Index มี Price Momentum ระยะเวลา 12 เดือน ชนะ S&P500 Growth Index ก็จะลงทุนใน S&P500 Value Index แต่ถ้า สิ้นเดือน S&P500 Value Index มี Price Momentum ระยะเวลา 12 เดือน ชนะ S&P500 Growth Index ก็จะลงทุนใน S&P500 Value Index ดัชนี S&P 500 Growth Value Rotator มีประสิทธิภาพที่เหนือกว่า S&P500 อย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 1995 ถึงกรกฎาคม 2019 โดยสร้าง ดัชนี S&P 500 Growth Value Rotator มีประสิทธิภาพที่เหนือกว่า S&P500 อย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 1995 ถึงกรกฎาคม 2019 โดยสร้าง ดูได้จากรูปข้างล่าง โดยเอาชนะทั้ง S&P500 Value , S&P500 Growth และ S&P500 ดูได้จากรูปข้างล่าง โดยเอาชนะทั้ง S&P500 Value , S&P500 Growth และ S&P500 ที่มา: www.spglobal.com วันที่ 27 พฤษภาคม 2022 ที่มา: www.spglobal.com www.spglobal.com www.spglobal.com วันที่ 27 พฤษภาคม 2022 ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ที่มา: www.spglobal.com วันที่ 27 พฤษภาคม 2022 ที่มา: www.spglobal.com www.spglobal.com www.spglobal.com วันที่ 27 พฤษภาคม 2022 ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต จากรูปผลการดำเนินที่ผ่านมาให้อดีต S&P500 Growth Value Rotator Index สามารถทำผลตอบแทนชนะทั้งสามดัชนี แต่อย่างไรจะมี Volatility มากกว่าทั้งสามดัชนี แต่ถ้าวัดด้วย Risk-Adjusted Return จะก็ยังชนะทั้งสามตลาด สามารถสรุปดังนี้ จากรูปผลการดำเนินที่ผ่านมาให้อดีต S&P500 Growth Value Rotator Index สามารถทำผลตอบแทนชนะทั้งสามดัชนี แต่อย่างไรจะมี Volatility มากกว่าทั้งสามดัชนี แต่ถ้าวัดด้วย Risk-Adjusted Return จะก็ยังชนะทั้งสามตลาด สามารถสรุปดังนี้ ที่มา: www.spglobal.com วันที่ 27 พฤษภาคม 2022 ที่มา : www.spglobal.com www.spglobal.com วันที่ 27 พฤษภาคม 2022 มาดูผลตอบแทนในอดีตมีดังนี้ มาดูผลตอบแทนในอดีตมีดังนี้ ที่มา: www.spglobal.com วันที่ 27 พฤษภาคม 2022 ที่มา: www.spglobal.com www.spglobal.com www.spglobal.com วันที่ 27 พฤษภาคม 2022 ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ที่มา: www.spglobal.com วันที่ 27 พฤษภาคม 2022 ที่มา: www.spglobal.com www.spglobal.com วันที่ 27 พฤษภาคม 2022 ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผลตอบแทนระยะยาวชนะ S&P500 แม้ว่า ระยะสั้นจะแพ้ ดังเช่นในปี 2022 ผลตอบแทน S&P 500® Growth Value Rotator Index ได้ -19.45% ในขณะที่ผลตอบแทน S&P500 อยุ่ที่ -12.92% ผลตอบแทนระยะยาวชนะ S&P500 แม้ว่า ระยะสั้นจะแพ้ ดังเช่นในปี 2022 ผลตอบแทน S&P 500® Growth Value Rotator Index ได้ -19.45% ในขณะที่ผลตอบแทน S&P500 อยุ่ที่ -12.92% ดัชนี S&P 500® Growth Value Rotator Index จึงเป็นอีกดัชนีหุ้นที่มีกลยุทธ์ที่น่าสนใจและได้ประโยชน์ทั้งสองกลุ่มหุ้น ดัชนี S&P 500® Growth Value Rotator Index จึงเป็นอีกดัชนีหุ้นที่มีกลยุทธ์ที่น่าสนใจและได้ประโยชน์ทั้งสองกลุ่มหุ้น โดยนักลงทุนสามารถนำไปพัฒนากลยุทธ์ในการลงทุนได้ในอนาคต โดยนักลงทุนสามารถนำไปพัฒนากลยุทธ์ในการลงทุนได้ในอนาคต
กลยุทธ์ Growth and Value Rotation ซึ่งเป็นการสับเปลี่ยนระหว่างกลุ่มหุ้น Growth (เติบโต) และ หุ้น Value(คุณค่า) S&P 500® Growth Value Rotator Index ซึ่งเป็นดัชนีที่ใช้ Momentum Rotation ในการสลับไปมาระหว่าง กลุ่มหุ้น Growth (เติบโต) และ หุ้น Value(คุณค่า) S&P500 Growth Value Rotator Index สามารถทำผลตอบแทนชนะทั้งสามดัชนี แต่อย่างไรจะมี Volatility มากกว่าทั้งสามดัชนี แต่ถ้าวัดด้วย Risk-Adjusted Return จะก็ยังชนะทั้งสามตลาด ผลตอบแทนระยะยาวชนะ S&P500 แม้ว่า ระยะสั้นจะแพ้ ดังเช่นในปี 2022 ผลตอบแทน S&P 500® Growth Value Rotator Index ได้ -19.45% ในขณะที่ผลตอบแทน S&P500 อยุ่ที่ -12.92% ดัชนี S&P 500® Growth Value Rotator Index จึงเป็นอีกดัชนีหุ้นที่มีกลยุทธ์ที่น่าสนใจและได้ประโยชน์ทั้งสองกลุ่มหุ้น โดยนักลงทุนสามารถนำไปพัฒนากลยุทธ์ในการลงทุนได้ในอนาคต
NO
เทคโนโลยีทางการเงิน,ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1044
Finance
จงตัวอย่างบริษัทที่ลงทุนในกองทุน LHPROPIA
null
กองทุน LHPROPIA หรือกองทุนเปิด แอล เอช พร็อพเพอร์ตี้ อินฟรา เฟล็กซิเบิล A เป็นกองทุนรวมประเภท Mixed fund มีนโยบายการลงทุนคือ - ลงทุนในหลักทรัพย์/ตราสารในกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ - กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน - ทรัสต์เพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งนี้ จะลงทุนในบริษัทที่จดทะเบียนในประเทศไทย ประเทศอื่นในเอเชีย และประเทศออสเตรเลีย ซึ่งจะเน้นไปที่ประเทศสิงคโปร์และประเทศไทยเป็นหลัก ตัวอย่างบริษัทที่ลงทุนในกองทุน LHPROPIA - CPN REIT – Retail REITs ไทยที่จะสามารถดัน Performance ของ REITs ให้พุ่งขึ้นได้ โดยทางกองให้น้ำหนักในการลงทุนมากที่สุดคือ CPN REIT ซึ่งกระจายการลงทุนทั้งในส่วนของตัวห้างสรรพสินค้า 85% ออฟฟิศ 10% และโรงแรม 5% การเติบโตที่จะกลับมาในปี 2022 คือ Traffic Recovery (จำนวนผู้ที่มาจับจ่ายใช้สอยในห้างสรรพสินค้า) ที่อยู่ในระดับ 80% อันเป็นตัวกระตุ้นที่จะทำให้ตัวผลตอบแทนของ CPN REIT อาจปรับสูงได้มากกว่า 6% ในปี 2022 ซึ่งกลุ่ม Retail REITs เป็นกลุ่มที่มีผลตอบแทนสูงกว่าค่าเฉลี่ยเป็นทุนเดิม - DIF – กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม มีการกระจายการลงทุนทั้งในส่วนของเสาโทรคมนาคม และ Fiber Optic ซึ่งเป็นธุรกิจอินเทอร์เน็ตต่าง ๆ และมีความเกี่ยวพันกับเงินเฟ้อ ซึ่งสามารถปรับเพิ่มค่าเช่าขึ้นได้ กองทุน DIF ได้รับความสนใจจากต่างประเทศ เนื่องจากมี Market cap อยู่ที่หนึ่งแสนห้าหมื่นล้านบาทไทย และมี Dividend Yield ประมาณ 8% นอกจากนี้ DIF ยังคงเป็นที่ชื่นชอบของนักลงทุนสถาบัน และมีสัดส่วนการลงทุนค่อนข้างมาก เนื่องจากมีคุณสมบัติของการเป็นหุ้นที่ดี ทั้งรายได้จากค่าเช่าที่สม่ำเสมอ มีอัตราผลตอบแทนอยู่ในระดับสูง และมีสภาพคล่องสูงมาก
NO
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1049
Finance
SEA Group มีงบใน Q1/22 เท่าไหร่บ้าง
null
SEA Group ประกอบธุรกิจหลัก ๆ ด้วยกัน 3 อย่าง 1. Digital Entertainment ภายใต้ Garena ที่มีเกมดัง ๆ อย่าง PUBG, League of Legends, ROV และ Free Fire โดยหารายได้จากการขายไอเทมให้กับผู้เล่นเกม ซึ่งคิดเป็นประมาณ 41% ของรายได้ทั้งหมด 2. E-commerce ภายใต้ Shopee แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซชั้นนำที่เป็นที่รู้จักกันดีในภูมิภาคอาเซียน ขยายไปไกลถึง Latin America โดยมีรายได้มาจากการขายสินค้าด้วยตัวเองผ่าน Official Store เช่น Shopee Mall รวมถึงค่าธรรมเนียมที่คิดกับร้านค้าภายนอก และค่าโฆษณาในแพลตฟอร์ม 3. Digital Financial Services ภายใต้ seaMoney ที่มีทั้ง AirPay, ShopeePay, และ SPayLater เกาะกระแส BNPL ด้วยตัวเอง ไม่ต้องง้อการพาร์ทเนอร์กับคนนอก ราคาหุ้น SE ร่วงจากจุดสูงสุดราว ๆ 78% แล้ว จากความกังวลเรื่องการเปิดเมือง จะส่งผลต่อธุรกิจหลักของ SEA อย่าง Garena และ Shopee เพราะ SEA ยังเป็นหุ้นที่ขาดทุนอยู่มาก เพื่อแลกกับการเติบโตของธุรกิจอย่างก้าวกระโดด รวมถึงข่าวร้ายที่โดน India แบนทั้งที่ธุรกิจกำลังไปได้สวย และ Tencent ยักษ์ใหญ่แดนมังกรขายหุ้นไปกว่า แสนล้านบาท อย่างไรก็ตามบริษัทยังขยายบริการเพิ่มใน 5 ประเทศคือ บราซิล โปแลนด์ เม็กซิโก กัมพูชา และชิลี ในปี 2021 งบ Q1/22 - รายได้รวม $2.9 Billion + 64% YoY มากกว่านักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ 2.86 Billion - Gross Profit 1.2 Billion +81.3% YoY - รายได้จาก E-commerce 1.5 Billion +64% YoY - รายได้จาก Digital Entertainment 1.1 Billion +45% YoY - รายได้จาก Digital Financial Services 236 Million +360% YoY - ขาดทุนต่อหุ้น -$0.8 น้อยกว่านักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ -$1.4 ในงบหากมองแบบ YoY จะไม่เห็นผลกระทบชัดเจน แต่ถ้าหากมองแบบ QoQ จะเห็นการชะลอตัวในบริการต่าง ๆ ชัดเจนขึ้น
NO
ข้อมูลการเงินรายบริษัท
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1051
Finance
สิ่งใดของอุตสาหกรรมชิปที่เป็นตัวทายตลาดหุ้นหรือเศรษฐกิจได้ดีมาก ๆ ระหว่าง การขยายตัวหรือหดตัวของอุตสาหกรรมชิป หรือ นโยบายสนับสนุนจากรัฐบาล
null
การขยายตัวหรือหดตัวของอุตสาหกรรมชิป ชิปนั้นใช้ในเกือบทุกอย่างของสินค้าเทคโนโลยี เหล่าสินค้ารอบตัวนั้นมีชิปอยู่ภายใน ทั้ง มือถือ, คอม, รถยนต์ หรือการใช้บริการ Facebook, Instagram, Netflix ล้วนมีการทำงานผ่าน server ที่ต้องการชิปเช่นกัน สรุปได้ว่าการขยายตัวหรือหดตัวของอุตสาหกรรมชิปเป็นตัวทายตลาดหุ้นหรือเศรษฐกิจได้ดีมาก ๆ และถ้าศึกษาลงไปอีก จะเห็นว่า supply chain ของอุตสาหกรรมนี้ใหญ่มาก ๆ เกี่ยวข้องกับหุ้นใหญ่หลายตัว และทั้งหมดใช้ supplier เจ้าเดียวกัน หรือมีคอขวดที่เดียวกัน 4 บริษัทเครื่องจักรผลิตชิปของโลก ASML, AMAT, Lam Research, Tokyo Electron รวมกัน 80% แม้รายได้จะสูงเมื่อเทียบอดีต แต่การเติบโตเทียบช่วงเดียวกันของปี 2021 %YoY เหลือเพียง 5% ก็คือแทบจะไม่โตแล้ว ซึ่งเกิดขึ้นจากทั้งกำลังการผลิตเต็ม และเรื่องกำลังซื้อผู้บริโภคที่หายไปจากเงินเฟ้อ ส่วนนโยบายสนับสนุนจากรัฐบาล เป็นปัจจัยที่ขึ้นกับการที่ตลาดจะกลับมาดีขึ้น ปกติแล้วกว่าที่ตลาดจะกลับมา ได้ต้องใช้เวลาราว 6 – 12 เดือน หรือนานกว่า ขึ้นกับนโยบายสนับสนุนจากรัฐบาล
NO
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1052
Finance
จงบอกเหตุผลที่ SET แข็งกว่าตลาดหุ้นอื่นในอาเซียน ในปี 2022
null
เหตุผลที่ SET แข็งกว่าตลาดหุ้นอื่นในอาเซียน 1. ตัวเลขการส่งออก และ ภาคท่องเที่ยว ในปี 2022 ประมาณการไม่ได้รับการทบทวนในเชิงลบจากสภาพัฒน์ รวมถึง การบริโภคภาคเอกชน (Core ของ เศรษฐกิจไทย) ประมาณการลดลงเพียงเล็กน้อย 2. ประเทศไทย น่าจะเป็นประเทศเดียวในอาเซียน ที่น่าจะไม่ขึ้นดอกเบี้ยในปี 2022 ทว่าสำรองเงินตราระหว่างประเทศ หรือ Forex Reserve และนโยบายด้านอัตราแลกเปลี่ยนจะช่วยประคองเงินบาทไปในระหว่างนี้ 3. การเมืองไทย ดูแล้วไม่เป็นลบ เมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน 4. ตลาดหุ้นไทยชอบนโยบายประชานิยมของรัฐบาลไทย อาทิ ภาษีน้ำมันดีเซล และ นโยบายเงินชราภาพของประกันสังคม 5. นโยบายเปิดเมืองจากโควิดจากประเทศต่าง ๆ ไทยได้รับอานิสงก์เชิงบวกมากสุดในอาเซียน เนื่องจากรายได้จากการท่องเที่ยวของไทยต่อจีดีพีเป็นอันดับหนึ่งของอาเซียน
NO
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1056
Finance
จงสรุปบทความเรื่อง "เกิดอะไรขึ้นกับเหรียญ LUNA ทำไมราคาถึงร่วง?" ให้หน่อยค่ะ
เกิดอะไรขึ้นกับเหรียญ LUNA ทำไมราคาถึงร่วง? ​ ในสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาเหรียญ LUNA ร่วงหนักมากและเหรียญ Stablecoin อย่าง UST มีการหลุด Peg ทำให้ส่งผลกระทบต่อตลาดคริปโตทั้งตลาด หลายคนคงสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเหรียญ LUNA ทำไมราคาลงแรงขนาดนี้ ในบทความนี้จะพูดถึงเหตุการณ์และสาเหตุว่าทำไมถึงเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น, วิธีการแก้ปัญหาสถานการณ์ของ Terra และสถานการณ์เหรียญคริปโตในปัจจุบัน เหรียญ เหรียญ LUNA LUNA เหรียญคริปโต เหรียญคริปโต เพราะอะไรเหรียญ LUNA และ UST ร่วง ตั้งแต่วันที่ 7 พฤษภาคม เหรียญ UST มีการหลุดตรึงมูลค่า (Peg) กับเงินดอลลาร์ ลดลงไปที่ 0.987 ดอลลาร์ หลังจากนั้นมีการดีดตัวกลับไปที่ 1 ดอลลาร์ในช่วงวันที่ 8 พฤษภาคม สาเหตุที่เหรียญมีการหลุดตรึงมูลค่า เนื่องมาจากแพลตฟอร์ม Anchor Protocol ได้ให้ผลตอบแทนสูงถึง 20% ต่อปี สำหรับผู้ที่ฝากเหรียญ UST ไว้บนแพลตฟอร์ม เมื่อมี Capital Flow เข้ามายังแพลตฟอร์มมากขึ้น ทำให้ทาง Anchor ไม่สามารถจ่ายผลตอบแทนได้เรื่อย ๆ จึงทำให้ทาง Terra ต้องนำเงินมาเติม และในวันนั้นปริมาณ UST ถูกถอนออกจาก Liquidity Pool บนแพลตฟอร์ม Curve Finance มากกว่า 150 ล้านดอลลาร์ จึงทำให้เหรียญ UST หลุดตรึงมูลค่า และทาง Terra จึงนำเงินฝากกลับเข้าไป 100 ล้านดอลลาร์เพื่อให้เหรียญกลับสู่สถานการณ์ปกติ ซึ่งนี่ไม่ใช่ครั้งแรกของการหลุดตรึงมูลค่าของเหรียญ UST ผู้ก่อตั้งก็ทราบถึงปัญหานี้ดีเขาจึงพยายามที่จะมี Use Case มากขึ้นและมีการซื้อ Bitcoin และ Avalanche ไว้เป็นทุนสำรอง ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้คนบางกลุ่มเห็นช่องโหว่ของเหรียญ LUNA และ UST เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม มีผู้โจมตีกลุ่มหนึ่งได้เทขายเหรียญ UST มูลค่า 285 ล้านดอลลาร์บนแพลตฟอร์ม Binance และ Curve Finance ทำให้เกิด Panic Sell และราคา UST หลุด Peg ทำให้ในตอนนั้นมีมูลค่าเหลือ 0.98 ดอลลาร์ ด้วยความที่ในตอนนั้นตลาดมีความปั่นป่วน ทำให้ตอนนั้นนักลงทุนมีความหวาดกลัวจึงเทขายเหรียญ LUNA และ UST ทำให้ราคามีการปรับตัวลงทั้งคู่ ทำให้เหรียญ UST ไม่สามารถกลับมามีมูลค่า 1 ดอลลาร์ได้ กลไกการทำงานของ Terra และ UST Terra เป็นแพลตฟอร์ม Decentralized Finance ที่ให้บริการกู้ยืมระหว่างผู้ใช้งานหรือ P2P Lending โดยมีเหรียญ LUNA เป็น Governance Token และเหรียญ UST เป็นเหรียญ Stablecoin ประเภท Algorithmic Stablecoin มีการตรึงมูลค่าแบบอัลกอริทึม โดยใช้กลไกการ Mint & Burn เหรียญ LUNA และ UST บนเครือข่าย สำหรับการทำงานของเหรียญ UST จะเป็นโมเดลในรูปแบบเศรษฐศาสตร์ที่ขึ้นอยู่กับ Demand/Supply กล่าวคือ ถ้าหาก UST มีความต้องการมาก ระบบจะเผาเหรียญ LUNA เพื่อออกเหรียญ UST มากขึ้น แต่ถ้าหากความต้องการ UST น้อยลง ทางระบบก็จะเผาเหรียญ UST เพื่อ Mint เหรียญ LUNA ออกมา หลักการโมเดลในลักษณะนี้เป็นโมเดลที่รักษาเสถียรภาพของเหรียญ เพื่อให้มูลค่าเหรียญเท่ากับ 1 ดอลลาร์สหรัฐ จากหลักการเหรียญที่อ้างอิงตาม Demand และ Supply ทำให้นักลงทุนสามารถ Arbitrage เหรียญเพื่อเก็งกำไรได้ ดังภาพ เหรียญ เหรียญ Stablecoin Stablecoin ที่มา: ถ้าราคา UST > $1 เราสามารถ Mint เหรียญ UST จากการ Burn เหรียญ LUNA และขายเหรียญ UST ได้เพื่อเก็งกำไร ถ้าหากราคาเหรียญ UST < $1 โดยเราซื้อเหรียญ UST จากตลาด Exchange เพื่อ Mint เหรียญ LUNA ออกมาที่ราคา 1 ดอลลาร์ จากนั้นเราก็สามารถขายเหรียญ LUNA เพื่อเก็งกำไรได้ อย่างไรก็ตามคอนเซปต์ของเหรียญ UST นั้นมีจุดอ่อนอยู่เหมือนกัน คือ เมื่อเกิดสถานการณ์ราคาเหรียญร่วงลงหนัก ๆ จะทำให้กลไกการ Mint & Burn จะไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงทำให้เหรียญ UST ไม่สามารถกู้กลับมาที่ 1 ดอลลาร์ได้ Terra ได้แก้ปัญหานี้อย่างไรบ้าง? สำหรับวิธีแก้ปัญหาของ Terra นั้น ทาง Luna Foundation Guard (LFG) ได้มีการเทขายเหรียญ Bitcoin ที่ใช้เป็นทุนสำรองเป็นจำนวน 80,394 BTC โดยทาง LFG ได้ปล่อยให้กู้ยืม Bitcoin จำนวน 52,189 BTC มูลค่า 1,666 ล้านดอลลาร์ ให้กับบริษัท เป็นการซื้อขายแบบ Over-the-Counter (OTC) เพื่อช่วยการตรึงมูลค่า UST ต่อมา LFG ได้โอน Bitcoin จำนวน 28,205 BTC ไปยัง Binance เพื่อพยุงราคา UST ทำให้ราคา BTC ร่วงลงระดับต่ำสุดที่ราคาประมาณ 29,000 ดอลลาร์ในวันที่ 10 พฤษภาคม ที่มา: เมื่อราคา LUNA ลดลงเรื่อย ๆ ทำให้เกิดอุปทานของ LUNA สูงเกินจริง (Hyperinflation) เนื่องจากการออกเหรียญ UST ใช้กลไก Mint & Burn เมื่อความต้องการเหรียญ UST น้อยลงทำให้ Supply เหรียญ LUNA มากขึ้น จะเห็นได้ว่า Supply เหรียญ UST ลดลงมา $7.5 Billion และ Supply เหรียญ LUNA เพิ่มขึ้นจาก 343 Million เป็น 6.53 Trillion คิดเป็นอัตราเงินเฟ้อ 99,263,840% ต่อปี จึงทำให้ Terra Blockchain ต้องถูกระงับชั่วคราว ที่มา: Do Kwon ผู้ก่อตั้ง Terra ได้เผยแผนฟื้นฟูปรับเครือข่าย Terra ใหม่ทั้งหมด โดยแยก Blockchain ออกเป็น 2 ส่วน คือ Terra LUNA Blockchain เป็น Blockchain ใหม่ที่มีโทเคน LUNA และไม่มีการเชื่อมต่อกับเหรียญ UST แล้ว ส่วน Blockchain เก่าอย่าง Terra Blockchain จะยังคงเชื่อมอยู่กับเหรียญ UST และเปลี่ยนโทเคนจาก LUNA เป็น LUNA Classic (LUNC) สำหรับโทเคนใหม่ LUNA ถูกจำกัดไว้ที่ 1 พันล้านโทเคน โดยเหรียญ LUNA ใหม่นี้จะถูก Airdrop ให้กับผู้ถือเหรียญ LUNA เดิมหรือ LUNC และ UST ในสัดส่วน 75% และอีก 25% แบ่งให้กับ Community Pool จากแผนดังกล่าวจะต้องผ่านการโหวตจากทีมงานและผู้ถือครองเหรียญก่อน ถ้าหากโหวตผ่านแผนฟื้นฟูจะสามารถเริ่มดำเนินการได้ในวันที่ 27 พฤษภาคม สำหรับแผนฟื้นฟูดังกล่าวทาง Do Kwon พยายามที่จะวางแผนเพื่อให้ราคา LUNA กลับไปเท่าเดิม แต่คนส่วนใหญ่มีความเห็นว่าระบบนิเวศ Terra ฟื้นกลับคืนมาได้ยาก ถ้าหากไม่มีการสนับสนุนเงินทุนจากภายนอก เพราะทาง LFG ได้ใช้เงินทุนสำรองเกือบทั้งหมดในการกู้สถานการณ์ นอกจากนี้ทาง LFG ได้ออกมาเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับทุนสำรองที่เหลืออยู่ ดังนี้ เหรียญ Bitcoin จำนวน 313 BTC เหรียญ BNB จำนวน 39,914 BNB เหรียญ AVAX จำนวน 1,970,000 AVAX เหรียญ UST จำนวน 1,970,000 UST เหรียญ LUNA จำนวน 222,710,000 LUNA (โดย LUNA จำนวน 221,020,000 เหรียญ ถูก Stake ไว้) สถานการณ์เหรียญ LUNA และ UST ในปัจจุบัน สำหรับราคาเหรียญ LUNA ก่อนหน้านี้มีราคาที่ประมาณ 100 ดอลลาร์ แต่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาเหรียญ LUNA ร่วงหนักลงมาต่ำกว่า 1 ดอลลาร์ ซึ่งทำให้ผู้ถือครองเหรียญสูญเสียไปมหาศาล หลังจากนั้นทางบริษัทได้ประกาศว่าจะรับผิดชอบและมีแผนที่จะปรับปรุงระบบนิเวศใหม่จึงทำให้ราคาเหรียญ LUNA เริ่มขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้นักลงทุนหลายคนมีการ FOMO แห่เข้าซื้อเหรียญ LUNA แต่อย่างไรก็ตามกระแส FOMO ที่มีต่อเหรียญ LUNA ถือว่ามีความเสี่ยงสูงมาก เพราะ ณ ตอนนั้นก็ยังไม่ทราบว่าแผนพัฒนาของ Terra จะเป็นอย่างไร สำหรับราคาเหรียญ UST ในตอนนี้ก็ยังคงหลุด Peg มีมูลค่าประมาณ 0.089 ดอลลาร์ ราคาเหรียญ UST เริ่มหลุด Peg ในวันที่ 9 พฤษภาคม เหรียญ UST เริ่มมีมูลค่าต่ำกว่า 1 ดอลลาร์ นอกจาก UST จะมีมูลค่าต่ำกว่า 1 ดอลลาร์แล้ว ก็เกิดเหตุการณ์ที่เหรียญ USDT ต่ำกว่า 1 ดอลลาร์เช่นกัน โดยลดลงถึง 0.9565 ดอลลาร์ และสามารถฟื้นราคากลับมาที่ 0.998 ดอลลาร์ได้ภายใน 36 ชม. ในระหว่างนั้นเหรียญ Stablecoin อื่นอย่าง USDC,BUSD และ DAI กลับมีมูลค่ามากกว่า 1-2% เนื่องจากนักลงทุนได้ย้ายสินทรัพย์ไปยัง Stablecoin ที่มีความเสี่ยงต่ำแทน ที่มา: สรุปแล้วเหตุการณ์ราคา LUNA และ UST ลงแรง ได้ส่งผลต่อตลาดคริปโตและทำให้นักลงทุนหลายคนขาดความเชื่อมั่นต่อตลาดคริปโตไปเลย สำหรับเหตุการณ์ LUNA ถือว่าเป็นกรณีศึกษาให้ทุกคนตระหนักถึงความเสี่ยงว่าอะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้ ดังนั้นก่อนการลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด Zipmex Zipmex คำเตือน คำเตือน การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง อาจสูญเสียเงินลงทุนผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจและศึกษาข้อมูลรวมทั้งลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง อาจสูญเสียเงินลงทุนผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจและศึกษาข้อมูลรวมทั้งลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
ตั้งแต่วันที่ 7 พฤษภาคม 2022 เหรียญ UST มีการหลุดตรึงมูลค่า (Peg) กับเงินดอลลาร์ ลดลงไปที่ 0.987 ดอลลาร์ หลังจากนั้นมีการดีดตัวกลับไปที่ 1 ดอลลาร์ในช่วงวันที่ 8 พฤษภาคม 2022 สาเหตุที่เหรียญมีการหลุดตรึงมูลค่า เนื่องมาจากแพลตฟอร์ม Anchor Protocol ได้ให้ผลตอบแทนสูงถึง 20% ต่อปี สำหรับผู้ที่ฝากเหรียญ UST ไว้บนแพลตฟอร์ม เมื่อมี Capital Flow เข้ามายังแพลตฟอร์มมากขึ้น ทำให้ทาง Anchor ไม่สามารถจ่ายผลตอบแทนได้เรื่อย ๆ จึงทำให้ทาง Terra ต้องนำเงินมาเติม และในวันนั้นปริมาณ UST ถูกถอนออกจาก Liquidity Pool บนแพลตฟอร์ม Curve Finance มากกว่า 150 ล้านดอลลาร์ จึงทำให้เหรียญ UST หลุดตรึงมูลค่า และทาง Terra จึงนำเงินฝากกลับเข้าไป 100 ล้านดอลลาร์เพื่อให้เหรียญกลับสู่สถานการณ์ปกติ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของการหลุดตรึงมูลค่าของเหรียญ UST ผู้ก่อตั้งก็ทราบถึงปัญหาดี เขาจึงพยายามที่จะมี Use Case มากขึ้นและมีการซื้อ Bitcoin และ Avalanche ไว้เป็นทุนสำรอง ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้คนบางกลุ่มเห็นช่องโหว่ของเหรียญ LUNA และ UST เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2022 มีผู้โจมตีกลุ่มหนึ่งได้เทขายเหรียญ UST มูลค่า 285 ล้านดอลลาร์บนแพลตฟอร์ม Binance และ Curve Finance ทำให้เกิด Panic Sell และราคา UST หลุด Peg ทำให้ในตอนนั้นมีมูลค่าเหลือ 0.98 ดอลลาร์ ด้วยความที่ในตอนนั้นตลาดมีความปั่นป่วน ทำให้ตอนนั้นนักลงทุนมีความหวาดกลัวจึงเทขายเหรียญ LUNA และ UST ทำให้ราคามีการปรับตัวลงทั้งคู่ ทำให้เหรียญ UST ไม่สามารถกลับมามีมูลค่า 1 ดอลลาร์ได้ วิธีแก้ปัญหาของ Terra นั้น ทาง Luna Foundation Guard (LFG) ได้มีการเทขายเหรียญ Bitcoin ที่ใช้เป็นทุนสำรองเป็นจำนวน 80,394 BTC โดยทาง LFG ได้ปล่อยให้กู้ยืม Bitcoin จำนวน 52,189 BTC มูลค่า 1,666 ล้านดอลลาร์ ให้กับบริษัท เป็นการซื้อขายแบบ Over-the-Counter (OTC) เพื่อช่วยการตรึงมูลค่า UST ต่อมา LFG ได้โอน Bitcoin จำนวน 28,205 BTC ไปยัง Binance เพื่อพยุงราคา UST ทำให้ราคา BTC ร่วงลงระดับต่ำสุดที่ราคาประมาณ 29,000 ดอลลาร์ในวันที่ 10 พฤษภาคม 2022 เมื่อราคา LUNA ลดลงเรื่อย ๆ ทำให้เกิดอุปทานของ LUNA สูงเกินจริง เนื่องจากการออกเหรียญ UST ใช้กลไก Mint & Burn เมื่อความต้องการเหรียญ UST น้อยลงทำให้ Supply เหรียญ LUNA มากขึ้น จะเห็นได้ว่า Supply เหรียญ UST ลดลงมา $7.5 Billion และ Supply เหรียญ LUNA เพิ่มขึ้นจาก 343 Million เป็น 6.53 Trillion คิดเป็นอัตราเงินเฟ้อ 99,263,840% ต่อปี จึงทำให้ Terra Blockchain ต้องถูกระงับชั่วคราว Do Kwon ผู้ก่อตั้ง Terra ได้เผยแผนฟื้นฟูปรับเครือข่าย Terra ใหม่ทั้งหมด โดยแยก Blockchain ออกเป็น 2 ส่วน คือ Terra LUNA Blockchain เป็น Blockchain ใหม่ ที่มีโทเคน LUNA และไม่มีการเชื่อมต่อกับเหรียญ UST แล้ว ส่วน Terra Blockchain จะยังคงเชื่อมอยู่กับเหรียญ UST และเปลี่ยนโทเคนเป็น LUNA Classic (LUNC) สำหรับโทเคนใหม่ LUNA ถูกจำกัดไว้ที่ 1 พันล้านโทเคน โดยเหรียญ LUNA ใหม่จะถูก Airdrop ให้กับผู้ถือเหรียญ LUNA เดิมหรือ LUNC และ UST ในสัดส่วน 75% และอีก 25% แบ่งให้กับ Community Pool จากแผนดังกล่าวจะต้องผ่านการโหวตจากทีมงานและผู้ถือครองเหรียญก่อน ถ้าหากโหวตผ่านแผนฟื้นฟูจะสามารถเริ่มดำเนินการได้ในวันที่ 27 พฤษภาคม 2022 สำหรับแผนฟื้นฟูดังกล่าวทาง Do Kwon พยายามที่จะวางแผนเพื่อให้ราคา LUNA กลับไปเท่าเดิม แต่คนส่วนใหญ่มีความเห็นว่าระบบนิเวศ Terra ฟื้นกลับคืนมาได้ยาก ถ้าหากไม่มีการสนับสนุนเงินทุนจากภายนอก เพราะทาง LFG ได้ใช้เงินทุนสำรองเกือบทั้งหมดในการกู้สถานการณ์ นอกจากนี้ทาง LFG ได้ออกมาเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับทุนสำรองที่เหลืออยู่ ดังนี้ - เหรียญ Bitcoin จำนวน 313 BTC - เหรียญ BNB จำนวน 39,914 BNB - เหรียญ AVAX จำนวน 1,970,000 AVAX - เหรียญ UST จำนวน 1,970,000 UST - เหรียญ LUNA จำนวน 222,710,000 LUNA (โดย LUNA จำนวน 221,020,000 เหรียญ ถูก Stake ไว้)
NO
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1059
Finance
ในการลงทุนพอร์ต 1st Million ของ FINNOMENA จะต้องลงเงินขั้นต้นอย่างต่ำเท่าไหร่
null
“เงินล้าน” คือ เป้าหมายในฝันของใครหลาย ๆ คน ถือเป็นหมุดหมายแห่งความมั่งคั่งที่สามารถนำไปต่อยอดสร้างสรรค์สิ่งอื่น ๆ ได้ แต่เวลาพูดถึงเงินล้าน ใครหลายคนก็อาจจะรู้สึกว่าช่างเกินเอื้อมเหลือเกิน โดยเฉพาะคนที่อายุยังน้อย หรือยังมีเงินไม่มาก แต่จริง ๆ แล้ว เงินล้านสร้างได้ เพียงแค่เริ่มต้นรู้จักออมเงินและลงทุน ทาง FINNOMENA เลยสร้างพอร์ต 1st Million ขึ้นมาตอบโจทย์นี้โดยเฉพาะ ถ้าลงทุนในพอร์ตนี้ จะมีเงินล้านภายในกี่ปี ในการลงทุนพอร์ต 1st Million จะต้องลงเงินขั้นต้นอย่างต่ำ 5,000 บาท และลงทุนต่อเดือนอย่างต่ำ 2,500 บาท จะเห็นได้ว่าถ้าลงทุนขั้นต่ำนี้ไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีการเพิ่มเงิน จะใช้เวลา 16 ปีกว่าจะได้เงินล้านแรก แม้จะเห็นฝั่งฝันแต่ฟังดูแล้วยาวนาน แต่ปัญหานี้แก้ได้ด้วยการเพิ่มเงินลงทุน ซึ่งยิ่งลงทุนเยอะเท่าไร โอกาสที่จะถึงล้านแรกโดยเร็วก็มีมากขึ้นเท่านั้น การเพิ่มเงินลงทุนระหว่างทางเมื่อมีรายได้เพิ่มขึ้น ก็ช่วยให้ไปถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้นเช่นกัน ทั้งนี้ทั้งนั้น อย่าลืมว่าควรตรวจสอบสถานะการเงินตัวเองก่อน ว่าสะดวกลงทุนด้วยเงินเท่าไร เอาแบบที่ไม่ลำบากตัวเองจนเกินไป เพราะไม่อย่างนั้นชีวิตคงไม่มีความสุขแน่ ๆ อีกสิ่งที่ควรคำนึงถึงคือ เรื่องของผลตอบแทนและความเสี่ยง ต้องเข้าใจว่าการลงทุนนั้นมีขึ้นมีลง บางปีอาจจะติดลบ บางปีอาจจะได้กำไร เพราะฉะนั้นหากลงทุนระยะสั้น ความเสี่ยงที่จะเจอความผันผวนก็จะเยอะกว่าลงทุนระยะยาว ในระยะยาวนั้นความผันผวนกับผลตอบแทนก็จะถูกเฉลี่ย ๆ กันไป ไม่เหวี่ยงเท่ากรอบเวลาสั้น คำเตือน ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง เงื่อนไขการจ่ายผลตอบแทน และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจาก ผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน ผลการจำลองเงินลงทุนในอนาคตเป็นเพียงผลลัพธ์จากการคำนวณเชิงปริมาณ โดยมีพื้นฐานจากผลตอบแทนในอดีต และเป็นเพียงเครื่องมือ ศึกษาช่วยประกอบการตัดสินใจแก่นักลงทุน มิใช่สิ่งยืนยันผลตอบแทนในอนาคต ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับ ดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน
NO
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1061
Finance
จงสรุปบทความ สรุป สิ่งที่เกิดขึ้นกับเหรียญ LUNA
1. Do Kwan เป็นหนุ่มอัจฉริยะด้านเทคโนโลยีชาวเกาหลีใต้ อายุ 31 ปี เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งเครือข่ายบล็อกเชน Terra และเป็นเจ้าของเหรียญ LUNA Coin รวมถึง Stable Coin UST 2. Do Kwan จบการศึกษาด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ได้มีโอกาสทำงานกับบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft และ Apple ก่อนจะแยกตัวมาก่อตั้งบริษัท Anyfi แพลตฟอร์มการสื่อสารไร้ศูนย์กลาง 3. จุดเริ่มต้นทีทำให้ Do Kwan เข้าสู่วงการคริปโตอย่างจริงจัง คือได้เจอกับ Daniel Shin ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้ง Ticket Monster แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในประเทศเกาหลี และทั้งคู่ได้ร่วมก่อตั้ง Terraform Labs เครือข่ายการชำระเงินที่ใครก็สามารถใช้งานได้ และปราศจากการควบคุมจากส่วนกลาง จนทำให้เหรียญติด Top 10 ใหญ่ที่สุดในโลก 4. นอกจากนี้ Do Kwan ยังได้มีการจัดตั้ง Luna Foundation Guard หรือ LFG ซึ่งเป็นกองทุนที่จะช่วยดูแลเสถียรภาพของระบบนิเวศของ Terra ขึ้นมา ด้วยการเข้าไปซื้อสินทรัพย์ดิจิทัลอย่าง Bitcoin ไว้เป็นทุนสำรองใช้สำหรับพยุงราคา UST เหรียญ UST ถูกโจมตี 5. ในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา จู่ ๆ ราคาเหรียญ UST ที่เป็น Stablecoin ควรจะมีค่าเท่ากับ 1 ดอลลาร์สหรัฐ ได้ร่วงลงมาอยู่ที่ 0.980 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเกิดจากการเทขายเหรียญ UST เป็นจำนวนมาก 6. ถึงแม้ว่ากองทุน LFG จะพยายามซื้อเหรียญ UST แต่ก็กลับไม่สามารถทำให้เหรียญ UST กลับไปแตะที่ราคา 1 ดอลลาร์สหรัฐได้เช่นเดิม จึงทำให้ราคาของเหรียญ UST ร่วงลง และส่งผลให้ผู้ลงทุนเกิดความกังวล และเริ่มเทขายเหรียญออกมาเป็นจำนวนมาก ทำไมต้องโจมตีเหรียญ UST 7. Onchain Wizard ได้วิเคราะห์ออกมาว่า Luna Foundation Guard ซึ่งเป็นกองทุนที่ดูแลเสถียรภาพของ Terra ถือ Bitcoin เป็นเงินทุนสำรอง เพื่อพยุงราคา UST ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่ทำให้ถูกโจมตี 8. คนที่โจมตีได้ใช้ LUNA และ UST เป็นเครื่องมือในการทำกำไรจากการขาย Short ของ Bitcoin โดยผู้โจมตีจะต้องทำอย่างไรก็ได้ เพื่อให้กองทุนดังกล่าวเทขาย Bitcoin ออกมาเป็นจำนวนมาก และสิ่งที่ผู้โจมตีทำก็คือ การเทขาย UST อย่างรวดเร็วในคราวเดียว เพื่อให้กองทุนเทขาย Bitcoin 9. ย้อนกลับไปที่ระบบการทำงานของ UST และ LUNA หาก UST ราคาสูงเกิน 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ ตัวอัลกอริธึมจะทำการเผาเหรียญ LUNA และเพิ่มปริมาณของ UST เพื่อทำให้ราคานั้นกลับมาอยู่ที่ 1 ดอลลาร์สหรัฐดังเดิม แต่หาก UST มีมูลค่าที่ต่ำกว่า 1 ดอลลาร์สหรัฐ อัลกอริธึมก็จะทำการสร้าง (mint) LUNA เพิ่มเพื่อดึงราคา UST ให้กลับมาเท่ากับ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ 10. แต่สิ่งที่เกิดขึ้น คือทั้งเหรียญ LUNA และ UST มีราคาลดลง และ UST ไม่ได้กลับมาที่ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งคาดเดาว่าระบบสร้าง (Mint) เหรียญ LUNA และเผาเหรียญ UST ไม่เร็วพอ ที่จะทำให้กลับไปที่ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ 11. นอกจากนั้น ผู้โจมตีก็ได้ทำการโอน UST ที่เหลือไปยัง Binance ด้วย เมื่อคนทั่วไปเจอธุรกรรมการโอน UST ออกจากระบบ ทำให้นักลงทุนเกิดความตื่นตระหนก เลยเริ่มพากันเทขาย UST ออกมา 12. และก็เข้าทางผู้โจมตี เมื่อกองทุน LFG เข้ามาพยุง UST เพื่อหวังให้กลับมาที่ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ ให้ได้ โดยการเทขาย Bitcoin ในกองทุน LFG อย่างรวดเร็ว แต่ผู้โจมตีก็ยังคงทำการขาย UST บน Binance อย่างต่อเนื่องเช่นกัน 13. จนในที่สุด Binance ต้องเข้ามาระงับการถอนเงิน UST เพื่อยับยั้งการแห่ขายและถอนเหรียญ ส่งผลให้ UST ร่วงไปถึง 0.60 ดอลลาร์สหรัฐฯ รวมไปถึงราคาของ LUNA ด้วย เนื่องจากมีเหรียญในระบบมากเกินไป (ล่าสุด 6,500,000 ล้านเหรียญ จากเดิม 340 ล้านเหรียญ) จนทำให้มูลค่าต่อเหรียญเหลือค่าน้อยมากกกกกกก จากที่เคยแตะที่ 119.22 ดอลลาร์สหรัฐฯ ร่วงเหลือเพียง 0.0080 ดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น 14. จากนั้นไม่นานนั้น Exchange หลาย ๆ เจ้า ทั้งในไทยและต่างประเทศ ได้ออกมาทยอยถอดเหรียญออกจากกระดานเทรด และจากสื่อในเกาหลี รายงานว่า Do Kwan ผู้ก่อตั้งเหรียญ LUNA ได้ขอความคุ้มครองจากตำรวจหลังจากที่มีนักลงทุนข่มขู่เข้ามา และได้แจ้งการยุติ Blockchain และรอการฟื้นฟู 15. แต่เมื่อวาน (13 พ.ค. 65) Binance และวันนี้ Bitkub ได้นำ UST และ LUNA กลับเข้ากระดานเทรดอีกครั้งเป็นที่เรียบร้อย และจากการที่ LUNA ราคาร่วงลงต่ำมากกกกกก (ก ไก่ล้านตัวก็คงไม่พอ) มีนักลงทุนหลายคนได้ทำการช้อนซื้อ LUNA เสี่ยงดวง เพื่อหวังเป็นศุลต่านคนใหม่ของประเทศไทย ส่งผลให้ LUNA พุ่งขึ้นกว่า +1,000% 16.ล่าสุด (14 พ.ค. 65) Do Kwon ได้ Tweet ข้อความโดยมีใจความว่า เขาใช้เวลาในไม่กี่วันก่อนหน้าเพื่อคุยกับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการที่ UST ไม่สามารถรักษามูลค่าได้ ซึ่งทำให้เขารู้สึกใจสลาย นอกจากนี้ เขายังได้อธิบายแผนฟื้นฟูระบบนิเวศของ Terra ผ่าน Research Forum โดยจะทำการ reset ให้กลับไปมีจำนวน 1,000 ล้าน LUNA โดยจะแบ่งเป็น 4 กลุ่ม คือ ให้ผู้ถือ LUNA ก่อนเกิดเหตุการณ์ UST ไม่สามารถรักษามูลค่าได้ 40% ให้ผู้ถือ UST ก่อน Upgrade เครือข่ายใหม่ 40% ให้ผู้ถือ LUNA ก่อนเครือข่าย Terra หยุดทำงาน 10% เก็บใน community pool สำหรับพัฒนาต่าง ๆ ในอนาคต 10% สำหรับเหตุการณ์ในครั้งนี้ มีทั้งคนที่กำลังรู้สึกเจ็บปวดกับการลงทุน และคนที่กำลังรู้สึกดีใจที่ทำกำไรจากการช้อนซื้อ LUNA ได้ ซึ่งบทเรียนครั้งนี้จะเป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้นักลงทุนแข็งแกร่งขึ้นในวันข้างหน้า
Do Kwan เป็นหนุ่มอัจฉริยะด้านเทคโนโลยีชาวเกาหลีใต้ อายุ 31 ปี เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งเครือข่ายบล็อกเชน Terra และเป็นเจ้าของเหรียญ LUNA Coin รวมถึง Stable Coin UST จุดเริ่มต้นทีทำให้ Do Kwan เข้าสู่วงการคริปโตอคือได้เจอกับ Daniel Shin ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้ง Ticket Monster แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในประเทศเกาหลี และทั้งคู่ได้ร่วมก่อตั้ง Terraform Labs เครือข่ายการชำระเงินที่ใครก็สามารถใช้งานได้ และปราศจากการควบคุมจากส่วนกลาง จนทำให้เหรียญติด Top 10 ใหญ่ที่สุดในโลก เหรียญ UST ถูกโจมตี ราคาเหรียญ UST ที่เป็น Stablecoin ควรจะมีค่าเท่ากับ 1 ดอลลาร์สหรัฐ ได้ร่วงลงมาอยู่ที่ 0.980 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเกิดจากการเทขายเหรียญ UST เป็นจำนวนมาก ถึงแม้ว่ากองทุน LFG จะพยายามซื้อเหรียญ UST แต่ม่สามารถกลับไปแตะที่ราคา 1 ดอลลาร์สหรัฐได้ จึงทำให้ราคาของเหรียญ UST ร่วงลง และเริ่มเทขายเหรียญออกมาเป็นจำนวนมาก ทำไมต้องโจมตีเหรียญ UST Onchain Wizard ได้วิเคราะห์ออกมาว่า Luna Foundation Guard ซึ่งเป็นกองทุนที่ดูแลเสถียรภาพของ Terra ถือ Bitcoin เป็นเงินทุนสำรอง เพื่อพยุงราคา UST ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่ทำให้ถูกโจมตี คนที่โจมตีได้ใช้ LUNA และ UST เป็นเครื่องมือในการทำกำไรจากการขาย Short ของ Bitcoin โดยผู้โจมตีจะต้องทำให้กองทุน เทขาย Bitcoin ออกมาเป็นจำนวนมาก นอกจากนั้น ผู้โจมตีก็ได้ทำการโอน UST ที่เหลือไปยัง Binance ด้วย เมื่อเจอธุรกรรมการโอน UST ออก ทำให้นักลงทุนเกิด ความตื่นตระหนก เลยเริ่มพากันเทขาย UST ออกมา และก็เข้าทางผู้โจมตี เมื่อกองทุน LFG เข้ามาพยุง UST เพื่อหวังให้กลับมาที่ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ ให้ได้ โดยการเทขาย Bitcoin ในกองทุน LFG อย่างรวดเร็ว แต่ผู้โจมตีก็ยังคงทำการขาย UST บน Binance อย่างต่อเนื่องเช่นกัน จนในที่สุด Binance ต้องเข้ามาระงับการถอนเงิน UST เพื่อยับยั้งการแห่ขายและถอนเหรียญ ส่งผลให้ UST ร่วงไปถึง 0.60 ดอลลาร์สหรัฐฯ รวมไปถึงราคาของ LUNA ด้วย เนื่องจากมีเหรียญในระบบมากเกินไป จนทำให้มูลค่าต่อเหรียญเหลือค่าน้อยมาก จาก 119.22 ดอลลาร์สหรัฐฯ เหลือเพียง 0.0080 ดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น จากนั้นไม่นานนั้น Exchange หลาย ๆ เจ้า ทั้งในไทยและต่างประเทศ ได้ออกมาทยอยถอดเหรียญออกจากกระดานเทรด Bitkub ได้นำ UST และ LUNA กลับเข้ากระดานเทรดอีกครั้งเป็นที่เรียบร้อย และจากการที่ LUNA ราคาร่วงลงต่ำมาก มีนักลงทุนหลายคนได้ทำการช้อนซื้อ LUNA เสี่ยงดวง เพื่อหวังเป็นศุลต่านคนใหม่ของประเทศไทย ส่งผลให้ LUNA พุ่งขึ้นกว่า +1,000% Do Kwon ได้ Tweet ข้อความโดยมีใจความว่า เขาใช้เวลาในไม่กี่วันก่อนหน้าเพื่อคุยกับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการที่ UST ไม่สามารถรักษามูลค่าได้ โดยจะทำการ reset ให้กลับไปมีจำนวน 1,000 ล้าน LUNA โดยจะแบ่งเป็น 4 กลุ่ม คือ 1. ให้ผู้ถือ LUNA ก่อนเกิดเหตุการณ์ UST ไม่สามารถรักษามูลค่าได้ 40% 2. ให้ผู้ถือ UST ก่อน Upgrade เครือข่ายใหม่ 40% 3. ให้ผู้ถือ LUNA ก่อนเครือข่าย Terra หยุดทำงาน 10% 4. เก็บใน community pool สำหรับพัฒนาต่าง ๆ ในอนาคต 10%
YES
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ความรู้ทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1062
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ การเติบโตของตลาดสินค้าแบรนด์เนมในช่วง COVID-19
null
การเติบโตของตลาดสินค้าแบรนด์เนมในช่วง COVID-19 แค่การเติบโตอย่างต่อเนื่องนั้นคงไม่พอ เพราะตลาดสินค้าแบรนด์เนมเติบโตสูงมากหลายสิบเปอร์เซ็นต์ แม้ว่าจะอยู่ในช่วงวิกฤตแบบนี้ก็ตาม จากการแพร่ระบาดของโรคในช่วงแรกๆ ตลาดสินค้าแบรนด์เนมได้หยุดชะงักลงไปแค่ช่วงเวลาสั้นๆ แต่การเปลี่ยนผ่านช่องทางการขายหลักมาเป็นช่องทางออนไลน์แทนนั้น ทำให้ในปี 2019 มูลค่าของตลาดสินค้าแบรนด์เนมสูงขึ้นมากกว่า 10 ล้านล้านบาท ยาวไปจนถึงปี 2021 จนทำให้หลายๆ บริษัท ได้ออกมาประกาศผลกำไรสุทธิที่เติบโตสูงขึ้นในช่วงเวลานั้นหลายแบรนด์เลยทีเดียว บทเรียนจากย่อหน้านี้ การเติบโตของตลาดสินค้าแบรนด์เนมในช่วง COVID-19 - “เมื่อซื้อหุ้น จะไม่เคยเห็นแม้แต่ใบหุ้น แต่เมื่อคซื้อนาฬิกาหรือเสื้อผ้าแบรนด์เนม ทุกคนจะมองเห็นสิ่งนี้ในทุกที่ที่สวมใส่มัน” - ตลาดสินค้าแบรนด์เนมไม่ใช่แค่เติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ยังยิ่งเติบโตมากขึ้นระดับหลายสิบเปอร์เซ็นต์แม้กระทั่งในช่วงเวลาของวิกฤติโควิด-19 - ในช่วงที่เริ่มต้นวิกฤติโควิด-19 ใหม่ ๆ ตลาดสินค้าแบรนด์เนมชะงักไปแต่ก็แค่เพียงชั่วครู่เท่านั้น เพราะเมื่อปักหลักการขายผ่านช่องทางออนไลน์ได้ ตลาดสินค้าแบรนด์เนมก็กลับมาเพิ่มมูลค่าได้มากกว่า 10 ล้านล้านบาทในปี 2019 - ต่อเนื่องจนถึงปี 2021 ที่ LVMH บริษัทเจ้าของแบรนด์ดังอย่าง Louis Vuitton, Dior, Tiffany & Co. และ Sephora ได้ออกมาประกาศผลกำไรสุทธิว่าเติบโตถึง 156% - ส่วนบริษัท Hermes ก็ได้ออกมาอวดว่าเป็น “ปีทองของ Birkin Bag” พร้อมโชว์ผลกำไรสุทธิเติบโต 77% - แม้แต่ JP Morgan ก็ยังคาดการณ์ว่ามูลค่าการบริโภคสินค้าแบรนด์เนมจะยังเพิ่มขึ้นเป็น 8 หมื่นล้านล้านบาท ในปี 2022 อีกด้วย
NO
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1064
Finance
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา วันที่ 7 – 13 พ.ค. 2565 มีกองทุนไหนทำผลตอบแทนได้โดดเด่น และเป็นกองทุนยอดนิยมบ้าง?
null
กองทุนที่ทำผลตอบแทนได้โดดเด่น 1. KT-ENERGY – กองทุนเปิดเคแทม เวิลด์ เอ็นเนอร์จี ฟันด์ ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +2.50% ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +32.08% 2. ONE-ACTIVE6/2 – กองทุนเปิด วรรณ แอคทีฟ6/2 ฟันด์ ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +2.48% ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +30.14% 3. KT-OIL – กองทุนเปิดเคแทม ออยล์ ฟันด์ ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +2.24% ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +33.49% หมายเหตุ: ข้อมูลหน่วยราคากองทุน อัปเดตล่าสุด เมื่อวันที่ 13 พ.ค. 2565 ข้อมูลผลตอบแทนบางกองทุนในหน้าจัดอันดับกองทุน อาจมีการแสดงผลตอบแทนที่แตกต่างจากแต่ละหน้ากองทุน เนื่องจากการดึงข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่ต่างกัน (ซึ่งนับวันที่ในรอบสัปดาห์แตกต่างกัน) กองทุนยอดนิยม 1. ONE-UGG-RA : กองทุนเปิด วรรณ อัลติเมท โกลบอล โกรว์ธ หน่วยลงทุนชนิดไม่จ่ายเงินปันผล สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: -13.32% ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD) -43.00% 2. TMBGQG : กองทุนเปิดทหารไทย Global Quality Growth ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: -6.16% ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD) -22.50% 3. PRINCIPAL VNEQ-A : กองทุนเปิดพรินซิเพิล เวียดนาม อิควิตี้ ชนิดสะสมมูลค่า ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: -6.98% ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD) -15.73%
NO
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1065
Finance
ควรซื้ออะไรเข้าพอร์ต ถึงจะช่วยให้เงินได้ดิบได้ดีมากที่สุด ระหว่าง กำไร หรือ การลงทุนในหุ้นกลุ่มตลาดพัฒนาแล้ว
null
การลงทุนในหุ้นกลุ่มตลาดพัฒนาแล้ว เพราะเมื่อรู้แล้วว่าระยะยาวยังไงหุ้นก็ให้ผลตอบแทนได้ดี ควรยัดหุ้นแบบไหนเข้าพอร์ตถึงจะช่วยให้เงินได้ดิบได้ดีมากที่สุด คำตอบก็คือ การลงทุนในหุ้นกลุ่มตลาดพัฒนาแล้วและหุ้นเทคโนโลยี ซึ่งมีการปรับฐานที่รุนแรงน้อยกว่า อีกทั้งยังฟื้นตัวได้ไวกว่า หุ้นในตลาดพัฒนาแล้วมีโอกาสในการฟื้นตัวในปีที่เกิดการปรับฐานได้ไวกว่า และมีการขาดทุนจากจุดสูงสุด ณ ช่วงเวลานั้น ๆ ที่น้อยกว่าหุ้นตลาดเกิดใหม่ อีกทั้งยามฟื้นตัวยังบวกได้มากกว่าจากพื้นฐานที่แข็งแกร่ง อีกทั้งในระยะยาวมาก ๆ ยังสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าอีกด้วย ดัชนีหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ อย่าง NASDAQ 100 ยังมีความโดดเด่นมากที่สุดในทุกแง่มุม ไม่ว่าจะเป็นการปรับฐานที่มีความรุนแรงน้อยกว่าในทุกช่วงเวลาและสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าในระยะยาว ส่วนกำไร เป็นสาเหตุที่ราคาของดัชนีหุ้นเทคโนโลยีในระยะยาวเติบโตได้ดี ซึ่งในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาคงไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่าหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ มีอัตราการเติบโตของกำไรที่ก้าวกระโดดและโดดเด่นอย่างแท้จริง ซึ่งถ้าถือยาว ๆ ก็อาจเป็นผู้ชนะได้ไม่ยาก อย่างไรก็ตามหากถอดใจไปก่อน อาจต้องเผชิญการขายหมู และอาจจะนึกได้ว่ารู้งี้ถือต่ออีกหน่อยดีกว่าก็เป็นได้
NO
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1067
Finance
กองทุน SCBPGF ลงทุนในกองทุนหลักใด
null
กองทุน SCBPGF ลงทุนในกองทุนหลัก DWS Invest CROCI Sectors Plus ใน Share Class FCH (P) ไม่น้อยกว่า 80% โดยกองทุน SCBPGF จัดอยู่ในระดับความเสี่ยง 6 กองทุนหลักมีนโยบายลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยกระบวนการคัดเลือกหุ้นของ CROCI โดยจะคัดเลือก 3 กลุ่มอุตสาหกรรม ที่มีค่าเฉลี่ยของ CROCI Economic P/E ต่ำที่สุด จาก 9 กลุ่มอุตสาหกรรม ทำให้ได้พอร์ตหุ้นเน้นคุณค่าซึ่งไม่ค่อยเห้นกองทุนที่เน้นคุณค่าในตลาดหุ้นไทยสักเท่าไรนัก ความเห็นของเด็กการเงินต่อพอร์ตกองทุน SCBPGF - พอร์ตหุ้นมีแนวคิดที่ดี ผลงานย้อนหลังยอดเยี่ยม - ค่าธรรมเนียมอยู่ในระดับปานกลาง - จำนวนหุ้นทั้งหมด 30 ตัว มี Top 10 Holdings ไม่กระจุกตัว (<50% ของทั้งพอร์ต) - สัดส่วนที่แนะนำ 10-20% ของ Core Port ควบคู่กับสไตล์อื่นเช่น Growth - มีสัดส่วนการลงทุนที่ไม่เหมือนกับกองทุนหุ้นโลกโดยทั่วไป ใช้ในการกระจายความเสี่ยงได้ - ระยะเวลาการลงทุนที่แนะนำ 5 ปี ขึ้นไป คำเตือน ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต กองทุนลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสากรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน
NO
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1068
Finance
หุ้นนอกตลาดแตกรับมือยังไงดี?
null
เมื่อเข้าสู่สถานการณ์หุ้นต่างประเทศตลาดแตก สิ่งที่จะต้องคำนึงถึงหากตัดสินใจลงทุนคือ ลงทุนในหุ้นประเภทที่มีการเติบโตอย่างแน่นอน หรือเป็นเป็น MEGA Trend ที่มีการเติบโต ต้องเป็นหุ้นหรือสินทรัพย์ที่มีนโยบายจากรัฐให้การสนับสนุน หากมองทางฝั่งอเมริกา รัฐบาลให้การสนับสนุนเรื่องของ R&D and Manufacturing, Electric Vehicles, Clean Energy tax credits โดยจะมุ่งไปที่ Electric Vehicles เป็นหลัก นอกจากนี้ กระแสของรถยนต์ไฟฟ้ากำลังมาแรงตั้งแต่ช่วงปี 2021 อาจกล่าวได้ว่า เทรนด์ที่กำลังมาและมีแนวโน้มเติบโตคือ EV & AV (Electric Vehicle and autonomous vehicles) ประกอบกับอุตสาหกรรมยานยนต์เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านมาสู่การขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า และพัฒนาเป็นระบบขับเคลื่อนอัจฉริยะ ซึ่งจะเป็นเทรนด์ใหม่ของรถยนต์ที่จะได้เห็นกันในวงกว้าง หากบริษัทใดสามารถผลิตรถยนต์ตามคุณสมบัตินี้ได้ ก็จะมีผลประกอบการที่เติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ในภาวะตลาดช่วงขาลง สิ่งที่นักลงทุนจะต้องตระหนักคือ ราคาหุ้นย่อมขึ้นลงเป็นวัฏจักร ถ้าหากมีเงินทุนสำรอง และเป็นหุ้นที่ดี เป็นกองทุนที่ดี ก็สามารถอดทนถือต่อไปได้ เพื่อรอจังหวะที่ราคาหุ้นจะขึ้น อีกครั้ง หากเป็นนักลงทุนหน้าใหม่ที่กำลังจะเข้าสู่ตลาด อาจจะต้องรอจังหวะให้ราคาหุ้นสูงขึ้น เพื่อให้ตลาดมีแนวโน้มที่ดีมากขึ้น ยกเว้นผู้ที่สามารถยอมรับความเสี่ยงได้สูงก็สามารถเข้าซื้อได้ ทั้งนี้ หากไม่เลือกลงทุนในตลาดหุ้น อาจจะมองในส่วนของ Alternative Investment ซึ่งปัจจุบันมีให้เลือกอย่างหลากหลาย หรืออาจลงทุนในหุ้นจำพวก Commodity หรือสินทรัพย์ที่เป็น MEGA trend ที่มีการเติบโต และได้รับการสนับสนุนจากทางรัฐ ฯ อาจทำให้สามารถลงทุนต่อไปได้
NO
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1069
Finance
The Sandbox มีโมเดลธุรกิจอย่างไร? อะไรคือกลไกหลักที่ขับเคลื่อนการเติบโตของ The Sandbox และมูลค่าของ SAND token?
null
โมเดลธุรกิจ: The Sandbox มีโมเดลธุรกิจที่ขับเคลื่อนโดยระบบเศรษฐกิจเสมือนจริงภายในแพลตฟอร์ม โดยมีองค์ประกอบหลักดังนี้: การขายที่ดินเสมือน (LAND): ผู้เล่นสามารถซื้อที่ดินเสมือนในรูปแบบของ NFT บน Ethereum blockchain ที่ดินเหล่านี้สามารถใช้สร้างเกม ประสบการณ์ หรือพื้นที่สำหรับใช้งานอื่น ๆ การซื้อขาย NFT: ผู้เล่นสามารถสร้างและซื้อขาย NFT ภายใน Marketplace ของ The Sandbox NFT เหล่านี้สามารถเป็นตัวละคร ไอเท็ม อุปกรณ์ หรือสิ่งของอื่น ๆ ค่าธรรมเนียมธุรกรรม: The Sandbox เก็บค่าธรรมเนียมสำหรับธุรกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนแพลตฟอร์ม เช่น การซื้อขาย NFT การเช่าที่ดิน และการใช้บริการอื่น ๆ การให้สิทธิ์การใช้งาน: The Sandbox เสนอการให้สิทธิ์การใช้งานแก่ผู้พัฒนาเกมและผู้สร้างเนื้อหาอื่น ๆ เพื่อเข้าถึงเครื่องมือและทรัพยากรที่จำเป็นในการสร้างประสบการณ์บนแพลตฟอร์ม กลไกขับเคลื่อนการเติบโต: การขยายฐานผู้ใช้: The Sandbox มุ่งเน้นไปที่การดึงดูดผู้ใช้ใหม่ ๆ เข้าสู่แพลตฟอร์มผ่านกลยุทธ์ต่างๆ เช่น การจับมือกับพันธมิตร การออกแคมเปญการตลาด และการพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ๆ การเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้ใช้: The Sandbox มุ่งเน้นไปที่การเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ existing ผ่านการจัดกิจกรรม การอัปเดตเนื้อหาใหม่ และการสร้างระบบเศรษฐกิจเสมือนที่ยั่งยืน การขยายระบบนิเวศ: The Sandbox มุ่งเน้นไปที่การขยายระบบนิเวศของแพลตฟอร์มโดยดึงดูดนักพัฒนาเกม ผู้สร้างเนื้อหา และพันธมิตรใหม่ ๆ มูลค่าของ SAND token: การใช้ SAND token: SAND token ถูกใช้สำหรับ various purposes บนแพลตฟอร์ม The Sandbox เช่น การซื้อที่ดิน NFT การจ่ายค่าธรรมเนียม และการเข้าร่วมใน governance ของแพลตฟอร์ม ความต้องการ SAND token: ความต้องการ SAND token ขึ้นอยู่กับจำนวนผู้ใช้ การมีส่วนร่วมของผู้ใช้ และการขยายระบบนิเวศของ The Sandbox การเก็งกำไร: SAND token ยังถูกใช้สำหรับการเก็งกำไร โดยนักลงทุนคาดหวังว่ามูลค่าของ token จะเพิ่มขึ้นในอนาคต ข้อเสี่ยง: การแข่งขัน: The Sandbox เผชิญกับการแข่งขันจากแพลตฟอร์ม Metaverse อื่น ๆ กฎระเบียบ: กฎระเบียบด้าน cryptocurrency อาจส่งผลกระทบต่อ The Sandbox การพึ่งพา Ethereum: The Sandbox พึ่งพา Ethereum blockchain ซึ่งอาจประสบปัญหา scalability และความปลอดภัย สรุป: The Sandbox เป็นแพลตฟอร์ม Metaverse ที่มีโมเดลธุรกิจที่ขับเคลื่อนโดยระบบเศรษฐกิจเสมือนจริง การเติบโตของแพลตฟอร์มขึ้นอยู่กับการขยายฐานผู้ใช้ การเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ และการขยายระบบนิเวศ มูลค่าของ SAND token ขึ้นอยู่กับการใช้ token บนแพลตฟอร์ม ความต้องการ token และการเก็งกำไร อย่างไรก็ดี นักลงทุนควรตระหนักถึงความเสี่ยงต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การแข่งขัน กฎระเบียบ และการพึ่งพา Ethereum
NO
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1070
Finance
มีการแนะนำให้ลงทุนในกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในธีม Megatrends 3 กลุ่ม ได้แก่ เทคโนโลยีแห่งอนาคต นวัตกรรมการแพทย์ และจีน แต่ไม่ได้พูดถึงความเสี่ยงของกองทุนเหล่านี้ นักลงทุนควรพิจารณาความเสี่ยงอะไรบ้าง
null
1. ความเสี่ยงด้านราคา: กองทุน Megatrends ลงทุนในหุ้นที่มีศักยภาพการเติบโตสูง แต่หุ้นเหล่านี้มักมีราคาสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด 2. ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง: บางกองทุน Megatrends ลงทุนในหุ้นขนาดเล็กหรือหุ้นในตลาดเกิดใหม่ ซึ่งอาจมีสภาพคล่องต่ำ 3. ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย: กองทุน Megatrends มักลงทุนในหุ้นเทคโนโลยี ซึ่งอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย 4. ความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี: เทคโนโลยีมีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา กองทุน Megatrends ลงทุนในธุรกิจที่อาจถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยีใหม่ 5. ความเสี่ยงด้านความผันผวน: กองทุน Megatrends มักมีความผันผวนสูง นักลงทุนควรมี Risk Tolerance ที่สูง 6. ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ: รัฐบาลแต่ละประเทศมีกฎระเบียบที่แตกต่างกัน กองทุน Megatrends ลงทุนในธุรกิจที่อาจได้รับผลกระทบจากกฎระเบียบ 7. ความเสี่ยงด้านความสามารถของผู้จัดการกองทุน: ผลการดำเนินงานของกองทุน Megatrends ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้จัดการกองทุน 8. ความเสี่ยงด้านค่าธรรมเนียม: กองทุน Megatrends มักมีค่าธรรมเนียมที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด คำแนะนำ: นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลของกองทุน Megatrends อย่างละเอียด พิจารณาความเสี่ยงทั้งหมดก่อนตัดสินใจลงทุน กระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในกองทุนที่มีนโยบายลงทุนที่แตกต่างกัน ปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญทางการเงิน นอกจากนี้นักลงทุนควรติดตามข่าวสารและข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจในธีม Megatrends ปรับพอร์ตการลงทุนตามสถานการณ์เศรษฐกิจและการเมือง สรุป: กองทุน Megatrends มีศักยภาพให้ผลตอบแทนสูง แต่มีความเสี่ยงสูง นักลงทุนควรพิจารณาความเสี่ยงเหล่านี้อย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน
YES
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1076
Finance
สิ่งแรกที่ต้องรู้จักจาก Subprime Crisis คืออะไร
null
สิ่งแรกที่ต้องรู้จักจาก Subprime Crisis คือ MBS (Mortgage-Backed Security: หลักทรัพย์ที่มีการค้ำประกัน) โดยกลไกของมันคือ สถาบันการเงินจะนำเงินไปปล่อยกู้ (ในกรณีนี้คือให้กู้ซื้อบ้าน) จากนั้นนำก้อนหนี้มามัดรวมกันเแล้วตั้งเป็น MBS ขึ้นมา ซึ่งเจ้า MBS นี้สามารถนำไปขายต่อให้นักลงทุนที่สนใจ รับผลตอบแทนจากการปล่อยกู้และรับความเสี่ยงแทนสถาบันการเงิน โดยสถาบันการเงินจะได้นำเงินก้อนกลับมาจากการขาย MBS และมาปล่อยกู้ต่อ การลงทุนดังกล่าวจะมีสินทรัพย์จากลูกหนี้เป็นหลักประกัน และหนี้บ้านถือว่ามีความเสี่ยงต่ำ ทำให้นักลงทุนตอนนั้นมองกันว่ามีความปลอดภัย (ถ้าลูกหนี้ไม่เบี้ยวหนี้ ทิ้งบ้านหรือบ้านราคาลดลงอย่างรุนแรง) โดยทั่วไปแล้ว MBS จะให้ผลตอบแทนที่มากกว่าธนบัตรรัฐบาลเนื่องจากมีความเสี่ยงสูงกว่า และอัตราผลตอบแทนจะมากขึ้นตามเครดิตของผู้มากู้ ยิ่งเครดิตแย่ ยิ่งผลตอบแทนสูง (ความเสี่ยงโดนเบี้ยวหนี้สูงกว่า) ถ้าเปรียบ MBS เหมือนหุ้นรายตัวในตลาดหุ้น CDO (A collateralized debt obligation) ก็เหมือนกองทุนนั้นเอง เพียงแต่เป็นกองทุนที่ขายให้สถาบันการเงิน สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนจะเกิดวิกฤตคือมีการสอดไส้ MBS ที่ขายไม่ออก หรือเกรดต่ำ ไว้ในกอง CDO ด้วย พบว่า CDO บางตัวที่ได้รับความประเมินว่ามีความมั่นคงมากระดับ AAA จากบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือทั้ง Fitch, Moody’s หรือ S&P แต่ CDO เหล่านั้นกลับเต็มไปด้วยสินเชื่อที่ปล่อยให้ผู้มีเครดิตต่ำกว่าเกณฑ์มากกว่าครึ่ง หลังสถาบันการเงิน ซื้อ CDO ไป MBS ที่ขายไม่ออก ก็จะมีเงินไหลเข้ามา และขายออกตามไปด้วย ในเมื่อ MBS และ CDO ถูกสร้างมาเพื่อสถาบันการเงิน แต่ว่ามีคนอื่น ๆ อยากเข้าถึงเครื่องมือนี้เหมือนกัน synthethic CDO จึงเกิดขึ้น synthethic นั้นหมายความว่า มันไม่ใช่ของจริง แต่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ในวัตถุประสงค์เดียวกัน ทำให้ผู้ซื้อ-ขาย รายย่อยสามารถได้กำไรจากการส่วนต่างราคา ถ้าเครื่องมือ MBS และ CDO เหมือนหวย Synthetic CDO ก็ไม่ต่างจากหวยใต้ดินที่คนไปแทงขึ้น-ลงกันนอกกระดาน เพียงแต่มันบ้ากว่านั้นมาก
NO
ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1081
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ มุมมองต่อหุ้น Alibaba
null
มุมมองต่อหุ้น Alibaba ถ้าให้มองสถานการณ์กำไรของบริษัท เรียกได้ว่ารายได้ของบริษัทนั้นต่ำกว่าการคาดการณ์ค่อนข้างมาก เหตุผลเนื่องจากแรงกดดันที่เกิดจากการค่าปรับด้านการผูกขาด ด้านมุมมองต่อหุ้นในระยะสั้นนั้น นอกจากแรงกดดันแล้วยังได้รับแรงกดดันจาก Covid-19 ที่กลับมาระบาดในประเทศจีน ทำให้เกิดการอ่อนตัวลงด้านการบริโภคภายในประเทศ อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อการเติบโตของยอดขายสินค้ารวมและรายได้ของการจัดการความสัมพันธ์ลูกค้า อีกปัจจัยหนึ่งก็คือ สงครามยูเครน รัสเซียก็ส่งผลกระทบด้านการขนส่ง อุปสงค์อ่อนตัวทำให้การเติบโตของธุรกิจ Cloud ช้าลง ในส่วนของมุมมองต่อหุ้นในระยะยาว ก็ต้องรอความชัดเจนจากการลงทุนด้านการบริหารต้นทุน ว่าจะมีนัยยะสำคัญต่อทางพื้นฐานธุรกิจหรือไม่ ถ้ามี คำตอบที่ได้ก็คือ กำไรอาจจะปรับตัวเพิ่มขึ้น บทเรียนจากย่อหน้านี้ มุมมองต่อหุ้น Alibaba สถานการณ์กำไรบริษัท ระยะหลังรายได้บริษัทต่ำกว่าการคาดการณ์ไปค่อนข้างมากเนื่องจากมีแรงกดดันจากการค่าปรับด้านการผูกขาด ระยะสั้น - ยังได้รับแรงกดดันจาก Covid-19 ที่กลับมาระบาดอีกรอบในประเทศจีน ซึ่งทำให้การบริโภคภายในประเทศเริ่มอ่อนตัวลง และอาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตของยอดขายสินค้ารวม หรือ GMV (Gross Merchandise Value) และรายได้ในส่วนของการจัดการความสัมพันธ์ลูกค้า CMR (Customer Management Revenue) - สงครามยูเครน รัสเซียยังส่งผลกระทบกต่อธุรกิจในต่างประเทศ ซึ่งอาจส่งผลกระทบกับด้านการขนส่ง (Logistic) เป็นหลัก - ธุรกิจ Cloud เริ่มเติบโตช้าลงจากอุปสงค์ (Demand) ที่เริ่มอ่อนตัว - มีโอกาสถูกหั่นประมาณการเพิ่มเติม ระยะยาว ยังต้องรอความชัดเจนจากการลงทุนด้านการบริหารต้นทุน (Cost Optimization) ว่าจะมีนัยยะสำคัญต่อทางพื้นฐานธุรกิจหรือไม่ เพราะอาจช่วยให้กำไรปรับตัวเพิ่มขึ้น
NO
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1088
Finance
ช่วยสรุปบทความ รีวิวกองทุน ABPCAP: โอกาสลงทุนหุ้นอินดี้นอกตลาด แบบความเสี่ยงจำกัด ขยาย Upside!
ทำไมหุ้นแบบ Private Equity นอกตลาดถึงน่าลงทุน? หุ้นนอกตลาดมีโอกาสสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่มได้สูง (Upside return) และอาจมีความเสี่ยงขาลง (Downside risk) ที่จำกัดจากระดับราคาที่ไม่สูง หากวิเคราะห์ได้อย่างถูกต้อง หุ้นนอกตลาดอาจจำกัดการเข้าถึงกับคนทั่วไปก็จริง แต่มองกลับกันแล้วการที่คนเข้ามาได้ไม่เยอะก็อาจช่วยให้ความผันผวนของราคาลดลงได้เช่นกัน เพราะ ยิ่งคนเข้ามาซื้อขายมากราคาก็ย่อมผันผวนมากขึ้นเนื่องจากราคาเป็นสิ่งที่สะท้อนพฤติกรรมของมนุษย์เรา อุ่นใจจากกระแสของข่าวร้าย เนื่องจากหุ้นนอกตลาดอาจเป็นหุ้นที่คนไม่สนใจมากนักจึงอาจทำให้คุณเห็นข่าวร้ายน้อยลงลดการตกใจขาย (Panic sell) ช่วยให้คุณลงทุนอย่างสงบสุขและโฟกัสกับการลงทุนในระยะยาวโดยแท้จริงได้มากขึ้น
หุ้นแบบ Private Equity นอกตลาดน่าลงทุนเนื่องจากมีโอกาส Upside return สูงและ Downside risk จำกัด หากทำการวิเคราะห์ถูกต้อง การเข้าถึงก็จำกัด ทำให้มีความผันผวนราคาลดลงได้ เนื่องจากคนเข้ามาซื้อขายน้อย ๆ และ ไม่มีกระแสข่าวร้าย ช่วยให้คุณลงทุนอย่างสงบสุขและโฟกัสกับการลงทุนในระยะยาวโดยแท้จริงได้มากขึ้น
YES
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0

100% Human-Annotated Thai Instruction Dataset (First Batch Release)

Please adhere to the license terms. Each row has its own license according to its source.

4 Domains:

  • Medical
  • Finance
  • Retail
  • Legal

7 Tasks:

  • Summarization
  • Open QA
  • Close QA
  • Classification
  • Creative Writing
  • Brainstorming
  • Multiple Choice QA
Downloads last month
176
Edit dataset card